ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1684 จวงจื่อฝันเป็นผีเสื้อ ผู้ใดจริงผู้ใดปลอม
รถดั่งสายน้ำม้าดุจมังกร[1] ตึกสูงหอคอยใหญ่
ตรงหน้าเป็นโลกที่เต็มไปด้วยฝุ่นหินดินทราย ข้างหูแว่วเสียงแตรรถ
เยี่ยนจ้าวเกอหยีดวงตามองภาพนี้อย่างสงบ
มิใช่ภาพตอนเกิดมหาภัยพิบัติที่พัวพันจิตใจมาโดยตลอด กลับเป็นวัตถุมากมายที่ฝังในส่วนลึกของความทรงจำ คล้ายลืมเลือนไปแล้ว
นานเกินไปแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้มีแต่ตอนที่นึกถึงมหาเทวะเสมอฟ้า เทพเอ้อร์หลางหยางเจี่ยน นาจาไท่จือคนที่สาม พระโพธิสัตว์กวนอิม ชื่อที่คุ้นหูและทราบรายละเอียดเหล่านี้ จะมีบางครั้งที่นึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า
แต่ก็เป็นแค่การหวนนึกถึงตำนานเทพนิยาย ข้อมูลเอกสาร และภาพยนต์รูปภาพส่วนหนึ่งในความทรงจำ นึกถึงวัตถุที่พอจะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันเท่านั้น
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตอนนี้ ส่วนใหญ่แล้วผุดเป็นฟองขึ้นมาจากผิวน้ำในก้นบึ้งจิตใจ พริบตาต่อมาก็จมลงสู้ก้นทะเลใหม่ ไม่เห็นร่องรอย
กาลเวลายาวนานเกินไป ถึงขั้นที่บางครั้งเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า ประสบการณ์ตอนอยู่ในวังเทพก่อนมหาภัยพิบัติเป็นอดีตของตัวเอง
ทว่าเรื่องราวมากมายอาจจะตกตะกอนชั่วขณะ แต่เด่นชัดว่ายังอยู่ที่นั่น ไม่เคยลืมเลือนอย่างแท้จริง
เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตามองดูใบหน้าที่เหมือนตัวเองใบนั้น
“เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทุกอย่างตรงหน้าล้วนเป็นสิ่งปลอม?” อีกฝ่ายพูดอย่างสงบ “ตำนานที่คุ้นหูทราบรายละเอียดในความทรงจำตอนแรกสุดของเจ้าบนโลกใบนี้ มีความคล้าย แต่ก็มีที่ไม่คล้ายมากมาย เคยคิดหรือไม่ว่าทำไม? หรือนี่จะเป็นความฝันของเจ้าเอง เจ้าอยู่ที่นี่ ผสมความทรงจำ สร้างสรรค์ความคิด ทำให้ตำนานในความทรงจำเกิดการเปลี่ยนแปลง?”
“หรือว่าทุกอย่างในอดีตจะเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่ง?”
“จวงจื่อ[2]ทราบว่าฝันเป็นผีเสื้อ จวงจื่อฝันเป็นผีเสื้อ ผีเสื้อฝันเป็นจวงจื่อ ผู้ใดจริงผู้ใดปลอม…”
เสียงไม่ทันขาด ภาพเงาตรงหน้าพลันเริ่มสั่นไหว
ตึกสูงถล่ม ถนนบิดเบี้ยว ฟ้าพังทลายดินแตกระแหง ทุกอย่างเริ่มกระจัดกระจาย กลายเป็นทรายเม็ดเล็กๆ มากมาย เหมือนกับกองทราย
‘ตัวเอง’ อีกคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าหายไป
เยี่ยนจ้าวเกอเลอะเลือนเล็กน้อย ตนเองได้สติ ภาพตรงหน้ากลับคืนสู่สภาพปรกติ เหมือนกับเมื่อครู่
ตนยังคงยืนอยู่ข้างเฟิงอวิ๋นเซิง ฝ่ามือข้างหนึ่งแนบอยู่ที่กลางหลังนาง
หุบเหวผนึกรวมบนศีรษะเฟิงอวิ๋นเซิง มีหมอกเลือดวนเวียนไม่หยุด
แหล่งที่มาของหมอกเลือด คือชายชราที่ยืนอยู่อีกด้าน เงาแสงในเมฆมงคลสีดำบนศีรษะมันเคลื่อนไหว ภาพเปลี่ยนแปลง
ตรงหน้าชายชรายืนไว้ด้วยสั่วหมิงจาง
ฝ่ามือสั่วหมิงจางยังคงยื่นเข้าไปในทรวงอกของชายชรา
ทว่าสั่วหมิงจางในตอนนี้ ทั่วร่างมีแสงจางๆ เคลื่อนไหว แสงสว่างผนึกรวมกลายเป็นอักขระมากมาย จัดเรียงตัวพร้อมกลายเป็นปราการหลายชั้น ขณะครอบคลุมสั่วหมิงจาง ก็ครอบคลุมเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงไปด้วย
บุรุษผมสั้นร่างสูงใหญ่ ในดวงตาเย็นเยียบปรากฏความเร่าร้อนรุนแรงยามจับจ้องมารจิตแรกเริ่ม
ชายชราถอนใจคำหนึ่ง “ตัดนภา สมคำร่ำลือ!”
