ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 123 มาเยือนเพื่อขอความช่วยเหลือ?
พอได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย เยี่ยนจ้าวเกอก็อดไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองบริเวณไหล่เขานิมิตเมฆซึ่งมีกลุ่มควันและแสงสว่างของไฟที่ส่องสว่างวับวาบครู่หนึ่ง
ที่แห่งนั้นก็คือตำแหน่งที่ตั้งของตาน้ำพุเมฆหยินหยาง พื้นที่หยินเดี่ยวหยางเดี่ยวนั่นเอง
ไร่สมุนไพรวิญญาณที่พรรคสายรุ้งสีชาดเช่าเพื่อนำมาเพาะปลูกสมุนไพรวิเศษก็อยู่ที่นั่น
บ่าวรับใช้ผู้นั้นกล่าวอย่างรีบเร่งว่า “องค์ชายสี่กับแม่นางจิ่งต่างก็อยู่บนเขา คนของเขาไร้พรมแดนวางเพลิงเผาไร่สมุนไพรของพรรคสายรุ้งสีชาดแล้ว องค์ชายเองก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่ เริ่มลงมือกับพวกเขาแล้วเช่นกัน”
เยี่ยนจ้าวเกอกุมหน้าผาก นิสัยของเขาแตกต่างกับจ้าวหยวน จ้าวเฉิง จ้าวหมิงและคนอื่นๆ ที่จัดอยู่ในประเภทค่อนข้างอารมณ์ร้อนหุนหันพลันแล่น
อีกฝ่ายเผาไร่สมุนไพรวิญญาณของตระกูลจิ่งอวิ๋นจือ แน่นอนว่าจ้าวหมิงโกรธจนอดรนทนไม่ไหว และไม่สนใจว่าจริงๆ แล้วบัดนี้ตนเองอยู่ในเขตอิทธิพลของเขาไร้พรมแดน
“เหตุใดคนของเขาไร้พรมแดนถึงเผาไร่สมุนไพรของพรรคสายรุ้งสีชาด” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
บ่าวรับใช้ผู้นั้นลังเลไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวตอบตามความจริง “คนของพรรคโลหะเอก ขุมกำลังขนาดกลางแห่งหนึ่งภายใต้การปกครองของผืนภูผาขาไร้พรมแดน ยึดครองที่ดินใกล้ๆ พื้นที่ทำกินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง”
“เจ้าของพื้นที่ขนาดใหญ่ไม่ยินยอม ทั้งสองฝ่ายจึงปะทะกันอย่างรุนแรง ในระหว่างการปะทะนั้น บุตรชายของเจ้าของพื้นที่นั้นทำร้ายคนของพรรคโลหะเอกเข้า อีกฝ่ายจึงทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่นั้น ต้องการจะสังหารคนระบายความแค้น”
“แม่นางจิ่งผ่านไปยังพื้นที่ขนาดใหญ่ นางเคยเป็นแขกอยู่ที่นั่น อีกทั้งยังเป็นสหายเก่ากับเจ้าของพื้นที่คนหนึ่ง หลังจากรับรู้เรื่องราวก็เร่งรีบไปช่วยคนผู้นั้นออกมา”
“ผลคือประมุขพรรคโลหะเอกผู้นั้น กลับคุ้นเคยกับศิษย์คนหนึ่งของเขาไร้พรมแดนในพื้นที่นี้ จึงเดินทางมาช่วยเหลือในตอนที่คับขัน ต้องการจะผูกมิตรกับพรรคสายรุ้งสีชาด”
“องค์ชายสี่และแม่นางจิ่งไม่เต็มใจจะผูกมิตร อีกฝ่ายจึงเผาไร่สมุนไพรทิ้งเสีย”
เยี่ยนจ้าวเกอเอียงศีรษะเล็กน้อย “จงใจกระมัง”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นตื่นตกใจ “คุณชายเยี่ยนขอรับ องค์ชายสี่ไม่ได้มีใจจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาไร้พรมแดนแต่อย่างใด เพียงแต่…เพียงแต่…”
“ข้าไม่ได้หมายถึงพวกของจ้าวหมิง” เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองอาหู่ “ไปบอกกล่าวท่านอาจารย์ฟู่เสีย”
อาหู่เกาศีรษะแกรกๆ “คุณชายขอรับ ที่แห่งนี้มีผู้อาวุโสระดับสูงถึงสามคน ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์อีกหลายคน…”
ชายหนุ่มส่ายหัว “ตอนนี้เรื่องพวกนี้ยังไม่ถึงกับต้องรบกวนพวกท่านอาจารย์ฟู่หรอก อีกอย่างเขาไร้พรมแดนก็คงเป็นคนระดับใต้บัญชามาจัดการก่อนเป็นแน่”
“ข้าให้เจ้าไปแจ้งข่าวท่านอาจารย์ฟู่ ก็เพื่อให้ท่านอาจารย์ฟู่เข้าใจสถานการณ์ จะได้เตรียมการ หากต้องรบกวนบุคคลสำคัญเช่นพวกเขาที่อยู่ในระดับนี้มาจัดการ พวกข้าก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด”
“ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เผื่อว่าอีกฝ่ายมียอดฝีมือ เช่นนั้นจ้าวหมิงจะเสียเปรียบเอา”
พูดจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็ก้าวเท้าออกเดินทาง นำหน้าขึ้นไปบนเขา
เฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิงยืนอยู่ปากหุบเขา กำลังถกเถียงกันถึงกระบวนท่าวรยุทธ์วิชาที่ฟู่เอินซูถ่ายทอดให้ใหม่ เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอก็อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “จะไปไหนหรือเจ้าคะ”
เยี่ยนจ้าวเกอชี้ไปทางควันดำบนไหล่เขา “มีศิษย์ร่วมสำนักบนภูเขากับคนของเขาไร้พรมแดนปะทะกัน พวกข้าจะไปดูสักหน่อย”
พวกนางสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ผงกศีรษะ และร่วมตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอไป
บนเส้นทางขึ้นภูเขา มีจอมยุทธ์จากเขาไร้พรมแดนปรากฏตัวขัดขวางเช่นกัน “บนภูเขามีการเปลี่ยนแปลง ผู้มาเยือนจงหยุดฝีเท้าเสีย!”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ถ้าข้าหยุดฝีเท้า สายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำของสำนักเจ้าประเดี๋ยวก็คงจะประสบกับหายนะ”
อีกฝ่ายตะลึงงัน “สายแร่อยู่ด้านล่างภูเขา…”
ฝีเท้าเยี่ยนจ้าวเกอไม่หยุดนิ่ง ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ก้าวผ่านอีกฝ่ายไป “หากทำหน้าที่ที่เจ้ารับผิดชอบไม่ไหว ก็ไปเสียเถิด”
จอมยุทธ์เขาไร้พรมแดนคนนั้นอยากจะห้ามปราม แต่กลับรู้สึกได้ถึงลมรุนแรงที่จู่โจมเข้ามา กดคำพูดที่เขาต้องการจะพูดให้กลับลงไปในหน้าอกอีกครั้งทันที จนไม่สามารถอ้าปากได้อีก ร่างกายเองก็ถอยพรวดไปไม่หยุดหย่อน
เฟิงอวิ๋นเซิงกับซือคงจิงไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงแต่เดินขึ้นเขาตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอไปติดๆ
พอเข้าใกล้สถานที่เกิดเพลิงไหม้บริเวณไหล่เขา เยี่ยนจ้าวเกอก็กวาดสายตามอง จนพบว่าภายในกลุ่มควันหนามีคนกำลังประมือกันอยู่
คนหนึ่งในนั้นก็คือจ้าวหมิง คู่ต่อสู้ของเขาก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง วรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นชั้นจิตรานอกระยะกลาง ทว่ากลับไม่ใช่วิถีวรยุทธ์ของเขาไร้พรมแดน คิดดูแล้วน่าจะเป็นประมุขพรรคโลหะเอกผู้นั้น
ชายวัยกลางคนผู้นั้นถูกจ้าวหมิงกดอัดจนเสียเปรียบ ทว่าข้างกายมีผู้คนช่วยเขาล้อมโจมตีจ้าวหมิงพร้อมๆ กันอยู่ไม่น้อย
วิถีวรยุทธ์แห่งเขากว่างเฉิงของจ้าวหมิงลึกซึ้งกว่าคู่ต่อสู้มากนัก ถึงแม้จะถูกล้อมโจมตี แต่ก็ยังคงมีฝีมือเก่งกาจ ถึงขั้นยังสามารถคุ้มกันเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ได้
เพียงแต่จ้าวหมิงถูกก่อกวนจนยากที่จะปลีกกายออกไปได้ เขามองไปด้านข้างด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูกระวนกระวายอยู่บ้าง
บริเวณนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังประมือกับศิษย์เขาไร้พรมแดนอยู่
สตรีนางนั้นก็คือจิ่งอวิ๋นจือ คนรักของจ้าวหมิง ศิษย์ร่วมสำนักของเยี่ยนจ้าวเกอ ซือคงจิง และคนอื่นๆ
ทั้งสองต่างก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะกลาง คนหนึ่งแสดงวิถีวรยุทธ์แห่งเขากว่างเฉิง คนหนึ่งแสดงวิถีวรยุทธ์เขาไร้พรมแดน ผลสุดท้ายกลับเป็นจิ่งอวิ๋นจือถูกบีบคั้นจนตกเป็นรอง
มองดูแล้วรู้สึกว่ามีสัญญาณอันตรายเกิดขึ้นไม่หยุด
เยี่ยนจ้าวเกอจำแนกอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง หวนนึกขึ้นได้ถึงข้อมูลรายงานที่ตนเองเคยอ่านผ่านตาภายในสำนัก จำได้ว่าอีกฝ่ายคล้ายกับมีนามว่าโหวเสียง อัจฉริยบุคคลที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในปีนี้ของเขาไร้พรมแดน
ใกล้กับบริเวณสนามเพลิงที่ผู้คนประมือกัน ปรากฏร่างไร้ชีวิตหลายร่าง ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์แล้ว ล้วนเป็นคนฝ่ายเดียวกับจ้าวหมิงและจิ่งอวิ๋นจือ
เยี่ยนจ้าวเกอมองแวบหนึ่งแล้วก็กล่าวทันทีว่า “ศิษย์น้องซือคงไปช่วยศิษย์น้องจิ่ง ศิษย์น้องเฟิงไปช่วยศิษย์น้องจ้าว”
เฟิงอวิ๋นเซิงลูบด้ามดาบ ไม่รอให้นางเอ่ยปากถาม เยี่ยนจ้าวเกอก็พลันโบกมือครั้งหนึ่ง “ฆาตกรต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
สิ้นคำกล่าว เยี่ยนจ้าวเกอก็สะบัดแขนเสื้อของตน หอบเอาลมแรงพัดควันหนาและเพลิงลุกโชนเบื้องหน้ากระจัดกระจาย ก่อนจะกระโจนเข้าไปดับเพลิงล่วงหน้าก่อน
อีกด้านหนึ่ง ซือคงจิงไม่กล่าววาจาใด นางเพียงปลดกระบี่ยาวออกจากฝัก พลางก้าวเข้าไปแทนที่จิ่งอวิ๋นจือด้วยความเยือกเย็น ตะลุมบอนกับโหวเสียง ศิษย์จากเขาไร้พรมแดนผู้นั้น!
