ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1461 ดื่มสุราในจอกไม่หมด ความกังวลจากการแยกจากของข้ากลับหมดสิ้น
- Home
- ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี
- บทที่ 1461 ดื่มสุราในจอกไม่หมด ความกังวลจากการแยกจากของข้ากลับหมดสิ้น
ในหินกลางหน้าอกของสวีเฟยมีเสียงหนึ่งดังมา “คุ้มค่าหรือ สตรีนางนี้เป็นแค่ปรมาจารย์ เจ้าเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แต่แรก ทั้งเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง ห่างจากสะพานเซียนเพียงก้าวเดียว ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของเจ้า การกลายเป็นเซียนอยู่ไม่ไกล เจ้าถึงกับแลกชีวิตของตัวเองกับชีวิตของนาง? หากช่วยศิษย์ของเจ้ายังพอว่า สตรีนางนี้กับเจ้าความจริงไม่มีความเกี่ยวข้องที่แท้จริงใดๆ ดังนั้นคุ้มค่าหรือ”
สวีเฟยนั่งกับพื้น หยิบถุงสุราจากเอว แล้วดื่มหลายอึก
“ข้าผู้แซ่สวีกระทำเรื่องราวใด เพียงดูแค่ว่าสบายใจหรือไม่ ไม่สนใจว่าคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า”
“อาจารย์!” สือจวินขโยกเขยกเข้าหาสวีเฟย เพราะบาดเจ็บสาหัสจึงโซเซล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
เขาไม่อาจขยับแขนขวากับมือขวา ใช้ขาซ้ายถีบพื้น มือซ้ายตะกายเข้าใกล้สวีเฟย “อาจารย์…”
“เด็กโง่ อย่าได้ทำเช่นนี้” สวีเฟยถอนใจคำหนึ่ง
มีคำกล่าวว่า ชายชาตรีไม่ให้น้ำตามิหลั่งออกมาโดยง่าย ทว่าตอนนี้สือจวินร้องไห้ราวสายฝน
เขาที่แข็งแกร่งอาจหาญหลังจากเติบใหญ่ เขาที่ครั้งกระโน้นถูกคนหยามหยันไล่สังหารในโลกผืนสมุทร เขาซึ่งที่แล้วมาไม่เคยแสดงความอ่อนแอต่อหน้าใคร วินาทีนี้ร้องไห้เหมือนกับเด็ก
น้ำตากับเลือดบนใบหน้าผสมกัน หยดลงด้านล่างไร้สิ้นสุด ยากจะควบคุมได้
“ท่านอาจารย์!” สือจวินคลานไปถึงตรงหน้าสวีเฟย ยื่นมือไขว่คว้าหาเขาอย่างยากลำบาก
สวีเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเอง “ฟังว่าในตอนที่กษัตริย์ดาราใช้อาคมผนึกมาร สำแดงผลได้ในพริบตา ส่วนข้าเป็นเพราะเกี่ยวข้องกับมุกผ่าดิน ความเร็วจึงเชื่องช้าลง กลับสามารถกล่าววาจาได้สองสามประโยค”
เขาหยิบถุงสุราออกมา ดื่มอีกสองอึก แต่กลับสำลักเสียอย่างนั้น
ก้มหน้ามอง บริเวณบนอกที่กลายเป็นหินยิ่งมายิ่งใหญ่ขึ้น หนำซ้ำยิ่งมายิ่งขยายอย่างรวดเร็ว
อีกไม่นานเท่าไร เขาคงจะกลายเป็นรูปแกะสลักหิน
“สุรากาสุดท้ายก็ดื่มไม่หมด” สวีเฟยยิ้มสง่างาม โยนถุงสุราทิ้ง “แต่หาเป็นไรไม่ ดื่มสุราในจอกไม่หมด ความกังวลจากการแยกจากของข้ากลับหมดสิ้นแล้ว จวินเอ๋อร์ไม่ต้องโศกเศร้าเพราะข้า ความปรารถนาของข้ากลายเป็นจริงแล้ว”
สวีเฟยตบไหล่ของสือจวินเบาๆ “เจ้าสามารถรักษาความเชื่อมั่นของตัวเอง ไม่ถูกความลำบากทำลาย ไม่ถูกมารล่อลวง นี่ประเสริฐยิ่ง เพียงแต่สุดท้ายแล้วข้ายังดูแลเจ้าไม่ได้ ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บปานนี้”
สือจวินส่ายหน้า สะอึกสะอื้น
“สิ่งที่ติดค้างในใจข้าเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พอจากไปในครั้งนี้ต้องขอโทษอาจารย์หญิงของเจ้า” สวีเฟยซึมเซาอยู่บ้าง “พวกเราอยากประคับประคองกันไปจนตลอดชีวิต แต่วันนี้ข้าต้องผิดสัญญาแล้ว”
สือจวินส่ายหน้าสุดชีวิต “อาจารย์ ไม่มีทาง! ไม่มีทาง!”
