ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1691 สองบุปผาบนกระหม่อม ปราณสะท้านสวรรค์
นาจาถูกวิชาของพระโพธิสัตว์กวนอิมเล่นงาน ถึงจะพ่ายแพ้ มิอาจไม่ถอยชั่วคราว แต่เขาไม่ยอมแพ้ครั้งเดียวแล้วไม่ไปหาอีกตลอดกาล
หลังถอยชั่วคราว ก็ไต่ตรองหาวิธีแก้ไข
เขามิใช่กำลังสู้คนเดียว ในที่แจ้งเป็นนาจาท้าสู้ทีปังกรพุทธะ แต่เรื่องราวคาวมจริงเกี่ยวข้องกับสำนักเต๋าสายหลักและแดนสุขาวดีตะวันตกทั้งหมด
ผู้ยิ่งใหญ่สำนักเต๋าอย่างหยางเจี่ยน ไท่อี้จินหยิน จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋พากันช่วยเหลือ
เยี่ยนจ้าวเกอที่มองดูเรื่องครึกครื้นไม่กลัวเรื่องใหญ่ย่อมช่วยเหลือเช่นกัน
ดังนั้นนาจาจึงไปบุกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ทางแดนสุขาวดีตะวันตกถึงแม้อยากจะตบเขาให้ตายเรียงคน แต่ก็ได้แต่รับมือด้วยความปวดหัว
คนที่รับแขกแทนทีปังกรพุทธะบนเวทียังเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม เบื้องหลังนางย่อมยืนไว้ด้วยการวางร่วมแรงร่วมใจของคนมากมาย
นาจาทำลายได้ด่านหนึ่ง ก็มีปัญหาใหม่กำลังรอเขา
สองฝ่ายท่านมาข้าไป ต่างฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบ ลากถ่วงสงครามอย่างนี้ไม่หยุด ผลักกันไปมาทั้งวัน
นาจาแม้จะหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ทราบว่าหากยื้อยันกันอย่างนี้ต่อไป ไม่มีผลร้ายกับสำนักเต๋าสายหลักของตัวเอง
มองดูเขาถูกรับแขก ไม่เห็นหน้าของทีปังกรพุทธะ แต่คนที่ขวางเขาเป็นดพระโพธิสัตว์กวนอิมที่เป็นผู้อาวุโสเหมือนกัน นาจาไม่ได้เสียหน้า
แดนสุขาวดีตะวันตกที่สุดเป็นแดนสุขาวดีของอามิตาภพุทธเจ้า นาจาไม่อาจทะลวงเข้าไปหาเรื่องทีปังกรพุทธะได้เสมอ
แต่ว่าทีปังกรพุทธะหลบเลี่ยงไม่เห็นตัวมาโดยตลอด เป็นคนอื่นๆ รับปัญหาแทนตัวท่าน สำหรับทีปังกรแล้ว บารมีย่อมเสียหาย
ไม่เพียงแต่พระโพธิสัตว์กวนอิมคนเดียว ผู้เข้มแข็งศาสนาพุทธคนอื่นๆ ก็ถูกดึงเข้ามาให้เปลืองจิตเปลืองแรงเช่นกัน
เป็นอย่างนี้ต่อไป ย่อมเลี่ยงไม่ให้เกิดความไม่พอใจในที่ลับไม่ได้
นาจาแม้ว่าจะมีนิสัยยโสโอหัง แต่ก็ไม่ได้เหิมเกริมเกินไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นๆ ในแดนสุขาวดีตะวันตก เพียงจับจ้องทีปังกรพุทธะผู้เดียว
ทีปังกรพุทธะกลับใจเย็น อยู่ในแดนสุขาวดีตะวันตกไม่ออกมา นี่มิใช่เรื่องยากสำหรับท่าน
เพียงแต่ว่านาจาตะโกนเรียกอยู่ทุกวัน ถึงท้ายสุดพระโพธิสัตว์กวนอิมค่อยๆ หมดความสามารถ การไกล่เกลี่ยก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ต้องกลับแดนสุขาววดีตะวันตกหลบเลี่ยงหายตัว เปลี่ยนพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ออกมาเกลี้ยกล่อม
สองฝ่ายมาๆ กลับๆ พัวพันไม่ลดละ ระหว่างนี้เวลาก็ล่วงเลยอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลานี้ แม้แต่ระหว่างโถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาว ต่างเกิดสงครามหลายครั้ง
