ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 113 หอคัมภีร์
วิชาลับเฉกเช่นยอดวิชาแปดพิภพล้วนถูกเก็บเอาไว้ที่ชั้นสามของหอคัมภีร์
แต่แท้จริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอสนใจชั้นสี่ที่เล่าขานกันมากกว่า เพราะที่นั่นเก็บสุดยอดวิชาลับสูงสุดของเขากว่างเฉิงไว้
นอกจากส่วนที่เหลือของวิชาเอกพิสุทธิ์แล้ว ยังมีสามสุดยอดวิชาของเขากว่างเฉิงที่มีชื่อเสียงในโลกแปดพิภพ
ทว่าตามกฎระเบียบแล้ว ชั้นที่สี่ของหอคัมภีร์นี้มีเพียงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอคัมภีร์เท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ คนอื่นๆ รวมถึงเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ ฟางจุ่น สือเถี่ย รวมทั้งผู้อาวุโสเก่าแก่ก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ต้องได้รับอนุญาตจากหยวนเจิ้งเฟิง หรือเข้าไปพร้อมกับเขาเท่านั้น ถึงจะเข้าไปได้
ด้วยศักยภาพที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมาในตอนนี้ การจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในชั้นที่สี่ก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น
โดยตามธรรมเนียมทั่วไปแล้ว จำเป็นต้องบรรลุระดับมหาปรมาจารย์เสียก่อน
‘อันที่จริงข้าสนใจชั้นที่สี่มากกว่าอีก’ เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก ‘อยากดูสักหน่อยว่าวิชาวรยุทธ์ขั้นสูงสุดของโลกแปดพิภพทุกวันนี้พัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว’
ถึงแม้ว่าคัมภีร์ที่เก็บอยู่ในวังเทพจะครอบคลุมไปเสียทุกอย่าง อีกทั้งยังน่าอัศจรรย์ก็ตาม แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงปรับตัวเข้ากับโลกปัจจุบันอย่างระมัดระวังมาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการฝึกฝนวิชาลับที่ถ่ายทอดโดยตรงของเขากว่างเฉิงให้ชำนาญก็กลายเป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้
การที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเลือกฝึกวิชาในชั้นที่สามของหอคัมภีร์ครั้งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็มีแผนอยู่ภายในใจนานแล้ว
นั่นก็คือวิชาวายุอัคนี หนึ่งในยอดวิชาแปดพิภพ
มีลมเป็นวิชากาย และไฟเป็นวิชาพลังทำลายล้าง หากฝึกฝนทั้งสองสิ่งสำเร็จจนมีความเชี่ยวชาญแล้ว ก็จะยิ่งทำให้ความเร็วของจอมยุทธ์ก้าวไปถึงระดับขั้นที่น่าตกตะลึงได้
โดยพื้นฐานแล้ว ในการฝึกฝนของจอมยุทธ์เขากว่างเฉิงทุกคน ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเลือกฝึกวิชาวายุอัคนี
ปกติแล้วยิ่งจอมยุทธ์เก่ง ก็จะมีการโจมตีที่รุนแรง มักไม่ค่อยมีปัญหาด้านวิชากาย หากสู้กับอีกฝ่ายไม่ได้ก็สามารถหลีกหนีได้ แต่ถ้าสู้ได้แล้วอีกฝ่ายหนี ก็สามารถไล่ล่าได้ตามที่ใจต้องการ
ในการต่อสู้จริง วรยุทธ์วิชาจำนวนมากจำเป็นต้องใช้ควบคู่กับวิชากาย จึงจะสามารถใช้พลังที่มีอานุภาพเต็มกำลังได้ โดยที่ไม่ต้องถูกอีกฝ่ายคอยปั่นหัวเล่น
แน่นอนว่าบางวรยุทธ์วิชาที่ใช้ความนิ่งสงบสยบการเคลื่อนไหว ใช้ไหวพริบยับยั้งทักษะ ไม่ถูกรวมอยู่ในนี้ด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอที่มีความชำนาญในวิชาพลังและวิชากายที่ยิ่งใหญ่มากมาย การเลือกฝึกวิชาวายุอัคนีจึงดูเหมือนการฝึกซ้ำ ทว่ากลับไม่ได้เปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
นั่นเป็นเพราะเยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นต้องใช้การอำพรางจากวิชาวายุอัคคี เพื่อจะได้ใช้ทักษะอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องเป็นกังวล
อย่างไรเสียสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว วิชาลับสุดยอดไม่ใช่สิ่งที่เขาขาดเลย ยิ่งไปกว่านั้นวิชาวายุอัคคีของเขาเองก็ไม่ได้แย่แต่อย่างใด อีกทั้งช่วงเวลาก่อนหน้าและหลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ความเข้มข้นและการไหลเวียนของปราณชีวิตในร่างนี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่
ดังนั้นการฝึกวิชาลับที่อยู่ในวังเทพก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ และวิชาที่พัฒนาใหม่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่พร้อมกัน ให้ทั้งสองปรับตัวเข้าหากัน กลับเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ
‘วิชาวายุอัคคี แท้จริงแล้วคุณลักษณะของมันก็ไม่ได้แย่’ เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะด้วยความพอใจ แล้วคิดไตร่ตรองในใจว่า ‘วิชาลมสามารถใช้ควบคู่กับพลังลมนภาจากคัมภีร์วายุจิตราที่เก็บซ่อนเอาไว้ในวังเทพได้ ส่วนวิชาไฟก็สามารถใช้ควบคู่กับหมัดอสูรวานรจอมพลังของวิชาหมัดอสูรหกวิญญาณได้’
‘อืม วิชาลมของหมัดพยัคฆ์คำราม เสือกระโจนขย้ำก็ใช้คู่กับวิชากายของวิชาลมได้เหมือนกัน’
‘ข้าลองๆ คิดดู หากวรยุทธ์ทั้งสองนี้รวมเข้าด้วยกัน ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้น…’
หลังจากที่เยี่ยนจ้าวเกอขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตั้งสติแล้วเตรียมตัวออกจากที่นี่
เขามองหอคัมภีร์เบื้องหน้าอีกครั้ง แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอเหม่อลอยอยู่บ้าง
ถึงแม้จะเทียบไม่ได้เลยกับคัมภีร์ที่เก็บสะสมไว้ในวังเทพ กระนั้นเมื่อได้เข้าไปในสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน มักจะทำให้เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงครั้งแรกที่มาถึงโลกใบนี้ และภาพตอนที่ตนเองอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ของวังเทพ
‘วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตอนนั้น ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่’ เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญภายในใจ
ภาพที่ราวกับการดับสูญในวันนั้นยังคงชัดเจนในใจของเยี่ยนจ้าวเกอ
แม้ว่าจะเกิดใหม่ที่นี่ แต่มันก็ยังคงส่งผลต่อเขามาโดยตลอด กระตุ้นให้ตัวเขาเองไม่หยุดที่จะมุ่งไปข้างหน้า อีกทั้งยังพยายามให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เพราะเขาไม่รู้ว่าหายนะที่น่ากลัวนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่
ความสั่นไหวในแววตาของเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ สงบลง และกลับคืนสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง
‘จะตีเหล็ก ไม้ตีก็ต้องแข็งด้วย ต้องเพิ่มความสามารถให้กับตัวเองเสมอ ขณะเดียวกันก็ต้องหาวิธีสืบเหตุผลของหายนะในตอนนั้นให้ได้’ เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพึมพำกับตนเองว่า “จับปลาสองมือ มือทั้งสองก็ต้องแข็งแกร่งมากพอ…”
เทียบกับบรรดาผู้คนในโลกยุคปัจจุบัน ในฐานะผู้ที่เคยประสบกับเคราะห์ใหญ่หลวงมากับตัว สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้ย่อมมากยิ่งกว่า
มหันตภัยเช่นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในอดีตนั้น มีความเป็นไปได้จากฝีมือมนุษย์มากกว่าภัยธรรมชาติ…
ด้วยเหตุนี้ความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นของเยี่ยนจ้าวเกอจึงมีมากยิ่งกว่าคนอื่นๆ
นิ้วเยี่ยนจ้าวเกอเคาะลงไปเบาๆ บนชั้นหนังสือ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชั้นสี่ของหอคัมภีร์ ‘การสืบทอดของเขากว่างเฉิงนั้นเก่าแก่ยาวนานยิ่งนัก ถึงขั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับวังเทพในอดีตอยู่บ้าง อาจจะมีเบาะแสอยู่บ้างก็ได้’
“จ้าวเกอ?” แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตนเอง เยี่ยนจ้าวเกอจึงหันศีรษะกลับไปมอง พบชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาร่างสูงโปร่งคนหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ผู้มาเยือนอายุราวยี่สิบห้า ยี่สิบหกปีโดยประมาณ หน้าตาองคาพยพทั้งห้ามองไปแล้วมีความคล้ายคลึงกับราชาอาณาจักรถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิงอยู่หลายส่วน
เขาสวมชุดสีขาว คลุมด้วยเสื้อนอกสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นการแต่งกายของศิษย์อัจฉริยะแห่งเขากว่างเฉิง แม้ไม่เห็นความหนักแน่นของจ้าวซื่อเฉิง แต่กลับดูโอ่อ่าผ่าเผย
ซึ่งนั่นก็คือจ้าวหมิง โอรสลำดับที่สี่ของจ้าวซื่อเฉิง ที่เข้าเป็นศิษย์สำนักเขากว่างเฉิงเพื่อฝึกวรยุทธ์
