ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1772 พนันแพ้แล้ว
ประโยคเดียว ไม่มีหัวมีท้าย ทำให้คนอื่นๆ ยากทำความเข้าใจความหมายของเยี่ยนจ้าวเกอ
ในจานผลึกนั้น ร่างของเนี่ยจิงเสินสั่นไหวน้อยๆ
ทุกคนพูดคุยกัน ค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์หมุนวนไม่หยุด แข็งแกร่งมากขึ้น
ทะเลเลือดทะลักขึ้นบน ผลักดันค่ายกลลงทัณฑ์เซียนออกจากเหวลึก
ประกายโลหิตซัดสาดนั้นฉวยโอกาสในตอนนี้ พุ่งออกจากหุบเหวทะเลมารนพยมโลก
ไอเลือดยิ่งใหญ่ไพศาลในนพยมโลก วินาทีนี้หลอมรวมกับประกายโลหิต ทำให้นพยมโลกทั้งหมดเหมือนกับถูกท่วมในทะเลเลือด
ประกายโลหิตที่แข็งแกร่งทำให้ผู้เข้มแข็งระดับมหาชาลทั้งหมดรอบๆ ต่างรู้สึกสกัดไม่อยู่
ต่อให้มหาวิทยราชมยุรีกระจายแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของตัวเอง ก็ถูกประกายโลหิตกลืนกินแพร่เชื้อไม่หยุด
กระแสคลื่นสีแดงเลือดเริ่มขยายไปด้านนอกนพยมโลก
บรรยากาศอันน่ากลัวที่เหมือนกับวันสิ้นโลกมาถึงครอบคลุมมหาจักรวาล
แดนสุขาวดีตะวันตกไม่มีอามิตาภพุทธเจ้าควบคุม ตอนนี้ไม่บริสุทธิ์เท่าก่อนหน้า
แสงพุทธที่เป็นมงคลน่ายินดีถดถอย บนบัวเขียวมากมายเหมือนเปื้อนเลือด
ในเขาดาราทะเลดวงดาวของเผ่าปีศาจ แสงอาทิตย์คล้อยต่ำ จักรวาลเย็นเยียบ
ในสวรรค์ไท่ซู่ ต้นชบาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเหมือนที่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น กิ่งใบปรากฏเค้าเหี่ยวแห้ง
โถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวเส้นทางนอกรีตถูกประกายโลหิตครอบคลุมเช่นกัน
เหล่าสาวกเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตรงหน้า รู้สึกสะพรึงกลัว
ความสงบสุขที่วิงวอนให้ได้มาอย่างศรัทธา วันนี้พานไม่มา ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดกว่าเดิม
สวรรค์สำนักเต๋าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สรรพชีวิตต่างแตกตื่นสับสน
ไม่ว่าสวรรค์สำนักเต๋า หรือแดนสุขาวดีของศาสนาพุทธ โลกจำนวนมากของเผ่าปีศาจ หรือที่ที่เส้นทางนอกรีตสองเส้นทางอยู่ ตอนนี้ต่างเผชิญการกัดกินจากนพยมโลก
มีด้านในโลกบางส่วน มิติเวลาถึงขั้นแตกออก ปรากฏร่องแยก นพยมโลกมาถึง ปราณมารกระเพื่อม
ในทะเลเหวนพยมโลก เสาสิบสองต้นนั้นก็สูงขึ้นไม่หยุด สุดท้ายลอยขึ้นตามทะเลเลือด มาถึงด้านบนทะเลเหว
มารสวรรค์บรรพกำเนิดกับมารสวรรค์ไร้พันธนาต่างมองค่ายกลลงทัณฑ์เซียนกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอตรงหน้าอย่างเรียบเฉย
นอกจากสิบสองเทพมารสวรรค์ที่ยังคงอยู่ มารร้ายนพยมโลกตนอื่นๆ ตอนนี้พากันพุ่งออกจากด้านในเหวลึก!
ประกายโลหิตเชี่ยวกรากชำระหลอม มารร้ายทั้งหมดพลังทวีเพิ่มขึ้น!
ใต้การครอบคลุมของประกายโลหิต ไม่ว่าจะเป็นพวกหยางเจี่ยน สั่วหมิงจาง หรือมหาวิทยราชมยุรี ทีปังกรพุทธะ ลู่ยาเต้าจวิน ต่างก็ได้รับความกดดันสุดขีด
ความสามารถทั้งหมดสิบส่วนมีเก้าส่วนเก้าต้องใช้ต้านการคุกคามจากค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์
หนำซ้ำเป็นการคุกคามที่ยิ่งมายิ่งร้ายกาจ
การคุกคามที่เริ่มไม่อาจทนได้ต่อไป
วินาทีนี้เหมือนเสือตกสู่พื้นราบ มังกรแหวกว่ายไปยังน้ำตื้น
ในอดีตไม่ว่าผู้ใดก็กวาดทำลายรอบทิศ แต่ตอนนี้มารร้ายนพยมโลกตรงหน้ากลับกลายเป็นศัตรูเป็นตาย คือฟางเส้นสุดท้ายที่พร้อมบดขยี้อูฐได้ตลอดเวลา[1]
ค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์ครอบคลุมเหล่ามาร ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนทำอะไรพวกมันไม่ได้
ระห่างฟ้าดิน มวลมารอาละวาด
เงามืดแห่งความตายปกคลุมจิตใจทุกๆ คน
สิ่งที่่ทำให้คนสิ้นหวังยิ่งกว่าก็คือ ความสนใจของมารสวรรค์บรรพกำเนิดกับมารสวรรค์ไร้พันธนายังอยู่ที่อื่น มิได้ลงมือกวาดล้างคนที่อยู่รอบๆ อย่างแท้จริง
เหล่าจอมมารระดับสุดยอดตั้งใจควบคุมค่ายกลสิบสองเทพมารสวรรค์
สายตาของพวกมันตอนนี้ต่างมองเสาที่เป็นสัญลักษณ์ของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรม
บนเสาต้นนั้น ร่างของเจี่ยนซุ่นหวาเริ่มแนบชิดกับเงาแสงที่ปกคลุมนาง
เงาแสงนั้นยิ่งมายิ่งผนึกตัว ยิ่งมายิ่งเป็นจริง แทบจะกลายเป็นการดำรงอยู่ในความเป็นจริง
ไอความพินาศในโลกยิ่งมายิ่งเข้มข้น เหมือนกับเดินถึงจุดสิ้นสุด มาถึงวันสิ้นโลก
หลังมารสวรรค์บรรพกำเนิดปลดผนึก มารสวรรค์ปัจฉิมธรรมก็กำลังจะจุติ!
ถึงเวลานั้นสามบรรพมารอยู่ร่วมกัน แม้ว่าอามิตาภพุทธเจ้ากับ กษัตริย์บูรพาไท่อี้จะเหยียบย่างสู่นพยมโลกอีก ก็ไม่อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้
เฟิงอวิ๋นเซิงสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ
ทว่านางค่อยๆ ปรับสภาพของตัวเองให้มั่นคง
หลังสงบจิตใจ ภายใต้การครอบคลุมของประกายโลหิต นางเป็นอิสระมากกว่าพวกหยางเจี่ยน สั่วหมิงจาง ข่งซวนมาก
สภาวะโจมตีของหมู่มารนพยมโลก หลักๆ แล้วพึ่งพานางสกัดไว้
ตอนนี้มารสวรรค์ไร้พันธนาหันมองอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “กลับมาเถอะ”
แขนข้างหนึ่งในแปดข้ามทิ่มใส่อากาศไปทางเฟิงอวิ๋นเซิง
เฟิงอวิ๋นเซิงเหมือนได้รับการโจมตีรุนแรง หุบเหวบนศีรษะแทบหายไป ร่างกายลอยเข้าไปหามารสวรรค์ไร้พันธนาโดยไม่อาจควบคุม
นางกัดฟันกรอด วูบไหวร่าง พุ่งไปยังเหวลึกโกลาหลโดยตรง คนหายไป
ความโกลาหลสลายไปเพราะการกระแทกจากประกายโลหิต ร่างของเฟิงอวิ๋นเซิงโผล่ขึ้นอีกด้าน
มารสวรรค์ไร้พันธนาไม่สนใจ สีหน้าไร้การเปลี่ยนแปลง ชี้มือไปทางเฟิงอวิ๋นเซิงแต่ไกลอีกครั้ง
ทว่าการเคลื่อนไหวไปถึงกลางทาง มันพลันหยุดนิ่ง
มารสวรรค์บรรพกำเนิดที่อยู่ด้านข้างตอนนี้หันหน้ามามองอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
ณ ที่แห่งนั้น กลางสีแดงเลือดทั่วฟ้า อยู่ๆ ก็มีสีม่วงโผล่ขึ้นมา
คนที่อยู่รอบๆ เห็น สีหน้าต่างกันไป
เยี่ยนจ้าวเกอใบหน้าราบเรียบดุจเดิม เสียงไม่เร่งไม่ร้อน
“นพยมโลกพนันแพ้แล้ว”
เหมือนกับเป็นเชิงอรรถของประโยคนี้ สีม่วงแถบนั้นเข้ามาใกล้ บรรลุถึงตรงหน้าทุกคน
มองไกลๆ เพียงแค่เป็นหยด แต่หลังจากเข้าใกล้ ก็ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด ควันม่วงไพศาลร้อยล้านหมื่นลี้ กว้างใหญ่ยากจะคำนวณ
ควันม่วงยิ่งใหญ่ปูเป็นเส้นทางสายหนึ่ง แผ่ออกจากนพยมโลกไปถึงทะเลเลือดโดยตรง แผ่ไปถึงที่ที่เสาสิบสองต้นนั้นอยู่
แผ่ไปถึงตรงหน้ามารสวรรค์บรรพกำเนิดกับมารสวรรค์ไร้พันธนา
ตรงนั้นปรากฏชายชราชุดนักพรตผู้หนึ่ง นั่งอยู่บนหลังกระบือตัวหนึ่ง
“สหายร่วมเส้นทางมาแล้ว” มารสวรรค์บรรพกำเนิดสายตาไม่หวั่นไหว มองชายชราชุดนักพรตบนหลังกระพือตรงหน้า
“ถูกต้อง” ชายชราขานตอบอย่างเรียบเฉย
มารสวรรค์ไร้พันธนามองชายชราตรงหน้าเช่นกัน “คนที่ติดต่อกับทองแกในที่ลับ เป็นสหายร่วมเส้นทางอย่างที่คิดไว้”
“เป็นข้า” ชายชราพยักหน้า
มารไม้อิกด้านข้างสีหน้าไม่น่าดู โพล่งขึ้น “ในเมื่อเหล่าจวินหลุดพ้นไปแล้ว ใยต้องสนใจเรื่องราวในโลกใบนี้อีก? ตอนเกิดภัยพิบัติท่านไม่ใช่ไม่ลงมือหรอกหรือ?”
คนในสำนักเต๋าทั้งหมดที่อยู่รอบๆ สีหน้าต่างกันไป หากแต่ตอนนี้ต่างคำนับชายชราที่อยู่ในควันม่วงผู้นั้น
ผู้เข้มแข็งคนอื่นๆ อย่างมหาวิทยราชมยุรี ทีปังกรพุทธะ ลู่ยาเต้าจวินก็ไม่มีข้อยกเว้น
ชายชราชุดนักพรตผู้นั่งบนหลังกระบือ ถึงกับเป็นผู้ปกครองวังดุสิต ไท่ซ่างเหล่าจวิน!
เทวกษัตริย์เต๋าเอกพิสุทธิ์เป็นเปลือกนอกของธรรมชาติ และเป็นเปลือกในของมหามรรคา อาศัยร่วมกัน ดำรงอยู่ร่วมกัน
เป็นเพราะความพิเศษนี้ แม้เทวกษัตริย์เต๋าจะหลุดพ้นไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งเงาไว้บนโลกใบนี้ คือไท่ซ่างเหล่าจวินในวังดุสิต เท่ากับเอกพิสุทธิ์ยังคงอยู่บนโลกนี้
เพียงแต่ไท่ซ่างเหล่าจวินตรงหน้าไม่ค่อยเข้าสู่โลกมนุษย์
นอกจากเคยลงมือครั้งหนึ่งในยุคโบราณตอนกลาง ไท่ซ่างเหล่าจวินก็ไม่เคยเผยโฉมต่อหน้าชนชาวโลกอีก
กระนั้นวันนี้ เจ้ามรรคาเอกพิสุทธิ์ผู้นี้ก็ปรากฏตัวอีกครั้ง!
เหล่าจวินไม่ถือสากับคำพูดของมารไม้อิก ยังคงกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “วันนี้ข้าคิดมา จึงมาแล้ว”
เขาพยักหน้าให้มารไม้อิก จากนั้นหันไปมองมารสวรรค์บรรพกำเนิดกับมารสวรรค์ไร้พันธนา “พวกเจ้าหยุดก่อนเถอะ”
………………..
[1] ฟางเส้นสุดท้ายที่พร้อมทับอูฐตาย มาจากเรื่องราวเรื่องหนึ่ง ในเรื่องนั้นมีคนเลี้ยงอูฐคนหนึ่งอยากรู้ว่าอูฐแบกสัมภาระได้เท่าใด จึงเอาของใส่หลังอูฐเรื่อยๆ สุดท้ายวางฟางเส้นหนึ่ง กลายเป็นว่าฟางเส้นนั้นเป็นขีดจำกัดของอูฐ ทับอูฐจนตาย บ่งบอกถึงขีดจำกัดที่ไม่ควรข้าม