ถึงนาจาจะเล็งเป้าหมายไปที่ทีปังกรพุทธะ แต่ว่าเรื่องนี้พอเกิดขึ้นมา สมาธิทางแดนสุขาวดีตะวันตกก็ยากหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกสำนักเต๋าฉุดดึงไว้อย่างใหญ่หลวง
ภายใต้การสนับสนุนจากเผ่าปีศาจ แดนสุขาวดีบัวขาวกดดันโถงเซียน ทั้งยังเป็นการโจมตีรุนแรงหลายระลอก
แดนสุขาวดีตะวันตกถึงภายหลัง มีแต่ต้องละวางเรื่องทางนาจาไว้ชั่วคราว ไปจัดการทางแดนสุขาวดีบัวขาวกับโถงเซียนก่อน
ทีปังกรพุทธะลงมือด้วยตัวเองน้อยครั้งมากอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ไม่ใช่ต้องออกจากแดนสุขาวดีตะวันตก
อดีตพุทธะองค์นี้ดูเหมือนจะคิดแสร้งเป็นหูหนวกบ้าใบ้ไปถึงที่สุด เป็นตายไม่สนใจนาจาที่แหกปากร่ำร้องอยู่ข้างนอก
นาจาเองก็ไม่ยอมแพ้ ยึดถือความว่างเปล่าด้านนอกแดนสุขาวดีตะวันตกเป็นบ้านตัวเองแล้ว เฝ้าไว้ไม่ยอมไปไหนๆ วันๆ สรรหาวิธีด่าทอทีปังกรพุทธะ
เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งให้ความสนใจข่าวสารจากแต่ละที่ในโลกภายนอก ทางหนึ่งตั้งใจฝึกฝน
ผู้เข้มแข็งระดับเซียนเข้าฌานสักครั้งหนึ่ง อาจเป็นหลายสิบปี หลายร้อยปี หรือหลายพันปีผ่านไป
กาลเวลาเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็วดุจสายน้ำ
ถ้าหากว่าเริ่มนับหลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงเจรจากับนพยมโลกที่ชายฝั่งยมโลก เวลาสองร้อยปีพริบตาเดียวก็มาถึง
สองร้อยปี มากพอจะทำให้คนหลายรุ่นในโลกคนธรรมดาเปลี่ยนผ่าน
ทว่าสำหรับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เหมือนกับฝันตื่นหนึ่ง
ปัจจุบัน ตื่นจากฝันแล้ว
ในสวรรค์จู๋ลั่วหวงเจีย กลางฟ้าเหนือฟ้า ในนิวาสสถานที่เขาหลังของเขากว่างเฉิง
คนหนุ่มที่นั่งนิ่งค่อยๆ ลืมสองตา สูดลมหายใจเบาๆ
ฟ้าเหนือฟ้าขนาดมหึมา พริบตาหนึ่งเกิดลมพัดเมฆเคลื่อน วงจรปราณวิญญาณของฟ้าดินวินาทีนี้กำลังหยุดชะงัก
ในพริบตานี้ คนส่วนใหญ่บนโลกเพียงรู้สึกว่า ฟ้าเหนือฟ้าซึ่งที่แล้วมามีปราณวิญญาณเต็มเปี่ยม เป็นวิมานฟ้าแดนทิพย์ที่จอมยุทธ์เฝ้าปรารถนา ปราณวิญญาณที่ราวกับไร้สิ้นสุดหายไปหมดสิ้น
ฟ้าดินยังคงเกิดปรากฏการณ์เป็นพันหมื่น เพียงแต่ว่าเหมือนกับอยู่ๆ ก็สูญเสียสีสันทั้งหมด
คล้ายเป็นแค่พริบตาเดียว ฟ้าเหนือฟ้าที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความงดงาม ก็เข้าสู่ยุคสิ้นธรรมอย่างกระทันหัน เหือดแห้งเสื่อมโทรม
ไม่เพียงแต่ฟ้าเหนือฟ้าเท่านั้น โลกเบื้องล่างจำนวนมากอย่างโลกแปดพิภพและโลกผืนสมุทรที่เชื่อมกับฟ้าเหนือฟ้า ปราณวิญญาณทั้งหมดเหมือนสูญหายไปเฉยๆ
ถึงขั้นที่สวรรค์จู๋ลั่วหมิงเจียทั้งชั้นกำลังสั่นสะเทือน โลกน้ำพุหยกรวมถึงโลกเบื้องล่างในสวรรค์จู๋ลั่วหวงเจียต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ในฟ้าน้ำพุหยก ผู้มีอำนาจอย่างถงซินหลินและกว่างทงจื่อต่างสีหน้าสั่นสะท้าน สัมผัสได้ว่าปราณวิญญาณในฟ้าน้ำพุหยกคล้ายถูกโลกภายนอกดูดไป
พวกเขารีบออกจากฟ้าน้ำพุหยก เห็นส่วนในของสวรรค์จู๋ลั่วหวงเจียเกิดเส้นสายปราณวิญญาณที่มีรูปร่างขนาดมหึมา ไหลเวียนไม่หยุด
