ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1652 ความคิดของแต่ละคน
“ถ้าไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย เรื่อราวจะสำเร็จ” หลังพบกันแล้ว เกาหานก็พูดขึ้น
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋พยักหน้า “เช่นนั้นพวกเรารอก่อน”
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงย่อมเห็นด้วย
ต่อให้เผยข่าวให้แก่ มหาวิทยราชมยุรีสำเร็จมหาวิทยราชมยุรีก็ใช่ว่าจะเคลื่อนไหวทันที สมควรคอยสังเกตในที่ลับ ปล่อยให้แดนสุขาวดีตะวันตกค้นหาสารีริกธาตุศากยมุณีชิ้นนั้น
รอจนมีเบาะแสที่ถูกต้อง คนในศาสนาพุทธสายหลักไปค้นหาสารีริกธาตุชิ้นนั้น ค่อยเป็นเวลาที่มหาวิทยราชมยุรีลงมือ
และเป็นหเวลาที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนไหวเหมือนกัน
ถ้าหากไม่อาจเปิดเผยข่าวให้ มหาวิทยราชมยุรีได้ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่พวกเยี่ยนจ้าวเกอต้องเสี่ยงอันตรายที่มากกว่าเดิม
ทุกคนสนทนากันเรื่อยเปื่อย อดทนรอคอย
เทียบกับทางแดนสุขาวดีตะวันตก ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอความจริงสนใจคนสองคนตรงหน้ามากกว่า
ถึงแม้จะไม่เหมือนหลิงชิงราชันพระจันทร์ ที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศิษย์ครึ่งคนของจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ เกาหานราชันพระอาทิตยืก็ติดตามใกล้ชิดจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋มาโดยตลอด
เช่นนั้นจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ทราบการติดต่อในที่ลับระหว่างเขากับศาสนาพุทธสายหลักขนาดไหน?
หรือจะบอกว่า ทั้งหมดนี้เดิมทีเป็นการส่งเสริมของจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี่อยู่แล้ว?
ถ้าหากเป็นอย่างหลัง ก็ยิ่งทำให้คนใคร่ครวญลึกซึ้งกว่าเดิม
ความสัมพันธ์ของจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับโถงเซียนเส้นทางนอกรีตย่ำแย่สุดขีด ในกาลเวลาอันยาวนานก่อนการสร้างโลกซ้อนโลก ก็เกิดความขัดแย้งกับโถงเซียนอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นตอนนั้นคงไม่เสียหยกหรูอี้ไตรรัตนะไป
แดนสุขาวดีตะวันตกคอยสนับสนุนโถงเซียนในที่ลับมาโดยตลอด สองฝ่ายต่อสู้กับแดนสุขาวดีบัวขาวและเผ่าปีศาจ
แน่นอนว่าการที่จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋มีความสัมพันธ์อันดีกับแดนสุขาวดีตะวันตก และมีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับโถงเซียน ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจไม่ได้
แดนสุขาวดีตะวันตกทางหนึ่งช่วยเหลือโถงเซียน ทางหนึ่งติดต่อผู้สืบทอดสำนักเต๋าสายหลักที่เป็นครู่อริกับโถงเซียน ไม่ถือว่าขัดแย้ง
ศาสนาพุทธสายหลักกับโถงเซียนเป็นพันธมิตรกัน หลายๆ เรื่องราวแสดงความร่วมมือ แต่อย่างไรก็แยกเป็นสองฝ่าย ต่างมีแผนการของตัวเอง ถือว่าปกติ
ทว่าช่องทางมากมายในที่ลับ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจยิ่ง
ปัจจุบันสำนักเต๋ารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง สภาพแวดล้อมโดยรวมได้รับการปรับปรุงจนดีขึ้นมาก ยอดฝีมือแต่ละคนที่โชคดีรอดชีวิตหลังมหาภัยพิบัติ และคอยซ่อนตัวอยู่นอกโลกก็พากันโผล่หน้ามา
