ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1692 คนขัดบรรยากาศ
ต่อจากบุปผาจิตดอกแรก เยี่ยนจ้าวเกอก็รวมบุปผาปราณบนศีรษะได้ สองบุปผาบนกระหม่อม ก้าวสู่ระดับใหม่ในขอบเขตสุญญตา
เขายิ้มพลางมองเฟิงอวิ๋งเซิง กะพริบตา
“ดูท่าทางได้ใจของท่านสิ” เฟิงอวิ๋นเซิงพูดขึ้น อดหัวเราะไม่ได้
“ตอนนี้ข้ามิใช่ว่าจิตปราณ[1]หรอกหรือ?” สองบุปผาบนกระหม่อมเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ หายไป กลับลงไปในสมองของเขา
เขานั่งอยู่บนเบาะนวมไม่ขยับ กลับกลางสองแขน ทำท่าโอบกอดเฟิงอวิ๋นเซิง หัวเราะแหะๆ ชอบใจ “ยัยภรรยาตัวน้อย สมควรถึงเวลาเจ้าใช้คืนแล้ว”
“ท่านผู้นี้ อยู่ๆ ก็เหลวไหลตลอด” เฟิงอวิ๋นเซิงไม่เหนียมอาย นั่งลงในอ้อมอกเยี่ยนจ้าวเกอ หลังพิงอกของเขา
เยี่ยนจ้าวเกอกอดแขนแน่น พูดด้วยรอยยิ้มข้างหูนางว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่จริงจังที่สุดแล้ว”
“ท่านว่าใช่ก็ใช่แล้ว” เฟิงอวิ๋นเซิงในที่สุดก็ทนไม่ไหว อดหดคอไม่ได้ แต่ว่าก็ผ่อนคลายอย่ารวดเร็ว ยืดคอไปด้านหลังพิงกับไหล่ของเยี่ยนจ้าวเกอ
ขณะมองหูที่แดงขึ้นเล็กน้อยของนาง เยี่ยนจ้าวเกออดใช้ริมฝีปากขบติ่งหูกลมเนียนนุ่มของนางเบาๆ ไม่ได้
สตรีในอ้อมอกร่างอ่อนระทวยส่วนหนึ่งอย่างมิอาจควบคุม
แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้หยอกนางต่อ
เขาเพิ่งออกฌาน พลังฝึกปรือสำเร็จมากขึ้นขั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคนในเขากว่างเฉิง หรือคนอื่นๆ ย่อมต้องมาแสดงความยินดี
ตอนนี้เป็นแค่ช่วงเวลาที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอเก็บไว้กล่าววาจาส่วนตัวสำหรับพวกเขาสองสามีภรรยา อีกเดี๋ยวก็จะผ่านไปแล้ว
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอยังกอดเฟิงอวิ๋นเซิงไว้ไม่ปล่อย เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงจะบอกตลอดว่าเป็นสามีภรรยาแล้ว แต่มิใช่แค่ไม่ได้เข้าห้องหอ พวกเราแม้แต่พิธีกราบไว้ฟ้าดินก็ยังไม่เคยทำ”
เฟิงอวิ๋นเซิงมุมปากแฝงรอยยิ้ม “ท่านคิดเสียใจก็ไม่ทันแล้ว”
“ยัยโง่” เยี่ยนจ้าวเกอแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “หากเสียใจจริงๆ เช่นนั้นขอรับประทานเจ้าจนหมด เอาเปรียบจนพอใจแล้วค่อยว่ากัน แรกลวนลามท้ายทิ้ง ยังไม่ทันได้ ‘แรกลวนลาม’ ไหนเลยจะ ‘ท้ายทิ้ง’ ได้ง่ายดายอย่างนั้น เจ้าว่าถูกไหม?”
