ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1695 เข้าสู่แดนตะวันตก
“เรื่องที่เจ้าพูด ข้าก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน” ไท่อี้จินหยินพยักหน้า เอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางด้านศิษย์เล็กของฝากพวกสหายน้อยเยี่ยนและหยางเจี่ยน พวกข้าจะอยู่ด้านนอก ดูว่าทีปังกรมีแผนการอะไรกันแน่”
เยี่ยนจ้าวเกอถาม “จินหยินไม่รอพี่ร่วมเส้นทางหยางแล้ว?”
“ไม่จำเป็นแล้ว พวกเจ้าคนหนุ่มเป็นคลื่นลูกหลังกลบคลื่นลูกหน้า เหนือกว่าพวกเราคนชรา ไหนเลยต้องให้ข้าอยู่หน้าประตูคอยกำชับกำชาอีก?” ไท่อี้จินหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างศิษย์ข้าผู้นี้ กล่าวกันจริงๆ ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว กลับทำให้คนเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
นาจากระอักกระอ่วนอยู่ด้านข้าง “ท่านอาจารย์ ข้าไหนเลยเป็นอย่างที่ท่านว่า”
“เจ้าผู้นี่ ทำเรื่องใดต้องรอบคอบมากๆ ถึงจะถูก” ไท่อี้จินหยินส่ายหน้า “ครั้งนี้ไปถึงพื้นที่ของแดนสุขาวดีตะวันตก สู้กับทีปังกร สู้ได้ก็ได้ สถานการณ์ถ้าไม่ถูกต้อง เช่นนั้นก็จงมีไหวพริบ ร่วมมือกับพวกสหายน้อยเยี่ยน ออกมาก่อนค่อยว่ากล่าว”
“ไม่ไหวจริงๆ ภายหลังมีโอกาส ค่อยตามหาทีปังกรพุทธะใหม่”
ได้ยินคำพูดของไท่อี้จินหยิน นาจาก็หงุดหงิด “ท่านอาจารย์ ท่านกำลังกระตุ้นแม่ทัพ หรือว่าสร้างความฮึกเหิมแก่คนอื่น ดับบารมีฝ่ายตัวเองกัน?”
“เอาเป็นว่าเจ้าจงระวังตัว” ไท่อี้จินหยินโบกแขนเสื้อ บอกลาศิษย์ของตัวเองและพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนจะหมุนกายจากไป
รอไท่อี้จินหยินไปแล้ว นาจาหันไปมองทางแดนสุขาวดีตะวันตก พูดอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “ขอแค่อามิตาภพุทธเจ้ากับมหาวิทยราชมยุรีไม่ลงมือ แดนสุขาวดีก็มิใช่บึงมังกรถ้ำเสืออันใด”
“แต่ใช่ว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้คนอื่นโผล่มา” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย
เขามองนาจาอย่างสนอกสนใจ ถามว่า “จะว่าไปพี่ร่วมเส้นทางมีวิธีสะกดมุกค้ำทะเลหรือ?”
“หลังจากข้าสำเร็จร่างแปลงดอกบัว ก็ไม่กลัวเส้นแสงที่ทำตาพร่ามัวของมุกค้ำทะเลแล้ว ไม่มีทางถูกหยุดไว้” นาจาตอบ “แต่ว่ามุกค้ำทะเลนอกจากความสามารถนี้ ยังหนักอึ้งสุดขีด จำนวนก็มาก ถึงเวลารับมือ ได้แต่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ มองหาช่องโหว่ว”
“มุกค้ำทะเลเดิมมียี่สิบสี่ชิ้น ตอนนี้หายไปหกชิ้น ไม่สมบูรณ์แล้ว ข้ามีหวังมากอยู่”
ถึงแม้นิสัยจะใจร้อนไปบ้าง แต่นาจาผ่านมาร้อยสงคราม หากกล่าวถึงประสบการณ์การสู้กับศัตรูจริงๆ คนที่เทียบกับเขาได้บนโลกในตอนนี้ล้วนมีน้อย
แม้ดูเหมือนจะท้ารบทีปังกรพุทธะอย่างไร้เหตุผล แต่ว่านาจาก็มิได้ตาบอด รู้จักศัตรูของตัวเองดี “กลับกันตอนนั้นเจดีย์ทองเหลืองหรูอี้ในมือหลี่จิงมาจากศาสนาพุทธ ข้ากลับต้องระวังด้วยว่าโจรหัวล้านเฒ่าทีปังกรยังมีวิธีสะกดกายเซียนบัววิเศษของข้า”