“อาจารย์ท่านทนไว้ ทนอีกสักหน่อยเถอะ พวกอาจารย์อาเยี่ยนสมควรใกล้มาถึงแล้ว อาจารย์อาเยี่ยนจะต้องมีวิธีแน่นอน”
สวีเฟยยิ้ม “อาคมผนึกมารเป็นจ้าวเกอ ศิษย์น้องเฟิง ยังมีกษัตริย์ดาราสร้างขึ้น ตอนนั้นเจ้าและข้าก็ได้ร่วมศึกษาด้วย พวกเราล้วนทราบรายละเอียดของวิชาลับวิชานี้ดี ก่อนหน้านี้กษัตริย์ดารามีสถานการณ์พิเศษยิ่ง ก่อนที่พวกเราจะออกปฏิบัติการในครั้งนี้ จ้าวเกอก็จงใจเตือนข้าว่าวิธีการเดียวกันยากจะใช้ซ้ำ ข้าหาเซียนจริงแท้ที่การสืบทอดวรยุทธ์เป็นสายเดียวกับข้ามาเปลี่ยนเป็นรูปสลักหินกับข้าไม่ได้”
เขากว่างเฉิงในปัจจุบันมีเซียนกำเนิดหนึ่งคน เซียนลี้ลับหนึ่งคน เซียนจริงแท้หนึ่งคน
ทว่าต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และเยี่ยนตี๋ยอมสละชีวิตก็ไม่มีความเป็นไปได้
สวีเฟยเป็นศิษย์ของสือเถี่ย รับสืบทอดวรยุทธ์ของสือเถี่ย
ถึงสือเถี่ยกับเยี่ยนตี๋จะมาจากสำนักเดียวกัน แต่จิตและความเข้าใจในวรยุทธ์มีความแตกต่างกันมากมาย
วรยุทธ์กว่างเฉิงของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นวิถีเดียวกันกับเยี่ยนตี๋
เฟิงอวิ๋นเซิงสามารถทำให้ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด เพราะเทพมารกรอกศีรษะในตอนนั้น ต่อให้พูดถึงแหล่งกำเนิดวรยุทธ์กว่างเฉิงก็เป็นสายของฟู่เอินซู แตกต่างกับสวีเฟยอยู่ดี
สถานการณ์ที่เจี่ยหมิงคงกับฉู่หลีหลีเป็นศิษย์ของเฉินเสวียนจง หนำซ้ำต่างได้ผลักเปิดประตูเซียน สุดท้ายก็มีอยู่น้อยยิ่ง
หลักเหตุผลนี้ สือจวินความจริงเข้าใจเช่นกัน
เพราะแบบนี้ ขณะนี้บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ในสายตาของเขา สวีเฟยกำลังค่อยๆ กลายเป็นรูปสลักหิน ผิวทั่วทั้งร่างคลุมด้วยสีเขียวเทาชั้นหนึ่งซึ่งเป็นสีแห่งความไร้ชีวิต
ด้านนอกเกิดเสียงลมหวีดหวิว พลันมีกลิ่นอายที่แข็งกล้าสุดขีดมาถึงที่นี่
สวีเฟยเงยหน้ามองไปอย่างยากลำบาก เห็นเฟิงอวิ๋นเซิงลงมาจากฟ้าพร้อมกับจักรพรรดิศานติและจักรพรรดิอุรุ
เห็นดังนั้น สวีเฟยก็สลัดทิ้งความกังวลสุดท้าย สีหน้าเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายโดยสมบูรณ์
“อาจารย์อาเฟิง ท่านรีบมาดูอาจารย์ข้า” สือจวินร้องเรียก
เฟิงอวิ๋นเซิงเห็นสภาพของสวีเฟย สีหน้าพลันเคร่งเครียด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นางทางหนึ่งตรวจสอบสถานการณ์ของสวีเฟย ทางหนึ่งถามสือจวิน
สือจวินรีบเล่า เฟิงอวิ๋นเซิงมีสีหน้ากังวล
“ในที่สุดมารดินโบ่วก็เอาชนะในการยื้อยันกับพวกเรา คืนชีพมาบนโลกใบนี้สำเร็จ” นางถอนใจเสียงเบา “หากไม่ปล่อยเสือกลับเขา ก็ต้องส่งนางสู่การดับสูญ”
“ตัวเลือกอย่างอื่นที่มีเพียงหนึ่งเดียว ก็คืออย่างศิษย์พี่สวีในตอนนี้ ทว่า…” เฟิงอวิ๋นเซิงใบหน้าฉายความจนปัญญา จากนั้นนางก็หันไปทางสวีเฟย “ศิษย์พี่สวี การปรับแต่งอาคมผนึกมารนี้ เป็นท่านแอบเตรียมตัวไว้แต่แรกแล้วกระมัง”
