ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1610 โกรธเกรี้ยวโกรธาจนยอมตาย
ก่อนหน้านี้ พวกเยี่ยนจ้าวเกอจงใจสร้างสถานการณ์ลวง เหมือนต้องการตามหาวังท่องมรหต เพื่อค้นหาของล้ำค่าที่อาจเหลืออยู่ด้านใน
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยเฉพาะ ก็คือธงหกวิญญาณที่มีการถกเถียงค่อนข้างมาก
เพียงแต่ว่าธงหกวิญญาณอยู่ในวังท่องมรกตหรือไม่ ล้วนกลายเป็นคำถาม จะหาเจอหรือไม่ก็เป็นคำถามเช่นกัน
สำหรับสำนักเต๋าสายหลักแล้ว ย่อมไม่น่าเชื่อถือเท่าค่ายกลลงทัณฑ์เซียนตรงหน้านี้
แดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจยินดีผลักเรือตามน้ำ แสร้งทำเป็นถูกสำนักเต๋าชี้นำไปค้นหาวังท่องมรกต
ความจริงทุกคนต่างทราบว่า เป้าหมายที่แท้จริงของสำนักเต๋าสายหลักยังเป็นค่ายกลลงทัณฑ์เซียน
พวกทีปังกรพุทธะก็แค่อาศัยเรื่องนี้ทำให้สำนักเต๋าสายหลักวางใจ ปล่อยพวกเยี่ยนจ้าวเกอไปค้นหากระบี่สังหารเซียน เหยียบลงไปในหลุมพรางที่เทวกษัตริย์ไร้ประมาณได้วางเอาไว้
ความจริงไม่เกินกว่าที่คาด พวกเยี่ยนจ้าวเกอมาตามหาค่ายกลลงทัณฑ์เซียนจริงๆ
สำนักเต๋ามีเหล่ายอดคนรวมตัว คนที่มาได้แทบมาหมดสิ้น
หยางเจี่ยนที่ปลอมเป็นมารดาแห่งแผ่นดิน เปลืองสมองวางแผนมาถึงแล้ว
พระอาจารย์เสวียนตูซึ่งที่แล้วมาเร้นกายในวังดุสิต รักษาระยะห่างอยู่บ้าง เหมือนกับอยู่นอกวง ก็มาถึงแล้ว
จักรพรรดิโกวเฉินซึ่งแล้วมาเป็นคนเส้นทางแตกต่างจึงไม่ปรองดองกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ และเจ้าแม่อู๋ตังก็มาแล้วเช่นกัน
สำนักเต๋าสายหลักสามารถกล่าวได้ว่าทุ่มเทหมดหน้าตัก เกิดความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนหลังมหาภัยพิบัติ
แม้จะเป็นเช่นนี้ รายละเอียงการแย่งชิงกระบี่สังหารเซียน บางทีอาจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ทั้งหมด ทว่าทิศทางใหญ่การพัฒนาของสภาพการณ์คล้ายอยู่ในความคาดหมายของทุกฝ่าย
กระนั้นตอนนี้ นางเซียนอวิ๋นเซียวอยู่ๆ ก็โผล่มา
การปรากฏตัวของนางมิได้สำคัญ แต่ว่าการปรากฏตัวของนางถึงกับบอกทุกฝ่ายว่า ธงหกวิญญาณอยู่ในมือสำนักเต๋าสายหลักมาแต่แรกแล้ว
นี่ไหนเลยไม่ทำให้พวกทีปังกรพุทธะเกิดความรู้สึกคับข้องจนอยากกระอักเลือด?
ความคิดแรกที่เด้งขึ้นมาในสมองของเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ ก็คือต้องการบีบคอนันทิเกศวรติ้งกวงให้ตาย!
ธงหกวิญญาณเป็นไปได้สุดขีดว่าจะอยู่ในวังท่องมรกตกับผีมัน…
ทีปังกรพุทธะสูดลมหายใจลึก ‘สัมผัสไม่ได้ว่าวังท่องมรกตเปิดขึ้นอีกครั้ง เช่นนั้นหมายความว่าของสิ่งนี้มิได้อยู่ในวังท่องมรกตมาแต่แรกแล้ว?’
‘ปิดบังพวกเรา ปิดบังนันทิเกศวรติ้งกวง ถึงขั้นปิดบังเจ้ามรรคาทั้งหลาย เช่นนั้นก็มีแค่ความเป็นไปได้เดียว…หลายปีมานี้ธงหกวิญญาณอยู่ในวังดุสิตมาโดยตลอด!’
ทุกครุ่นคิดเรื่องมากมายด้วยความเร็วสูง ‘เป็นเจ้ามรรคาสามพิสุทธิ์เมื่อครั้งกระโน้นวางไว้ในวังดุสิตก่อนที่จะหลุดพ้น หรือว่าเป็นสามพิสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้ว เหล่าจวินค่อยนำสิ่งของกลับมายังวังดุสิต?’