ตอนนั้นหลี่จิ้งราชาเจดีย์สวรรค์ถูกนาจาจู่โจมสังหารด้วยมือตัวเอง เจดีย์ทองเหลืองหรูอี้ที่สะกดกายเซียนบัววิเศษของเขาก็ถูกเขาทำลายไปด้วย
ทว่าศาสนาพุทธหรือทีปังกรพุทธจะมีของวิเศษไว้สะกดนาจาหรือไม่ กลับยังยากจะบอก เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าข้อนี้ไม่อาจไม่ป้องกัน
เกิดว่าถูกอีกฝ่ายทำลายแก้ไขกายเซียนบัววิเศษของนาจาจริงๆ ต่อให้จะเป็นแค่ชั่วคราว ต่อจากนี้นาจาต้องเผชิญการคุกคามจากมุกค้ำทะเล
เมื่อถูกมุกค้ำทะเลทำตาพร่ามัว สะกดจิตวิญญาณ ตอนนั้นมุกค้ำทะเลฟาดลงมา คนไม่ทันหลบพ้น ถึงขั้นอาจถูกกระแทกสมองไหล
“เจดีย์ทองเหลืองหรูอี้นั้นถูกข้าทำลาย ข้าพอจับเคล็ดสำคัญส่วนหนึ่งด้านในได้แล้ว” นาจาเอ่ย “ถ้าหากยังเป็นวิชาจากแหล่งเดียวกัน ข้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสอย่างน้อยเจ็ดส่วน ไม่กลัวความสามารถของพวกมัน”
พวกเยี่ยนจ้าวเกอได้ยิน ต่างพยักหน้าแช่มช้า
เจ็ดส่วนฟังดูไม่สมบูรณ์แบบ แต่ว่าในประลองระหว่างยอดฝีมือระดับเดียวกัน เป็นความมั่นใจที่สูงมากแล้ว
“ครั้งกระโน้นเป็นโจรเฒ่าหัวล้านทีปังกรใช้เจดีย์ทองเหลืองหรูอี้นั่นสะกดข้าก่อน จากนั้นก็มอบให้แก่หลี่จิ้ง” นาจาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “วันนี้ต้องคิดบัญชีกับมันให้ได้”
“วันนี้เจ้าลงมือได้เต็มที แต่อย่าได้ประมาทศัตรู” ยามนี้เสียงหนึ่งดังขึ้นในความว่างเปล่า สิ่งที่ปรากฏพร้อมกับมันคือนักพรตหนุ่มที่สวมหมวกเมฆพัด อาภรณ์ย้อมคราม เอวมัดสายรัด สวมรองเท้าป่านคนหนึ่ง เป็นหยางเจี่ยนนั่นเอง
“รบกวนพี่ร่วมเส้นทางช่วยข้าสะกดทัพในวันนี้” นาจากล่วอย่างฮึกเหิม “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนตี๋ กับหยางเจี่ยนพอพบหน้าก็คารวะ
เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านระวังตัวมากๆ ข้ารออยู่ด้านนอก”
“รบกวนสหายร่วมเส้นทางแล้ว” นาจาขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็นำหน้าไปยังแดนสุขาวดีตะวันตก
เยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ หยางเจี่ยนติดตามไปด้วย ขณะเดียวกันเยี่ยนจ้าวเกอก็บอกความเห็นที่พูดคุยกับไท่อี้จินหยินเมื่อก่อนหน้าของตัวเองกับหยางเจี่ยน
“ความกังวลของพวกเจ้าไม่ไร้ความเป็นไปได้” หยางเจี่ยนพยักหน้า “มีอาจารย์ลุงไท่อี้ อาจารย์ลุงหนานจี๋ไป สมควรไม่มีอุปสรรคใหญ่แล้ว”
“อาจเป็นแค่พวกเราคิดมากเอง” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย
คณะคนเข้าใกล้แดนสุขาวดีตะวันตก เสียงมนตราบทสวดมนต์ดังขึ้นตรงหน้า พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งปรากฏตัว ผู้มาเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม
นางมองนาจา สีหน้าฉายความเมตตาสงสาร “ไฉนต้องอาละวาดถึงขั้นนี้ให้ได้?”