หนำซ้ำคนโดดเด่นรุ่นหลังที่กำเนิดขึ้นหลังมหาภัยพิบัติ ต่างพากันผงาดขึ้นมาเช่นกัน
ขณะที่สำนักเต๋าสยหลักมีพลังก้าวหน้า ผู้ยิ่งใหญ่เซียนสวรรค์หลายท่านที่ก่อนหน้านี้ประคับประคองสถานการณ์ทางสำนักเต๋า หลายปีมานี้ก็คล้ายสงบเสงี่ยลม เทียบกับก่อนหน้าแล้ว แสงสว่างมืดมัวลง
เจ้าแม่อู๋ตังเป็นเพราะความเกี่ยวข้องกับค่ายกลลงทัณฑ์เซียน มีสถานการณ์พิเศษ กลับยังพอว่า
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับจักรพรรดิโกวเฉิน คล้ายมิได้ดึงดูดสายตาคนขนาดนั้น
โลกภายนอกพูดถึงบุคคลสำนักเต๋าที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจในตอนนี้ ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงหยางเจี่ยนที่เป็นผู้โดดเด่น พูดถึงพระอาจารย์เสวียนตูซึ่งทะลวงสู่ระดับมรรคา พูดถึงเจ้าแม่อู๋ตังกับนางเซียนอวิ๋นเซียนซึ่งสับกันควบคุมค่ายกลลงทัณฑ์เซียน พูดถึงสั่วหมิงจางกับเฟิงอวิ๋นเซิงที่เป็นคลื่นลูกหลังกลบคลื่นลูกหน้า ทุ่งทะยานอย่างฉับพลัน
ถึงขั้นที่พูดถึงเยี่ยนจ้าวเกอที่แทบได้รับการยอมรับว่าเป็นเทวกษัตริย์น้อย
การกลับมาของไท่อี้จินหยินกับนาจาศิษย์อาจา ก็ดึงดูดความสนใจไม่น้อย
ทว่าเกี่ยวกับจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับจักรพรรดิโกวเฉิน กลับเหมือนไม่ดึงดูดเท่าก่อนหน้า
บอกว่าคลื่นลูกหลังกลบคลื่นลูกหน้าในทะเลสาบ คลื่นลูกหน้าตายอยู่บนหายทราบย่อมเกินจริงไปแล้ว แต่กลับมอบความรู้สึกต่อลมหายใจให้แก่ผู้คนอยู่เลือนราง
กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอความจริงคอยจับตาดูพวกเขามาโดยตลอด
ถึงขั้นที่เปรียบกับจักรพรรดิโกวที่แนวคิดตอนแรกไม่ลงรอยกัน ความสัมพันธ์ไม่ปรองดอง เยี่ยนจ้าวเกอคอยให้ความสนใจจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ซึ่งที่แล้วมาเหมือนเป็นฝ่ายเดียวกันมาโดยตลอด
มีเบาะแสใยแมงมุมรอยเท้าม้าหลากลาย และมีความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขา
เปลือกนอกไม่แสดงความผิดปกติ เยี่ยนจ้าวเกอความจริงให้ความสนใจจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ในที่ลับ
เวลาร่วงเลยไป ทันใดนั้น เหล่าคนที่สนทนาต่างเงียบงัน
แสงสายฟ้าด้านข้างจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ดับลงในทันที กลายเป็นความมืด คนเหมือนกับถูกปกคลุมอยู่ในม่านวิกาล
พวกเยี่ยนจ้าวเกอซ่อนกลิ่นอายและร่องรอยของตัวเอง เหมือนกับหายไปในความว่างเปล่าอันมืดทะมึน
ไม่ทันไร ในแดนสุขาวดีตะวันตกบนสถานที่ที่อยู่ห่างไป ปรากฏบัวเขียวหลายดอกบินขึ้น ล่องลอยไปยังที่ห่างไกล
“พวกเราแยกเป็นสองทาง” เยี่ยนจ้าวเกอเสนอ
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับเกาหานต่างพยักหน้าเห็นด้วย
นี่ก็เพื่อป้องกันแผนลวง
เป็นเพราะว่าจำนวนคนที่ปรากฏในการค้นหานาจาและไท่อี้จินหยินของแดนสุขวดีตะวันตกไม่มากพอ พวกเยี่ยนจ้าวเกอจึงสงสัยว่าอีกฝ่ายมีแผนการอย่างอื่น
นักบวชศาสนาพุทธอย่างสมันตภัทรโพธิสัตว์กลับแดนสุขาวดีตะวันตก หลังจากพบผู้ยิ่งใหญ่พุทธะท่านอื่น พวกท่านก็ใช่จะสัมผัสไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวของตัวเองอาจก่อความสงสัยให้แก่คนในสำนักเต๋า
ยิ่งอย่าว่าแต่ เยี่ยนจ้าวเกอยังติดต่อกับเกาหาน ค่อยหาวิธีแหวกหญ้าให้นกยูง[1] ตื่นได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะสร้างความตื่นตัวแก่คนในศาสนาพุทธ
ต่อให้ไม่พบว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอกำลังตามสืบ แดนสุขาวดีตะวันตกเกิดความระวังตัว สมควรสร้างภาพลวงตา อำพรางแผนการที่แท้จริงของตัวเอง
ดังนั้นพวกเยี่ยนจ้าวเกอจึงแยกทัพเป็นสองทาง เขากับเฟิงอวิ๋นเซิงทางหนึ่ง จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับเกาหานทางหนึ่ง
ทางหนึ่งติดตามคนในศาสนาพุทธที่ปัจจุบันออกจากแดนสุขาวดีตะวันตก อีกด้านหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นี่คอยสังเกตการณ์ต่อ ดูว่าศาสนาพุทธยังมีการเคลื่อนไหวอย่างอื่นหรือไม่
“ในเมื่อท่านสงสัยในตัวพวกเขา ไฉนพวกเราไม่แยกกันกระทำเรื่องราว คอยจับตาทั้งสองทาง” ใช้สายตาส่งจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋กับเกาหานติดตามบัวเขียวเหล่านั้นจากไป เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยถาม
“วางใจ ต่อให้เกิดเรื่อง ก็จะต้องไม่เกิดขึ้นในวันนี้” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “แดนสุขาวดีตะวันตกอย่างไรก็มีสภาวะยิ่งใหญ่ มหาวิทยราชมยุรีไม่ใช่คนกินผัก[2] คนขี้กลัว คิดจะถอนเขี้ยวจากปากเสือ จำเป็นต้องร่วมมือกับพวกเราถึงจะกระทำได้”
“ทางพวกเราเมื่อมีการค้นพบ ข้าจะแจ้งพวกจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ทันที ความคิดในใจคน ต้องรอมีโอกาสสำเร็จที่แท้จิงก่อนค่อยว่ากัน”
เฟิงอวิ๋นเซิงพอฟังก็พยักหน้า “ดูแดนสุขาวดีตะวันตก คงจะมีแผนการอะไรอยู่กระมัง”
ขณะนี้ในแดนสุขาวดีศาสนาพุทธที่เสียงสวดมนต์ดังไม่ขาดสาย สงบสุขสันต์ ทีปังกรพุทธะอยู่ในพุทธเกษตรของตัวเอง นั่งอยู่บนแท่นบัวขนาดยักษ์แท่นหนึ่ง
แต่ละด้านของแท่นบัวยังนั่งไว้ด้วยยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธคนอื่นๆ สายตาของทุกคนรวมตันที่กลางดอกบัว ที่นั่นมีจีวรชิ้นหนึ่ง ลอยอยู่กลางอากาศ
จีวรลุกไหม้ ตอนนี้เหลือแค่ครึ่งเดียว เปลวเพลิงกำลังกลืนกินเสษผ้าอย่างเนิบช้าแต่ไม่ขาดตอน
“เป็นเพราะอุบัติเหตุทางจวนเอการกร้าง ไม่เพียงแต่อินทรเกตุธวัชราชาพุทธะมรณะ สามพิสุทธิ์สายหลักก็อาจมองลวงจริงทางพวกเราออกด้วย” ทีปังกรพุทธะเอ่ยอย่างแช่มช้า “น่าเสียดายเกาทัณฑ์พาดบนสาย ไม่อาจไม่ยิง”
วัชรอภิณฑ์พุทธะตรงหน้าท่านกล่าว “พวกกวนอิมออกเดินทางแล้ว ไม่ทราบว่าจะดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายได้หรือไม่”
“ดังนั้นต่อจากนี้พวกท่านต้องระวังตัวให้มาก” ทีปังกรพุทธะทางหนึ่งมองเสษจีวรที่ลุกไหม้นั้น ทางหนึ่งกล่าว “อาตมาไม่อาจออกจากที่นี่ได้ จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่เพื่อสะดวกแก่แากรดำเนินพิธีกรรม ต่อจากนี้ต้องรบกวนสหายร่วมเส้นทางแล้ว”
นักบวชศาสนาพุทธส่วนหนึ่งที่อยู่รอบๆ ท่านต่างพนมมือ “รบกวนสหายร่วมเส้นทางทุกท่าน”
วัชรอภิณฑ์พุทธะกับนักบวชศาสนาพุทธส่วนหนึ่งนอกจากนี้ต่างไหว้ตอบ “ล้วนรับผิดชอบหน้าที่ ถ้าไม่มีพวกอดีตพุทธะท่านคอยดำเนินพิธีกรรมนำทาง พวกเราจะกระทำเรื่องราวได้อย่างไร?”
………………..
[1] นกยูงในที่นี้หมายถึง มหาวิทยาราชมุยรี
[2] คนกินผัก หมายถึง ไม่ใช่คนที่ยอมคนอื่น