สั่วหมิงจางไม่เปล่งวาจา แสงที่ครอบคลุมรอบตัว เหมือนกับตัดขาดฟ้าดินด้านนอกด้านในให้กลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มขยายเคลื่อนตัวไปยังรอบๆ
จุดที่ปราการแสงครอบคลุมถึง ในความว่างเปล่ามีลำแสงเหมือนลวงเหมือนมายาหลายสายถูกตัดไม่หยุด กั้นด้านนอกด้านใน
วินาทีนี้ร่างมารจิตแรกเริ่มถึงกับสั่นไหวราวระลอกน้ำ
ในกระบวนการนี้ เปลือกร่างของมันที่เหมือนกับไม่อยู่บนโลก ราวกับฟองเงาความฝัน คล้ายค่อยๆ กลายเป็นร่างจริง ทำให้คนบนโลกนี้สัมผัสได้จริงๆ
บนกำปั้นของสั่วหมิงจางที่ยื่นไปในทรวงอกมัน ปรากฏแสงดาวไร้สิ้นสุด เพลิงอาทิตย์ไร้ขอบเขต
วินาทีนี้ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกับในที่สุดก็เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว สัมผัสได้ถึงความร้อนแรงบนกำปั้นและพลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ด้านใน
“คนรุ่นหลังน่ากลัว” มารจิตแรกเริ่มถอนใจเบาๆ ร่างค่อยๆ เริ่มโปร่งใส เหมือนกำลังจะกลายเป็นลำแสงแยกตัว
ทว่าสั่วหมิงจางกำหมัดแน่น เหมือนกับหลุมดำไร้สิ้นสุด แม้แต่แสงก็หนีจากด้านในไม่รอด ดึงร่างของมารจิตแรกเริ่มในตอนนี้ไว้ ไม่ให้สลายตัว
มารจิตแรกเริ่มตาเป็นประกายเล็กน้อย บนร่างเหมือนกับมีประกายน้ำ ซึมผ่านแขนของสั่วหมิงจาง
สั่วหมิงจางแค่นเสียงคำหนึ่ง ความลี้ลับของคัมภีร์ตัดนภาไหลเวียน ขวางการโต้กลับของมารจิตแรกเริ่ม
สองฝ่ายต่อสู้ ไม่เหมือนเงากระบี่ประกายดาบอย่างจอมยุทธทั่วไป แต่ว่าระดับความรุนแรงไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่เหนือกว่า
มารจิตแรกเริ่มโจมตีการป้องกันจิตของสั่วหมิงจางต่อ ขอแค่ทำลายได้ นอกในรวมเป็นหนึ่ง มันไม่เพียงแต่รู้หมดว่าสั่วหมิงจางคิดอะไรในใจ ยังสามารถผลักสั่วหมิงจางลงไปในเหวลึกของจิตมารจนยากถอนตัว พ่ายแพ้โดยไม่ได้ต่อสู้
สั่วหมิงจางทางหนึ่งต้านการจู่โจมของมารจิต ทางหนึ่งสะกดทำลายความมหัศจรรย์ของมารจิตแรกเริ่ม ลากมันจากภาพมายาออกมาสู่โลกความเป็นจริง จากนั้นก็มอบความเสียหายให้
ในการช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียน สั่วหมิงจางหักหาญทีปังกรพุทธะที่มีมุกค้ำทะเลสิบสี่เทพธรรมบาลอยู่ในมือ สร้างชื่อไปทั่วใต้หล้าอีกครั้ง
กระนั้นเป็นเพราะประสบการณ์ของเขา ทำให้มารจิตแรกเริ่มมีโอกาสใช้ประโยชน์
ซึ่งความจริงแล้ว ในยอดฝีมือระดับเดียวกัน เทียบกันแล้ว มารจิตแรกเริ่มเป็นคู่ต่อสู้ที่สั่วหมิงจางรับมือค่อนข้างยากจริงๆ