“เรื่องราวถึงขั้นนี้ พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจา” นาจาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “มู่จาตายด้วยมืออาจารย์ข้า พระสมันตภัทรโพธิสัตว์อาจไม่ปล่อยผ่าน หลังจากเข้าศาสนาพุทธมู่จาก็เคยเป็นศิษย์ท่าน ถ้าต้องแก้แค้นแก่เขา ข้าจะรับไว้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องอาจารย์ข้าแล้ว”
พระโพธิสัตว์กวนอิมส่ายหน้าเบาๆ ถอนใจอีกครั้ง “พวกเจ้าครอบครัว…”
“ข้ามิใช่ครอบครัวเดียวกับพวกเขาแล้ว” นาจาตัดบท “ตอนเกิดมหาภัยพิบัติ พวกท่านสองโพธิสัตว์กับมู่จาไม่เข้าร่วม ยังนับว่าคำนึงถึงมิตรภาพเก่าก่อนหลายส่วน แต่ว่าทีปังกรกับหลีจิ้งศิษย์อาจารย์กลับกวนหคนลมฝนในนี้”
“ระหว่างข้ากับมู่จาเดิมไม่มีความขัดแย้ง แต่หลังจากข้าสังหารหลี่จิ้ง จะให้เรียก ‘พี่สอง’ อีกข้าทำไม่ได้แล้ว เขาไม่ผิด แต่ข้าไม่ผิดยิ่งกว่า”
นาจากล่าวอย่างเย็นชา “ทั้งหมดนี้ สืบสาวถึงต้นตอ ผู้ริเริ่มเป็นใคร พระโพธิสัตว์คิดเองก็คงทราบดี สงครามนี้วันนี้เกิดเพราะสาเหตุนี้”
ถูกนาจาตำหนิ พระโพธิสัตว์กวนอิมไม่มีโทสะ กล่าวอย่างเรียบเฉย “วันนี้เจ้าได้ความสามารถยิ่งใหญ่ พึงระลึกว่าทิฐิล้ำลึกเกินไป มิใช่เรื่องดี”
“วันนี้เป็นวันนี้ข้าจะได้แก้ไขทิฐิ” นาจาตอบอย่างไม่ลดราวาศอก
ระหว่างสนทนา ทุกคนก็เข้าสู่แดนสุขาวดีตะวันตก
เยี่ยนจ้าวเกอแลเห็นความว่างเปล่าไพศาลอยู่ใต้แสงสีทองจางๆ บัวเขียวขนาดมหึมามากมายลอยอยู่กลางอากาศ
ที่นี่เหมือนกับบึงน้ำขนาดมหึมาผืนหนึ่ง ดอกบัวหลายดอกเบ่งบานบนผิวน้ำ จำนวนเหลือคณานับ มองดูไม่เห็นชายขอบ
แดนสุขาวดีตะวันตกมีพุทธเกษตรนับไม่ถ้วน
ผู้ยิ่งใหญ่ศาสนาพุทธที่ฝึกฝนแดนสุขาวดีของตัวเองสำเร็จ จะเก็บแดนสุขาวดีไว้ในแดนตะวันตกแห่งนี้
“สำหรับตัวข้า ยังหวังให้แดนสุขาวดีตะวันตกอยู่ร่วมกันกับสหายร่วมเส้นทางทุกท่านอย่างปรองดอง” พระโพธิสัตว์กวนอิมมองเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ และหยางเจี่ยนปราดหนึ่ง
“พวกเราย่อมหวังว่าจะอยู่ร่วมกับโพธิสัตว์ท่านอย่างปรองดองเช่นกัน” หยางเจี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่ความนัยที่แฝงในถ้อยคำ เห็นได้ชัดเจน
พระโพธิสัตว์กวนอิมย่อมฟังออก ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่เปลืองวาจาอีก นำผู้คนเคลื่อนไหวในความว่างเปล่าที่มีแต่บัวเขียว
เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนไหวด้านใน สัมผัสได้เลือนรางว่า ในพุทธเกษตรแดนสุขาวดีแต่ละแห่งนั้น สายตาจำนวนมากกำลังส่งตัวและจับจ้องพวกเขา
………………..