ในบรรดาลูกๆ ของจ้าวซื่อเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอดูจะสนิทกับเขามากที่สุด
“ท่านพี่สร้างผลงานใหญ่ไว้หรือ” เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอเห็นเขา ก็ยิ้มแล้วพูด
ศิษย์อัจฉริยะเฉกเช่นจ้าวหมิง สามารถเข้าออกชั้นแรกของหอคัมภีร์ได้ตามใจ ในสถานการณ์ที่ได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ ก็จะได้รับบำเหน็จให้เข้าชั้นที่สองของหอคัมภีร์ได้
โดยปกติแล้วชั้นสามของหอคัมภีร์เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
จ้าวหมิงพูดว่า “จ้าวเกออย่าได้หัวเราะข้า ข้าเข้าใจชัดแจ้ง บำเหน็จครั้งนี้ได้มาเพราะเสด็จพ่อ”
ตอนที่อยู่ถังตะวันออก จ้าวซื่อเฉิงช่วยเหลือเขากว่างเฉิงเต็มกำลัง จนถึงขั้นเกือบประสบกับเคราะห์ร้าย แน่นอนว่าเขากว่างเฉิงย่อมไม่ปฏิบัติต่อถังตะวันออกอย่างไม่ยุติธรรมเป็นแน่ ซึ่งการมอบบำเหน็จที่ขัดต่อกฎระเบียบของสำนักให้กับจ้าวหมิงครั้งหนึ่งก็นับว่าเป็นอีกทางหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เขากล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ถ้าจะให้พูด ก็ยังต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยเสด็จพ่อเอาไว้ตอนที่อยู่ถังตะวันออก”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “เราทั้งสองตระกูลยังต้องพูดอะไรเช่นนี้อีกหรือ”
จ้าวหมิงเองก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้ม ก็เหมือนกับในตอนนี้ ทั้งสองคนเจอกันในตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ ก็ไม่มีการเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แต่เรียกกันตามประสาพี่น้อง
แม้ว่าอายุอาเขาจะมากกว่า แต่ก็เข้าเป็นศิษย์ค่อนข้างช้า หลังจากบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับปรมาจารย์ถึงได้เข้าเป็นศิษย์สำนักเขากว่างเฉิง หากนับตามลำดับก่อนหลังในการเข้าสำนักแล้ว เขาต้องเรียกเยี่ยนจ้าวเกอว่าศิษย์พี่
“ครั้งนี้ได้รับความเมตตาจากสำนัก ข้าถึงได้มีโอกาสขึ้นมาถึงชั้นที่สามครั้งหนึ่ง” จ้าวหมิงมองเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ข้างๆ ด้วยความชื่นชม
เยี่ยนจ้าวเกอถามว่า “เลือกแล้วหรือ”
จ้าวหมิงผงกศีรษะ “ข้าเลือกเพลงกระบี่เจ็ดดาราน่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นวิชาที่ดีทีเดียว ข้าเองก็เดาว่าท่านคงจะเลือกเพลงกระบี่เจ็ดดาราเช่นกัน เจตจำนงกระบี่ของเพลงกระบี่เจ็ดดาราน่าอัศจรรย์มาก มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ซ้ำกัน เหมาะที่จะฝึกฝนอย่างยิ่ง”
จ้าวหมิงยังไม่ทันจะได้พูด ก็มีเสียงดังขึ้นจากระหว่างชั้นสองและชั้นสามของหอคัมภีร์ “น่าอัศจรรย์ใจมาก มีการเปลี่ยนแปลงสารพัด แต่แค่จำไว้ว่าเจ็ดดาราอยู่ทางทิศเหนือไว้ก็พอ ให้ดาวอยู่ทางทิศเหนือ เจ็ดดาราจึงรวมตัวกัน นี่ก็คือพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากจุดนี้ทั้งหมด”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น มุมปากก็กระตุกเบาๆ
คนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เมื่อจ้าวหมิงมองเห็นหน้าผู้มาเยือนอย่างชัดเจนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขาก็รู้จักอีกฝ่ายดี ลู่เวิ่น ศิษย์สืบทอดของฟางจุ่น ซึ่งเป็นศิษย์สืบทอดหลักแห่งเขากว่างเฉิงเช่นเดียวกับเยี่ยนจ้าวเกอ อีกทั้งยังเป็นเสาหลักของศิษย์รุ่นเยาว์ด้วย!
จ้าวหมิงก็พลันนึกขึ้นได้ว่าในบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิง ลู่เวิ่นเป็นผู้ที่มีผลสำเร็จในเพลงกระบี่เจ็ดดาราเป็นอันดับหนึ่ง
ในอดีต คนที่อยู่ข้างกายเขาก็ฝึกฝนเพลงกระบี่เจ็ดดาราเช่นเดียวกัน ทว่าเนื่องด้วยกระบวนท่าหนึ่งในเพลงกระบี่เจ็ดดาราเทียบกับลู่เวิ่นไม่ได้อยู่เสมอๆ จึงได้เปลี่ยนวิชากระบี่ของตน เกิดเป็นวิชากระบี่มังกรเขียวในชายเสื้อ…
จ้าวหมิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วจึงมองลู่เวิ่นที่เดินขึ้นบันไดมาอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวทันที
…………