ปราณวิญญาณทั้งหมดต่างรวมตัวกันที่ฟ้าเหนือฟ้า
เขากว่างเฉิงบนฟ้าเหนือฟ้า ในนิวาสสถานบนหลังเขา บุรุษหนุ่มผู้นั่งนิ่งพ่นลมหายใจออกเบาๆ
พริบตานั้น เหมือนกับธารน้ำแข็งละลาย วสันต์เยือนแผ่นดินใหญ่ ปราณวิญญาณในฟ้าเหนือฟ้าเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ไหลเวียนด้วยตัวเอง สร้างความมั่นคงแก่วงจร
เหมือนกับภาพที่ปราณวิญญาณหายไปหมดเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นแค่ความรู้สึกหลอนของทุกคน
ในโลกใบอื่นๆ ล้วนเป็นเหมือนกัน
พวกถงซินหลินยืนอยู่นอกฟ้าน้ำพุหยก ในความว่างเปล่าของจักรวาลแห่งสวรรค์จู๋ลั่วหวงเจีย มองดูวงจรปราณวิญญาณขนาดมหึมานั้นเปลี่ยนกลับชั่วพริบตา แต่ว่าไร้การชะงักใดๆ
เหมือนกับว่าวงจรปราณวิญญาณเดิมหมุนวนกลับด้านเช่นนี้อยู่แล้ว
ปราณวิญญาณในฟ้าน้ำพุหยกที่ถูกดึงไป กลับมายังฟ้าน้ำพุหยกและโลกมากมายใต้การปกครองอีกครั้ง ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนตอนแรก เป็นธรรมชาติถึงขีดสุด
พวถงซินหลินมองหน้ากัน ชั่วขณะนี้ถึงกับส่งเสียงไม่ออกสักคน
เนิ่นนานให้หลัง กว่างทงจื่อค่อยเอ่ยถาม “นี่…หรือว่าเป็นจ้าวสยบฟ้าท้าสู้ภัยพิบัติฟ้ากำเนิด ทะลวงสู่มหาชาล”
“ไม่ การทะลวงภัยพิบัติฟ้ากำเนิด สำเร็จสามบุปผาบนกระหม่อม ร่างไม่เสื่อมสลาย สมควรมิใช่อย่างนี้” ถงซินหลินส่ายหน้า จากนั้นเว้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “นี่…นี่กลับเป็นภาพที่มีเซียนกำเนิดหลอมบุปผาปราณบนกระหม่อม ทว่า…”
นางกล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าฉายแววลังเล “ทว่า…”
“ทว่าทำไมมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตอย่างนี้?” คนด้านข้างพูดต่อ “เซียนกำเนิดคนไหนมีสภาวะขนาดนี้…”
พูดถึงตรงนี้ คนคนนั้นพลันหุบปาก เสียงหายไปกลางคัน
ทุกคนท่านมองข้า ข้ามองท่าน ครู่ต่อมองก็ร้องเป็นเสียงเดียวกัน
“เทวกษัตริย์น้อย เยี่ยนจ้าวเกอ!”
ในฟ้าเหนือฟ้า ในเขากว่างเฉิง ณ วินาทีนี้ เยี่ยนตี๋ สวีเฟย หยวนเจิ้งเฟิงกำลังพูดคุยกัน เสวี่ยชูชิงอยู่ด้านข้าง
หลังสัมผัสได้ว่าการเคลื่อนไหวปราณวิญญาณกลางฟ้าดินกลับสู่สภาพเดิม เยี่ยนตี๋ก็จับฝ่ามือเสวี่ยชูชิง สองสามีภรรยายิ้มให้กัน
“ยินดีด้วย ยินดีด้วย” สวีเฟยกับหยวนเจิ้งเฟิงอยู่ด้านข้าง ใบหน้าล้วนยิ้มพึมพอใจ แสดงความยินดีกับเยี่ยนตี๋สามีภรรยา
ในนิวาสสถานที่เขาหลัง ปรากฏความมืดไร้รูปร่างผืนหนึ่ง ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ เหมือนกับว่าเข้ามาจากด้านนอกโลกไกลแสนไกล และคล้ายเดิมทีอยู่ที่นี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ในความมืดปรากฏเงาร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง
นางผลักประตูนิวาสสถาน คนหนุ่มด้านในกำลังหันหน้าหานาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
บุปผาแสงสองดอกรวมกันบนศีรษะคนหนุ่ม
หนึ่งดอกจิตเชื่อมจักรวาล
หนึ่งดอกปราณสะท้านสวรรค์
………………..