‘หลายปีมานี้นางเซียนอวิ๋นเซียวจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บที่วัดุสิตเหมือนกับหยางเจี่ยน ปัจจุบันนางนำธงหกวิญญาณมา เป็นการกระทำของตัวเอง เหล่าจวินไม่ก้าวก่าย หรือว่าเป็นเหล่าจวินสั่งมาแต่แรก?’
‘เหล่าจวินมีความคิดใดอยู่กันแน่? ครั้งนี้เขาต้องการลงมือแล้ว? ตอนนี้เขามาถึงที่นี่แล้วหรือไม่?’
ความคิดมากมายแวบผ่านในหัวสมองของทุกคนอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตายิ่งกว่าก็คือ หลังจากนางเซียนอวิ๋นโผล่มาพร้อมกับธงหกวิญญาณ นางก็หันไปกราบธงคันนั้นอย่างจริงจังทันที
บนท้องฟ้า เจ้ามรรคาสี่คนกำลังอยู่ระหว่างการลงมา ธงวิญญาณเริ่มพัดพลิ้ว
‘ชื่อบนธงหกวิญญาณ มีแค่เจ้ามรรคาจึงจะเขียนได้!’ ทุกคนนึกถึงตรงนี้ รีบร้อนเพ่งตามอง
เห็นบนหางธงหกเส้นมีสามเส้นซึ่งว่างเปล่า
อีกสามเส้นแยกกันเขียนสามชื่อ
‘อมิตาภพุทธเจ้า!’
‘กษัตริย์บูรพาไท่อี้!’
“มารสวรรค์ไร้พันธนา”
พร้อมกับที่นางเซียนอวิ๋นเซียวก้มกราบ ธงหกวิญญาณคันนั้นก็สะบัดขึ้น หางธงหกเส้นส่ายไปมาไม่หยุด พัดแสงมืดมัวออกมาหลายสาย
แสงสว่างเจือจาง หลอมเข้าไปในความว่างเปล่า คล้ายกับหายไปเช่นนี้
ทว่าโลกตรงหน้าเหมือนกับเกิดความแปรปรวนไร้รูปร่าง
ในความแปรปรวนเหมือนกับมีกระบี่ไร้รูปร่าง ปรากฏจากดินแดนสูงไกลไร้สิ้นสุด พุ่งผ่านจักรวาลหลายแห่ง
ในนพยมโลก สถานที่ที่อยู่ลึที่สุดอยู่ต่ำที่สุด แต่ก็เหมือนอยู่บนจุดสูงสุด และอยู่บนปลายสุดอย่างหุบเหวทะเลมาร คันฉ่องสีดำสนิทใบหนึ่งปรากฏ แสงกระจกกะพริบ ต้านกระบี่ไร้รูปร่างนั้น
เขตมารในนพยมโลกทั้งหมดเหมือนกับสั่นไหวตามการเคลื่อนไหวของคันฉ่องสีดำ กีดกันกระบี่ไร้รูปร่างนั้นพร้อมกัน
ประตูหยกกับบัวขาวเหนือค่ายกลลงทัณฑ์เซียนมิได้รับผลกระทบ
ทว่าบัวเขียวกับระฆังโบราณต่างหยุดฝีเท้าการลงมือของตัวเอง
บัวเขียวบานออก มีสารีริกธาตุส่องแสง
ระฆังโบราณดัง เสียงสะท้อนทั่วฟ้า
ครั้งนี้ธงหกวิญญาณมิได้สร้างความเสียดายที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคา เหมือนสงครามสถาปนาเทพในยุคโบราณตอนต้น
กระนั้นพอถูกธงหกวิญญาณรบกวน การลงมือของอามิตาภพุทธเจ้ากับกษัตริย์บูรพาไท่อี้ก็ถูกลากถ่วงไว้ชั่วคราว
ถ้าหากมารสวรรค์ไร้พันธนามาเช่นกัน ก็จะต้องหยุดฝีเท้าชั่วขณะเพราะธงหกวิญญาณเหมือนกัน
เหมือนกับที่เยี่ยนจ้าวเกอพูดกับลู่ยาเต้าจวิน นอกจากพิณฝูซีชำรุดที่แลกมาจากลู่ยาเต้าจวินแล้ว พวกเขายังเตรียม ‘สายพิณ’ เส้นอื่นไว้ด้วย
‘สายพิณ’ เหล่านี้ จะว่าไปก็แสดงผลได้แค่ครั้งเดียว
แต่กลับเป็น ‘สายพิณ’ หลายเส้นขาดสะบั้นพร้อมกัน ขัดขวางการลงมือของเจ้ามรรคาทั้งหลายพร้อมกัน!