“ถูกแล้วๆ รู้ว่าท่านติดขนยังละเอียดกว่าลิง[2] ไหนเลยทำเรื่องเสียเปรียบได้” เฟิงอวิ๋นพิงในอ้อมอกเยี่ยนจ้าวเกออย่างเกียจคร้าน
“ข้ารอวินาทีที่จะได้เปิดผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวด้วยมือตัวเองมาโดยตลอด” เยี่ยนจ้าวเกอไม่หัวเราะแล้ว โอบกอดนาง กล่าวเบาๆ “ประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ทราบว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน”
ถูกเยี่ยนจ้าวเกอหยอกล้อ เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ว่าอะไร
แต่ว่าในขณะที่เขากล่าวจริงจัง หูนางกลับแดงกว่าเดิม พึมพำว่า “ข้าอยากรู้ยิ่งเช่นกัน…”
สองคนไม่คุยกัน นั่งแอบอิงกันเงียบๆ ถึงจะไร้เสียง จิตใจกลับปลอบประโลม
ครู่ต่อมา อยู่ๆ เยี่ยนจ้าวเกอก็ถอนใจ “คนขัดบรรยากาศมาแล้ว”
ถึงเขายังคิดจะกอดเฟิงอวิ๋นเซิงไม่ปล่อย แต่ว่าต่อหน้าผู้อาวุโส เฟิงอวิ๋นเซิงสุดท้ายแล้วนั่งไม่อยู่ ลุกขึ้นจากอ้อมอกเยี่ยนจ้าวเกอ
จากนั้นตรงประตูก็ปรากฏเงาคนหลายสาย เป็นพวกเยี่ยนตี๋ เสวี่ยชูชิง สวีเฟย และหยวนเจิ้งเฟิงมาถึง
“พวกเราขัดบรรยากาศจริงๆ” พอพบหน้า หยวนเจิ้งเฟิงก็เอ่ยพร้อมหัวเราะทันที
ประโยคก่อนหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ได้แอบใคร ตั้งใจส่งเสียงเข้าไปในหูพวกเขา
“แต่ว่ายังต้องมา มีเรื่องสำคัญส่วนหนึ่งต้องพูดกับเจ้าก่อน” เจ้าสำนักคนเก่าเอ่ย “หลังจากนี้อีกไม่นาน จะเป็นวันสู้ตัดสินระหว่างมหาเทพสมุทรตรีภพของสำนักเต๋าเราและทีปังกรพุทธะแห่งแดนสุขาวดีตะวันตก”
“อ้อ? หมายความว่าทีปังกรพุทธะรับคำท้าของมหาเทพสมุทรตรีภพแล้ว?” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วขึ้น
เกือบสองร้อยปีแล้วที่ปล่อยให้นาจาขวางประตูร้องตะโกน ทีปังกรพุทธะไม่รับสู้
ท่านไม่ตอบรับคำท้าของนาจา นาจาก็ไม่อาจทะลวงเข้าไปจับท่านในพุทธเกษตรของแดนสุขาวดีตะวันตก กดดันให้ท่านสู้ได้
เวลาสองร้อยปี สำหรับคนธรรมดาแล้ว ยาวนานมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าสำหรับผู้เข้มแข็งระดับเท่าทีปังกรพุทธะและนาจา เป็นเวลาชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น
พวกเขาฝึกฝนด้วยตัวเอง การเข้าฌานครั้งหนึ่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่ได้ใช้เวลาเท่านี้
ทีปังกรพุทธะเก็บตัวในแดนสุขาวดีตะวันตกไม่ไปไหน คอยควบคุมอยู่หลังฉากอยู่แล้ว ออกพุทธเกษตรแดนสุขาวดีน้อยสุดขีด
สถานการณ์ในตอนนี้นอกจากจะเสียหน้า ผลกระทบของจริงที่เกิดกับท่านค่อนข้างมีจำกัด อย่างมากสุดนักบวชศาสนาพุทธคนอื่นๆ ในแดนสุขาวดีตะวันตกตั้งคำถามในตัวท่าน แต่ปัจจุบันทีปังกรพุทธะยังสะกดทัพได้
แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะเข้าฌาน แต่ว่าทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง คนของเขากว่างเฉิงจะทำสำเนาข้อมูลจากโลกภายนอกที่รวบรวมได้ล่าสุดมาให้เขาพิจารณา
ครั้งนี้ถึงเยี่ยนจ้าวเกอจะไม่ได้เข้าฌานปิดตาย ตัดขาดการรับรู้ต่อโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ แต่ว่าในระหว่างผนึกหลอมบุปผาปราณ ช่วงเวลาเข้าฌานค่อนข้างนาน ทั้งเพ่งสมาธิทั้งหมด ในช่วงเวลานี้พวกเยี่ยนตี๋จึงไม่รบกวนเขา
เกี่ยวกับเส้นทางล่าสุดของโลกภายนอก เขาทราบอย่างจำกัด
ตอนนี้ทีปังกรพุทธะเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน รับคำท้าของนาจา ย่อมทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสนใจในสาเหตุ
เฟิงอวิ๋นเซิงตอนนี้สงบนิ่งโดยสิ้นเชิง พยักหน้าอยู่ด้านข้าง ตอบคำถามของเขา “พี่ร่วมเส้นทางนาจาโจมตีสังหารนักบวชไป๋ซยง”
“อืม…” เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง
นักบวชไป๋ซยง เป็นศิษย์ผู้น่าภาคภูมิใจที่ทีปังกรพุทธะถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง
ปกติรับภารกิจจากทีปังกรพุทธะ เคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก
ตามเหตุผลแล้ว มีเทพพิฆาตนิสัยบ้าบิ่นอย่างนาจาขวางประตูด้านนอก นักบวชไป๋ซยงสมควรลดการออกไปด้านนอกให้มากที่สุดถึงจะถูก
นาจาไม่หาเรื่องคนอื่น กลับอาจหาเรื่องท่าน
ถึงเยี่ยนจ้าวเกอยังไม่รู้ว่านักบวชไป๋ซยงไปส่งชีวิตใต้คมหอกไฟของนาจาได้อย่างไร แต่ว่าผลลัพธ์นี้มอบผลกระทบการเปลี่ยนแปลงให้เรื่องราวอย่างไม่ต้องสงสัย
มิพักเอ่ยถึงทีปังกรพุทธะคิดอย่างไร ครั้งนี้ท่านยากจะนั่งติดแล้ว
บุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับนาจา ความจริงกล่าวโดยรวมแล้ว ท่านเป็นฝ่ายเอาเปรียบ ไม่ได้เสียหายอะไร คนที่ขาดทุนคือนาจา ดังนั้นนาจาย่อมไม่ลืม ทีปังกรพุทธะไม่ต้องใส่ใจก็ได้
ทว่าตอนนี้ นักบวชไป๋ซยงศิษย์ที่ท่านสั่งสอนด้วยตัวเองตายด้วยมือนาจา ท่านไม่รับท้าสู้อีก การโยกคลอนต่อบารีและชื่อเสียงของท่านขยายขึ้นอีกขั้นแล้ว
สถานการณ์ของนักบวชไป๋ซยงกับหลี่จิ้งไม่คล้ายกัน ระหว่างหลี่จิ้งกับนาจามีบัญชีซับซ้อน เป็นบิดาตามความหมาย ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองนับว่าเป็นเรื่องครอบครัว
ทีปังกรพุทธะถ้าหากว่าออกหน้าแทนหลี่จิ้งเพราะนาจา ‘ปิตุฆาต’ ถ้าพลิกบัญชีนั้นขึ้นมา ผู้ริเริ่มเหตุการณ์สะเทือนขวัญฉากนี้ ตัวท่านความจริงเป็นส่วนหนึ่ง
ดังนั้นบัญชีซับซ้อนก็ซับซ้อนแล้ว นอกจากนาจาผู้เกี่ยวข้อง ทุกคนต่างเลือกความจำเสื่อม
ตอนนี้นักบวชไป๋ซยงตายด้วยน้ำมือนาจา กดดันให้ทีปังกรพุทธะรับคำท้ามากกว่าเดิม
“ถ้าหากว่าสู้กันจริงๆ ย่อมดี” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างครุ่นคิด “ทีปังกรพุทธะมีมุกค้ำทะเลบนมือไม่ครบ ด้วยพลังของมหาเทพสมุทรตรีภพ มีโอกาสมาก ต่อให้ล้มเหลว คาดว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทางทีปังกรพุทธะไม่ว่าชนะหรือแพ้ล้วนยากรับได้”
………………..
[1] จิตปราณ ตรงนี้ในภาษาจีนคือคำว่า 神气 แปลตรงตัวว่าจิตและปราณ แต่แปลว่าความทะนงตน วางท่าก็ได้ เยี่ยนจ้าวเกอเล่นมุกจากการที่ตัวเองรวมบุปผาจิตและบุปผาปราณได้แล้ว
[2] ติดขนยังละเอียดกว่าลิง หมายถึง ทำอะไรล้วนวางแผนอย่างดี