เซียนสวรรค์มหาชาล สภาพจิตย่อมมั่นคง มีไม่กี่คนที่โยกคลอนได้
ทว่าถ้าหากต้องกล่าวว่ามีใครทำได้ เช่นนั้นมารจิตแรกเริ่มซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมารภายในทั่วใต้หล้า ย่อมนับรวมได้
โดยเฉพาะมารจิตแรกเริ่มที่อาการบาดเจ็บหายดี ขึ้นสู่สภาพสูงสุดของตัวเองอีกครั้ง
ด้วยการจู่โจมของมารจิตแรกเริ่มที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แม้แต่ผู้เข้มแข็งระดับมหาชาลเหมือนกัน ถ้าหากสภาพจิตของตัวเองมีช่องโหว่ว ก็อาจถูกโจมตีการป้องกันจิตได้ในระยะเวลาที่สั้นสุดขีด
ก่อนหน้านี้มารจิตแรกเริ่มถูกยกย่องเป็นปฐมแห่งสุดยอดมาร และจอมมารตนแรกที่อยู่ต่ำกว่าระดับมรรคา มิใช่เพราะโชคช่วย และไม่ใช่เพียงเพราะมันอยู่มาชั่วนิรันดร์ไม่เคยดับสูญ
เพียงแต่ว่ามรรคาตัดนภาของสั่วหมิงจางที่มันเผชิญอยู่ในตอนนี้ มีความลี้ลับไร้สิ้นสุด ทำให้มารจิตแรกเริ่มยากจะเอาชนะ
ทว่ามารจิตแรกเริ่มไม่รีบร้อน
ถึงตอนนี้แสงตัดนภาของสั่วหมิงจางจะคุ้มครองเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงไปด้วย แต่ว่าความเลอะเลือนในวินาทีที่ไม่รู้สึกตัวนั้น มากพอจะทำให้เนี่ยจิงเสินกับมารเงาที่อยุ่ในนพยมโลกยึดครองความได้เปรียบแล้ว
หมอกเลือดม้วนคลุม เฟิงอวิ๋นเซิงแค่นเสียง หุบเหวโกลาหลบนศีรษะสั่นไหวอีกรอบ ความน่าอัศจรรย์หายไป เหมือนกับน้ำเดือดที่พลิกตัว
เสาอันเป็นสัญลักษณ์ของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรมในเสาสิบสองต้นกลางทะเลเหวมืดทะมึน ด้านในเมฆมงคลสีดำสนิท ยิ่งมายิ่งเป็นมายา หากแต่ยิ่งมายิ่งชั่วร้ายเช่นกัน
เฟิงอวิ๋นเซิงถูกมารจิตแรกเริ่มรบกวน สูญเสียโอกาสลงมือก่อน สถานการณ์เลวร้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว
ต่อให้จะได้สติกลับมาทันเวลา คิดจะควบคุม กลับหยุดฝีเท้าไม่ได้
เหวลึกบนศีรษะค่อยๆ เกิดสภาพพังทลาย หมอกเลือดได้คืบจะเอาศอก ถึงกับลามมาหาตัวนาง ดูท่าทางคล้ายกับต้องการดูดนางเข้าไปในนพยมโลก
เยี่ยนจ้าวเกอทาบฝ่ามือบนกลางหลังเฟิงอวิ๋นเซิง ย่อมเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
เขาตวัดอีกมือหนึ่งในอากาศ เขียนยันต์อามคมหลายสาย
“ผู้อาวุโสสั่ว” เยี่ยนจ้าวเกอร้องเรียกเบาๆ แสงดาวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในแขนเสื้อสั่วหมิงจาง มุ่งหน้ามาหาเยี่ยนจ้าวเกอโดยอัตโนมัติ
………………..
[1] รถดั่งสายน้ำม้าดุจมังกร หมายถึง พาหนะต่างๆ สัญจรไปมาจนยาวคล้ายกับสายน้ำและมังกร
[2] จวงจื่อ เป็นนักปราชญ์ในยุคจ้านกั๋ว