“ทำให้ศิษย์น้องเฟิงหัวเราะเยาะแล้ว” สวีเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนแรง
สือจวินมองอาจารย์ของตัวเอง ร้องไห้หนักกว่าเดิม
หากถูกกดดันถึงขั้นที่ต้องใช้อาคมผนึกมาร ก็เท่ากับว่าต้องการฆ่าตัวตาย ไม่ยินยอมให้มารทำสำเร็จหลังจากฟื้นคืนชีพ
นี่เป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ จะไม่ใช้ ทว่าสวีเฟยกลับคิดซับซ้อนยิ่งกว่า
เพียงแต่ผู้ใดหาทราบไม่ว่า เขาถึงกับวางแผนการเช่นนี้ เลือกแบบนี้
“กลืนมุกผ่าดินลงไป…” จักรพรรดิศานติคุนหนิงจื่อเอ่ยขึ้นด้านข้าง “มีวิธีนี้อยู่ ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองกระทำ เจ้ารอสักครู่ ศิษย์น้องเฟิงจับเฉินเฉียนหัวนั่นได้แล้ว ให้เขามารับภัยพิบัตินี้แทน จึงเป็นโทษที่สมควรได้รับ ถือว่าประเสริฐยิ่ง”
“การใช้มุกผ่าดินดึงมารดินโบ่วย้ายมาไว้ในร่างของตัวเองชั่วคราว ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องให้ตัวเองยินยอมถึงจะกระทำได้” สวีเฟยเอ่ยเสียงเบา “ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ในตอนที่จ้าวเกอกับพวกเราวางแผนเมื่อก่อนหน้า ไม่มีทางไม่คิดถึงวิธีการนี้”
สือจวินใช้ดวงตาข้างซ้ายเพียงข้างเดียวมองเฟิงอวิ๋นเซิง “อาจารย์อาเฟิง เมื่อครู่จักรพรรดิศานติกล่าวว่า พวกท่านจับโจรสุนัขตัวนั้นได้แล้ว?”
เขาโมโหแทบคลั่ง “ถ้าไม่ใช่โจรสุนัขแซ่เฉินนั่น จอมมารสองตนนั้นจะคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไร ในตอนนั้นเหลืออีกแค่ครึ่งก้าว พวกเราก็จะสะกดพวกมันได้สำเร็จแล้ว!”
“จับได้แล้ว” เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า
เมื่อครู่พอนางมาถึง เห็นจักรพรรดิอุรุและจักรพรรดิศานติกำลังสู้กับเฉินเฉียนหัว
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่คิดมากความ ลงมือจับเฉินเฉียนหัวในทันที จากนั้นก็นำจักรพรรดิอุรุและจักรพรรดิศานติมาดูพวกสือจวิน น่าเสียดายที่ไม่อาจย้อนเวลาได้อีกแล้ว
สือจวินคิดถึงเรืองนี้ เพลิงโทสะสุมทรวง พลันกลายเป็นความแค้น
เพียงรู้สึกว่าต่อให้ฆ่าเฉินเฉียนหัว ก็ไม่อาจเอาทุกสิ่งตรงหน้ากลับมาได้
ที่ท้องฟ้าไกลออกไปกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง เงาร่างสายหนึ่งแหวกมิติพุ่งออกมา
ผู้มาถึงกับเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ!
คายกลลงทัณฑ์เซียนพังทลาย ทุกคนหล่นเข้าไปในหลุมขมุกขมัว ติดอยู่ในกระแสความปั่นป่วนของมิติเวลาที่แตกต่างกัน
เยี่ยนจ้าวเกอควบคุมค่ายกล ได้รับการคุ้มครอง สามารถตั้งหลักได้ไม่ยาก ครั้นเพิ่งหลุดออกจากกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา เขาก็รีบเร่งมายังที่นี่ทันที
ปราณมารที่ยิ่งใหญ่ก่อนหน้ากำลังอ่อนกำลัง แต่ไม่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอผ่อนคลาย ความกังวลในใจกลับเพิ่มขึ้น
พอมาถึงในมิติพิเศษที่พังทลาย กวาดมองรอบๆ เขาพลันรู้สึกมีไอเย็นสายหนึ่งพุ่งขึ้นศีรษะ ขนแทบจะลุกชูชันขึ้นมา!