อามิตาภพุทธเจ้ากับกษัตริย์บูรพาไท่อี้ถูกขัดขวางฝีเท้า เทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับพระศรีอาริย์ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ลงมาจากนอกฟ้า
แต่ว่าขณะที่นางเซียนอวิ๋นเซียนกราบธงหกวิญญาณ พวกเยี่ยนจ้าวเกอก็มิได้อยู่เฉยๆ
ในค่ายกลลงทัณฑ์เซียน เกาชิงเสวียนร่างจริงกับร่างแยกกระโดดขึ้น จับกระบี่แหนเขียวด้วยกัน แล้วชี้ไปยังฟากฟ้า
ด้านนอกค่ายกลลงทัณฑ์เซียน พระอาจารย์เสวียนตูใช้มือหนึ่งพลิกฉัตรกระเรียนสิบตัดขาดเหนือศีรษะตัวเอง
ด้านบนท้องฟ้าเปิดออกเป็นรู กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว เสียงเซียนอ้อยอิ่ง เหมือนกับเชื่อมไปยังสถานที่ที่สูงส่งยิ่งใหญ่บางแห่ง
เยี่ยนจ้าวเกอประสานมุทราด้วยสองมือ แท่นสูงสี่แท่นในค่ายกลลงทัณฑ์เซียนยกตัวขึ้นจากดิน ลอยไปยังฟากฟ้า สภาวะประสานกับกระบี่แหนเขียว ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนมุ่งหน้าไปยังท้องฟ้าที่เปิดออกเป็นรู หลังจากที่กระบี่แหนเขียวลอยขึ้น
ขณะที่ค่ายกลลอย ก็ม้วนหยางเจี่ยน เยี่ยนตี๋ จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ นางเซียนอวิ๋นเซียว แม้แต่ธงหกวิญญาณคันนั้นไปด้วย
หางธงของธงยาวสีดำสนิทยังคงพัดพลิ้วอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ชื่อที่เขียนไว้ ยามนี้หายไปแล้ว
ประตูหยกกับบัวขาวขวางอยู่กลางอากาศ ขัดขวางค่ายกลลงทัณฑ์เซียนที่กำลังจะลอยขึ้นไป
ในค่ายกลลงทัณฑ์เซียนมีปราณพิฆาตพุ่งสู่ฟากฟ้า ประกายกระบี่ม้วนคลุม
ถึงแม้จะทำอันตรายประตูศิลาหยกกับปัทมาสน์สีขาวไม่ได้ แต่ว่าสภาวะลอยขึ้นของค่ายกลใหญ่ก็ไม่หยุดลง
ประตูหยกกับบัวขาวทะลวงเข้าไปในค่ายกล ต่างมีแสงวิเศษและแสงพุทธแยกกันจับกระบี่วิเศษที่แขวนลอยอยู่บนประตูเหนือแท่นสูงแท่นหนึ่ง
แต่ว่ากระบี่สี่เล่มสั่นไหวพร้อมกัน ค่ายกลเปลี่ยนแปลง แท่นสูงย้ายตำแหน่ง ประตูพลิกคว่ำ ดีดแสงวิเศษและแสงพุทธของผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาสองคนออกไป ทำให้พวกเขาไม่อาจชิงกระบี่วิเศษ
ในประตูหยกขาวพลันมีฝ่ามือที่เป็นมายาข้างหนึ่งยื่นออกมา ฝ่ามือมองข้ามปราณกระบี่อันน่ากลัวที่สามารถทำลายธรรมชาติ สร้างความโกลหลขึ้นมาใหม่ในค่ายกล ยื่นเข้าหากระบี่แหนเขียวโดยตรง!
กระบี่แหนเขียวส่ายไหวกลางความว่างเปล่า ซ่อนอยู่ในแสงทองและหมอกเหลืองของค่ายกล บัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวสูญหาย
ฝ่ามือที่ยื่นออกมาจากในประตูหยกขาวนั้น ยากจะคว้ากระบี่แหนเขียวอยู่ชั่วขณะ
ยามนี้ปัทมาสน์สีเขียวบานออก เปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่สุดเปรียบปราณ ยึดครองพื้นที่ไพศาล เหมือนกับถมเต็มค่ายกลทั้งค่าย
แสงพุทธหลายสายแผ่ออก หมายหยุดค่ายกลลงทัณฑ์เซียน และลากมันลงไปด้านล่าง
ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนหยุดนิ่งกลางอากาศเล็กน้อย
ทว่าวินาทีถัดมา ก็มีปราณกระบี่นับไม่ถ้วนทะลักออกมาทำลายแสงพุทธหลายสาย
ค่ายกลทั้งค่ายยังคงขึ้นสู่ฟ้าเขียว ออกไปด้านนอกฟากฟ้า
ขณะที่พร่ามัว ภาพตรงหน้าทุกคนเปลี่ยนเป็นมายา มาถึงแดนเซียนล่องลอยแห่งหนึ่ง
ตำหนักที่ภายนอกดูธรรมดาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางแดนเซียน