ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1820 เยี่ยนจ้าวเกอสู้นกยูง!
ไม่เพียงแต่เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงสี่คนที่เข้าใกล้แสง ศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเท่านั้น แม้แต่นาจาที่อยู่ไกลออกไปยามอยู่ใต้การสาด ส่องของแสงเพลิงที่ลุกไหม้จากศิลาฟ้ากําเนิด ต่างรู้สึกกินแรงถึงขีดสุด
ขณะนี้คนที่เผชิญกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาหากฝืนต้านได้อยู่บ้าง กลับรู้สึกรับภาระสาหัส
ทุกคนแตกตื่น หยางเจี่ยนถอยหลัง ออกห่างจากแสงเพลิงนั่นก่อน
หลังออกห่างได้ระยะหนึ่ง ความหนักบนร่างพลันลดน้อยลง
นี่ทําให้หยางเจี่ยนโล่งอก ถ้าหากว่าระหว่างศิลาฟ้ากําเนิดลุกไหม้ พวกเขาได้รับผลกระทบตลอดเวลา เช่นนั้นภายใต้ร่างกายที่ได้รับภาระ หนัก ความสามารถส่วนใหญ่ยากใช้ออก เกรงว่ามิใช่ต้องถูกอามิตาภ พุทธเจ้าพลิกฝ่ามือไว้ข้างใต้กํามือหมด
ถอยหลังออกห่าง ประสิทธิผลลดลง เช่นนั้นทุกคนยังมีพื้นที่ให้ เคลื่อนไหว
แต่ว่าเมื่อเป็นแบบนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงแสงเพลิง กลับยากเข้าใกล้มหา วิทยราชมยุรีที่กําลังก้าวสู่ระดับมรรคา
ในเมื่อเทวกษัตริย์ไร้ประมาณกล้าใช้วิชานี้เป็นไพ่ตาย เช่นนั้น หมายความว่างเขามีความมั่นใจว่า ช่วงเวลาที่ศิลาฟ้ากําเนิดลุกไหม้ มากพอที่จะทําให้มหาวิทยราชมยุรีจะขึ้นสู่ระดับมรรคา!
‘ถึงกับยอมทิ้งศิลาฟ้ากําเนิด…’ หยางเจี่ยนจิตใจสั่นไหว พบว่า จอมปีศาจเช่นลู่ยาเต้าจวินเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากศิลาฟ้ากําเนิด
“ฟ้ากําเนิดปกครอง ดินกําเนิดรองรับ มนุษย์กําเนิดรวมตัว” เยี่ยน จ้าวเกอมองประตูใหญ่หยกขาวด้านบนความว่างเปล่า “เขาถือกําเนิด จากสํานักเต๋า เดินสู่เส้นทางพลังศรัทธา ใช้ศิลาฟ้ากําเนิดชําระล้างคน ในสํานักเต๋า ปัจจุบันเผาศิลาฟ้ากําเนิด ก็เพื่อสะกดคนในสํานักเต๋า เช่นกัน”
“รากฐานของศิลาฟ้ากําเนิดนี้มาจากเจ้าแม่หนี่ว์วาเหมือนศิลาดิน กําเนิด และศิลามนุษย์กําเนิด” เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองรอบๆ “บัญเอิญ มาก พวกเราต่างเป็นสิ่งมีชีวิตหลังกําเนิดที่กษัตริย์วาสร้างขึ้นหลังการ เปิดผ่าฟ้า”
เฟิงอวิ๋นเซิง หยางเจี่ยน สั่วหมิงจาง ไปจนถึงนาจาต่างอดหัวเราะ ไม่ได้
หลายปีมานี้สํานักเต๋ามีผู้เข้มแข็งถือกําเนิดขึ้น กอปรด้วยพลังน่า เกรงขาม
หากแต่หยางเจี่ยนกับนาจาที่บําเพ็ญเต๋ามานานสุด ก็เป็นคนที่อยู่ ในยุคโบราณตอนต้น
ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับสุดยอดที่สุดของสํานักเต๋าที่เกิดขึ้นก่อน ฟ้า แทบจะกลายเป็นประวัติศาสตร์หมดแล้ว
แต่ว่าเสาหลักสํานักเต๋าในปัจจุบันเช่นพวกเขาเหล่านี้ ต่างก็ถูก ศิลาฟ้ากําเนิดสะกดพอดี
จอมปีศาจเช่นลู่ยาเต้าจวินเห็นดังนั้น ต่างรู้สึกตึงมือ
การลุกไหม้ของศิลาฟ้ากําเนิดแม้ส่งผลไม่ถึงพวกเขา แต่ว่าพวก เขาเผชิญกับอามิตาภพุทธเจ้า มีอันตรายมากกว่าพวกเยี่ยนจ้าวเก อและหยางเจี่ยนเกินไป
ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่คงไม่ต้องมองคนในสํานักเต๋าทะลวงทัพด้วย ความอิจฉาแล้ว
ตอนนี้ศิลาฟ้ากําเนิดขวางทาง อามิตาภพุทธเจ้าเฝ้าอยู่ด้านข้าง ทุกคนขึ้นหน้าไม่ได้ ได้แต่มองดูแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีนั้นไหลเวียนไม่หยุด
มหาวิทยราชมยุรียิ่งใกล้ระดับมรรคาเท่าไหร่ ผลกระทบที่ท่านมี ต่อธรรมชาติฟ้าดินก็ยิ่งมากเท่านั้น
แสงสว่างไร้สิ้นสุดได้ประมาณกวนคนในความว่างเปล่า แยกวัตถุ เรื่องราวที่ยิ่งมายิ่งมากกลายเป็นสภาพปัญจธาตุแรกเริ่ม
เยี่ยนจ้าวเกอมองประตูใหญ่หยกขาว จากนั้นมองศิลาฟ้ากําเนิดที่ ลุกไหม้อยู่ด้านในความว่างเปล่า
สายตาเขาเปลี่ยนไปอยู่บนแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่โชติช่วงกลุ่มนั้น ใบหน้าฉายแววล�าลึก
“สหายร่วมเส้นทางเนี่ยตอนนี้อยู่ที่ใด?” หยางเจี่ยนส่งกระแสเสียง ถามเยี่ยนจ้าวเกอ
“ข้าให้ศิษย์พี่เนี่ยช่วยดําเนินการจัดการบางส่วน ตอนนี้ถอนตัวมา ไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “พี่ร่วมเส้นทางวางใจ ทหารมาเอาแม่ทัพกัน น�ามาขุดดินกลบ แต่อาจจะมีข้าผ่านได้คนเดียว”
“ศิลาดินกําเนิด?” หยางเจี่ยนเงยหน้ามองกระบองสีทองบนความ ว่างเปล่าแวบหนึ่ง “เทวกษัตริย์มหาเทวะเจ้าขึ้นสู่ระดับมรรคาแล้ว เจ้า ควบคุมศิลาดินกําเนิดได้หรือ?”
“ไม่ลําบากข้าหรอก” หลังหายใจลึกๆ คําหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ก้าว เท้าไปด้านหน้าใหม่
สายตาของทุกคนต่างคมกริบ
จากนั้นเห็นปราณพิสุทธิ์พรั่งพรูบนศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอ ผนึก กลายเป็นฉัตรคันหนึ่ง
บนยอดฉัตรปรากฏศิลาวิญญาณก้อนหนึ่ง เป็นรากฐานในอดีต ของวานร ศิลาดินกําเนิด
หลังวานรขึ้นสู่ระดับมรรคา กายทองมหาเทวะสามร่างหายไป สูญเสียผู้รองรับ ศิลาดินกําเนิดนี้กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
วันนี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอจัดวางไว้บนยอดฉัตร ถึงแม้ยากจะแสดง ความลี้ลับกายปีศาจอมตะหมื่นภัยไม่กล�ากรายของวานร แต่ว่าภายใต้ แสงเพลิงที่เกิดจากการลุกไหม้ของศิลาฟ้ากําเนิด กลับยากส่ง ผลกระทบต่อเยี่ยนจ้าวเกออีก
ในศิลาดินกําเนิดบนยอดฉัตร เหมือนมีแสงสว่างไร้รูปร่างกระจาย ออก ทําให้แสงเพลิงไม่อาจส่องตัวเยี่ยนจ้าวเกอ
ร่างกายกะพริบ พริบตาเดียงไปถึงด้านบนแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีกลุ่ม นั้น
แต่ว่าในเวลาเดียวกัน อามิตาภพุทธเจ้าก็มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน
วินาทีนี้ ท่านไม่สนใจการคุกคามของค่ายกลลงทัณฑ์เซียนต่อแดน สุขาวดีตะวันตกอีก ลงมือสกัดเยี่ยนจ้าวเกอ
แต่ว่าดึงขนเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง
ศิลาฟ้ากําเนิดลอยออกมาจากในประตูใหญ่หยกขาว สะกดพวก เยี่ยนจ้าวเกอ
ตอนนี้กระบองสีทองฟาดหวดใส่ประตูหยกครั้งหนึ่ง!
ประตูใหญ่หยกขาวถอยหลัง กระบองสีทองควงต่อเนื่อง กดดันอีก ฝ่ายให้ล่าถอย
หลังจากบัวเขียวมีการเคลื่อนไหว กระบองสีทองก็ปล่อยประตู ใหญ่หยกขาว หันมาฟาดใส่บัวเขียว
อามิตาภพุทธเจ้าได้แต่รับมือสภาวะโจมตีของวานรก่อน
อีกด้านหนึ่งพระศรีอริยเมตไตรยก็เร่งการโจมตีต่อมารสวรรค์ไร้ พันธนา หลังกดดันอีกฝ่ายถอยไปแล้ว ก็มาสู้กับอามิตาภพุทธเจ้า
เทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับมารสวรรค์ไร้พันธนาต่างก็มาร่วมมือกับ อามิตาภพุทธเจ้า ส่วนกษัตริย์บูรพาไท่อี้และมารสวรรค์บรรพกําเนิด เข้าใกล้กันยิ่ง
เหล่าเจ้ามรรคาที่ก่อนหน้าจับคู่กันสู้ สภาพมีแนวโน้มจะ เปลี่ยนเป็นศึกชุลมุน
เยี่ยนจ้าวเกออาศัยจังหวะนี้ เข้าใกล้แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี
ฉัตรบนศีรษะห้อยปราณพิสุทธิ์หลายสายลง ต้านทานแสง ศักดิ์สิทธิ์ห้าสี สองฝ่ายลดพลังกันและกัน
หลังแหวกแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็บุกเข้าไปด้านใน
ลู่ยาเต้าจวินเห็นอามิตาภพุทธเจ้าก็เข้าร่วมศึกชุลมุนเช่นกัน คิด ตามเยี่ยนจ้าวเกอ
แต่ก็มีตราหัตถ์พุทธะร่วงลงมาทันที
ลู่ยาเต้าจวินจนปัญญา รีบกลายเป็นรุ้งหลบหลีก หากแต่กลับ เหมือนไม่ว่าจะทําอย่างไรก็หนีไม่พ้นอาณาเขตครอบคลุมของตราหัตถ์
โชคดีที่กษัตริย์บูรพาไท่อี้ด้านข้างรีบยื่นมือออกมาผลักตราหัตถ์ให้ เอียง ลู่ยาเต้าจวินค่อยรอดได้ กลับไม่กล้าขึ้นหน้าอีก
บนศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอมีแสงพุทธะสาดลงเช่นกัน ผนึกตัว กลายเป็นแท่นบัวเขียวดอกหนึ่ง ต้องการสะกดเขาไว้
เขายกมือชี้ฉัตร ปราณพิสุทธิ์หลายสายบนฉัตรยกตัวขึ้นด้านบน ขณะหมุนวน ก็ทําให้แท่นบัวเขียวเฉออกไป
ปราณพิสุทธิ์หลายสายแหลกสลายตามไป ตัวฉัตรเองก็เอียงไป
ด้านข้าง วานรมือซ้ายใช้กระบองต้านเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ มือขวาใช้
กระบองฟาดอามิตาภพุทธเจ้า กดดันอีกฝ่ายไม่อาจไล่โจมตีเยี่ยนจ้าวเก
อต่อ เยี่ยนจ้าวเกอฝีเท้าไม่เปลี่ยนแปลง เหยียบย�าด้านในแสงศักดิ์สิทธิ์
ห้าสีแล้ว ณ ที่แห่งนั้น มีพุทธะจีวรขาวองค์หนึ่งนั่งอยู่บนหลังราชายูงทอง สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอตกบนศีรษะมหาวิทยราชมยุรี ตรงนั้น สารีริกธาตุศากยมุณีห้าชิ้นเสกมหาพุทธสีทองเหลืองห้า
องค์ แยกกันยึดครองตรงกลางและสี่ด้าน เชื่อมกลายเป็นสภาวะค่ายกล บนค่ายกลยูไลห้าทิศ เป็นเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง กระดูกโครงหนึ่งลุก
ไหม้ในเปลวเพลิง กระดูกนั้นแวววาวโปร่งใส เห็นแสงสีแดง เหมือนผลึกสีแดงเพลิง บนกระดูกสลักลวดลายห้าจริยะ ขณะไหลเวียนมีความอัศจรรย์ไร้
สิ้นสุด
กระดูกหงส์อมตะโครงหนึ่ง
มิใช่หงส์อมตะทั่วไป แต่เป็นหงส์อมตะตัวแรกตั้งแต่เกิดการเปิดผ่าฟ้าดิน มารดาของมหาวิทยราชมยุรีและเผิงท่องเมฆหมื่นลี้
‘ที่แท้เป็นกระดูกหงส์อมตะ ตอนนั้นตกตายไม่อาจนิพพานโดย สิ้นเชิง โครงกระดูกไม่ถูกเผาหมด หลงเหลือมาหรือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอเห็น ดังนั้น พลันเข้าใจว่า มหาวิทยราชมยุรีคิดขึ้นสู่ระดับมรรคา นอกจาก สารีริกธาตุศากยมุณีแล้ว สิ่งที่ยังขาด ก็คือกระดูกหงส์อมตะโครงนี้
ข่งซวนลืมตา มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนจ้าวเกอเผชิญสายตาของท่าน สบตากับอีกฝ่ายอย่างสงบ
………………..