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ่งไม่เกรงอกเกรงใจ เมื่อดาบหนึ่งกวัดแกว่งออกมา สถานการณ์ก็พลิกผันอย่างมาก พลังดาบบ้าคลั่งบีบบังคับให้ผู้คนมากมายที่ล้อมโจมตีจ้าวหมิงต้องถอย
จ้าวหมิงแผดเสียงร้องดัง กระบี่ยาวในมือกางออก ขณะที่เงากระบี่ลอยตัว คล้ายกับเจ็ดดาราลอยอยู่กลางท้องฟ้า จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับการรับมือชายวัยกลางคนระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกผู้นั้น โจมตีจนอีกฝ่ายเหงื่อท่วมหลัง
โหวเสียง ศิษย์เขาไร้พรมแดนผู้นั้นเดือดดาล “คนของเขากว่างเฉิง กล้ากำเริบเสิบสานที่อาณาเขตของสำนักเราถึงเพียงนี้เชียวรึหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอดับเพลิงที่ลุกไหม้ให้กระจายหายไป แล้วกล่าวตอบอย่างสบายๆ โดยที่ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไป “คนที่สิ้นชีพอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ถูกปลิดชีพด้วยดาบและกระบี่ แต่เจ้านั่นมือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ฆาตกร เช่นนั้นวางใจเถิด เจ้าไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
โหวเสียงอึดอัดในทรวงอก ครั้นแล้วก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ ยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าได้เรียนรู้มากขึ้นแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพบไม่เคยเห็นผู้มาเยือนเพื่อขอความช่วยเหลือกำเริบเสิบสานเช่นนี้!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร และก็รู้เช่นกันว่าเจ้ามาทำอะไรในภูผาพิภพของพวกข้า แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้สติ จงเข้าใจไว้ด้วยว่า ตอนนี้เป็นเขากว่างเฉิงของพวกเจ้า ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือจากเขาไร้พรมแดนของข้า!”
“มงกุฎจันทราอยู่ในมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้ว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่ออกฌาน แต่ลำพังอาวุธศักดิ์สิทธิ์สองชิ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขากว่างเฉิงของเจ้าจะสามารถต้านทานได้ด้วยตัวเอง!”
โหวเสียงอยู่ในวัยหนุ่ม ดูไปแล้วยังไม่ถึงยี่สิบปี แต่ถึงอย่างนั้นวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลางก็หาได้ยากยิ่ง
ที่ยิ่งหาได้ยากไปกว่าก็คือความสามารถโดดเด่น ประมือกับซือคงจิงโดยไม่ตกเป็นรองแม้ชั่วขณะเดียว ทั้งโจมตีทั้งตั้งรับ
เขายิ้มเย็นชาพลางมองไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ “พวกเจ้ามาที่เขาไร้พรมแดนของข้า พูดให้ชัดก็คือมาเพื่อขอความช่วยเหลือ อยากจะให้สำนักข้าร่วมต้านทานแรงกดดันจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”
“สงครามถังตะวันออกก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่สำนักข้าวางตัวเฉย แต่ช่วยเข้าเหลือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แทน ต่อให้พวกเจ้าผนึกกำลังกับเมืองทะเลมรกต จะแพ้หรือชนะก็ไม่อาจรู้ได้ ตอนนี้ก็เช่นกัน เมืองทะเลมรกตไม่ได้มงกุฎจันทราแล้ว ซ้ำยังถูกตำหนักอัศนีตบคุมไว้”
“สำนักข้าช่วยเหลือเขากว่างเฉิงของเจ้า พวกเจ้าก็ไม่ต้องเกรงกลัวสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าหากสำนักข้าช่วยเหลือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เขากว่างเฉิงของเจ้าก็ต้องจบเห่ทันที!”
ฝ่ามือทั้งสองของโหวเสียงสลับไปมา คมกระบี่ก็สั่นสะเทือนมุ่งไปทางซือคงจิง แล้วจึงแผดเสียงเคร่งครึมเฉียบขาดว่า “เจ้าควรจะฉลาดสักหน่อย คนขอความช่วยเหลือก็คือคนขอความช่วยเหลือ ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะสามารถกำเริบเสิบสานได้!”
…………….