ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 140 เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ขอบเขตพื้นที่ภูเขาหิมะพันผูกบูรพากว้างใหญ่ไพศาล ทว่าเรื่องพิเศษที่ควรค่าแก่การให้ความสนใจ สุดท้ายแล้วก็ยังคงมีจำกัด
หลังนั้นไม่นานนัก จอมยุทธ์ชุดดำที่เดินทางติดตามมาก็รายงานกลับมาว่า บริเวณกลุ่มเทือกเขาทางตอนใต้มีการไหลเวียนพลังปราณที่ผิดปกติ
คล้ายกับว่ามีค่ายกลวิญญาณหนึ่งอยู่รางๆ ทว่ากลับแข็งแกร่งยิ่งใหญ่อย่างมาก
เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่เร่งไปยังทิศนั้นในทันใด หลังจากเข้าใกล้กลุ่มเทือกเขานั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีค่ายกลวิญญาณขนาดมหึมาอยู่ค่ายหนึ่งจริงๆ”
ครั้นสัมผัสมันอย่างละเอียด เขารู้สึกได้ว่าระดับความแข็งแกร่งของมันกำลังเริ่มจากต่ำไปสูง อยู่ในระหว่างการเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
อาหู่ยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “คุณชาย การผันแปรพลังเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะมีคนวางค่ายกลอยู่ที่นี่ แต่มันเป็นค่ายกลโบราณที่มีอยู่มาช้านานต่างหาก! ยามปกติจะหลบซ่อนโดยสิ้นเชิง ยากที่ผู้คนจะสัมผัสได้ ตอนนี้หลังจากได้รับความกระทบกระเทือน ค่ายกลวิญญาณเพิ่งเริ่มทำงาน พลังเพิ่มสูงขึ้น คล้ายกับว่าสุทดท้ายแล้วจะค่อยๆ แตะถึงจุดสูงสุด”
ชายร่างใหญ่ประกบมือใหญ่ถูกัน ยิ้มจนเห็นฟัน ทว่าไม่เห็นดวงตา “มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านี่คือยอดฝีมือผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว ทิ้งซากถ้ำเทพสถิตไว้ คราวนี้โชคเข้าข้างพวกเราแล้ว ประจวบเหมาะพอดี เป็นการมาเร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะเสียจริงๆ ขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสความผันแปรของค่ายกลอย่างละเอียด ภายในใจค่อยๆ เข้าใจกระจ่างชัด “หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ซากวัตถุที่ผู้คนในโลกแปดพิภพทิ้งไว้ไม่นับว่าเก่าแก่มากนัก อย่างน้อยก็ยังไม่ได้นานกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง คนที่ทิ้งซากวัตถุเอาไว้ น่าจะยังไม่ถึงระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ค่ายกลวิญญาณนี้ก็มีความรู้ซึ้งอยู่หลายส่วน เก็บซ่อนเอาไว้ไม่ปล่อยออกมา”
“แม้ว่าตอนนี้ได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว ความผันแปรของพลังปราณก็ยังคงจำกัดขอบเขตอยู่ระหว่างยอดเขาหลายลูกใกล้ๆ นี้ หากข้าไม่ได้ส่งคนกระจายค้นหาไปทั่วทั้งสี่ทิศเป็นการพิเศษแล้วนั้น ระยะห่างไกลออกไปก็หมดหนทางค้นพบแล้ว”
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองอาหู่ที่ดีอกที่ใจอยู่แวบหนึ่ง “เจ้าก็พูดแล้ว ว่ามีคนสัมผัสซากวัตถุ ค่ายกลถึงได้เริ่มทำงาน นี่อธิบายได้ว่ามีคนฝีเท้าเร็วไปถึงก่อน”
อาหู่ยิ้มซื่อ “มีคนฝีเท้าเร็วไปถึงก่อน คุณชายก็ครองภายหลังได้นี่ขอรับ”
“เยี่ยนซ่านบาดเจ็บหนักถอยร่นไป เกินว่าครึ่งเป็นหลินโจว คุณชายฟ้าคำรนใช่หรือไม่ขอรับ”
เขาประกบมือใหญ่ถูกัน “ซากถ้ำเทพสถิตเช่นนี้ แม้จะเก่าแก่ ทว่าเกินครึ่งก็มีกลอุบายป้องกันเช่นกัน ถึงหลินโจวจะเข้าไปก่อน การจะถอดกลอุบายป้องกันเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เท่ากับปัดกวาดทางแทนพวกเราด้วยซ้ำไป”
“คุณชายขอรับ ค่ายกลวิญญาณโคจรไปได้ไม่นาน พวกเร่งรีบเข้าไปข้างในยังคงทันกาลอยู่ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกสกัดกั้นอยู่ข้างนอก”
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลง พร้อมทั้งครุ่นคิดเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
บรรดาจอมยุทธ์ชุดดำหยุดอยู่โดยรอบ เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ก็รุดหน้าต่อไป ตามเส้นพลังปราณไปจนหาศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณพบ ซึ่งกลับเป็นถ้ำน้ำแข็งแห่งหนึ่ง
ครั้นตรวจสอบโดยรอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครดักซุ่มอยู่ด้านหลัง เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ก็เข้าไปภายในถ้ำพร้อมกัน
พลังค่ายกลวิญญาณแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเริ่มตัดขาดออกจากโลกภายนอก
ชายหนุ่มกลับไม่ค่อยกังวลกับทางด้านหลังที่ถูกตัดขาดไปแล้วนัก ขอเพียงแค่ยึดกุมศูนย์กลางค่ายกลได้ อยากจะออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างใด
ภายในถ้ำน้ำแข็งมีอันตรายอยู่แทบจะทุกย่างก้าว เล่ห์กลกระจายตัวอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่จำเป็นต้องตื่นตัวขึ้นมา
ทะลุผ่านอุโมงค์น้ำแข็งหนาวเหน็บที่ยาวเหยียด สุดทางอุโมงค์ ทั้งสองเหมือนกับเข้าไปในห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง
“คุณชาย ระวัง!” สีหน้าอารมณ์อาหู่เคร่งขรึมจริงจัง ไม่เห็นรอยยิ้มหัวเราะสนุกสนานเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ สายตาจดจ้องอยู่กับหมอกหนาวเย็นที่หนาแน่นอยู่เบื้องหน้า
หมอกปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้พื้นที่ว่างคล้ายกับมีความรู้สึกสับสนปนเป
เขายึดทิศทางหนึ่งเพื่อเดินไปข้างหน้า ทว่าเดินออกไปเป็นระยะทางไกลมาแล้ว ทว่ากลับไม่ชนผนังโถงใหญ่เลย ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
ภายใต้หมอกเย็นปกคลุม พื้นที่ห้องโถงใหญ่นี้ ราวกับเปลี่ยนเป็นกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งคล้ายกับเปลี่ยนเป็นเขาวงกตที่สลับซับซ้อน
อาหู่ตามติดอยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ห่างไปแม้เพียงนิ้วเดียว
ตรงหน้าตลบอบอวลไปด้วยหมอก การมองเห็นของเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ทว่าก็เห็นได้เพียงแค่ระยะทางที่จำกัดอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
ทันใดนั้น พื้นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองนั้นก็สั่นไหวขึ้นมาพร้อมกัน ท่ามกลางหมอกเย็นนั้น เงาร่างขนาดมหึมาวับวาบกว่าสิบเงาก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอย่างช้าๆ
องครักษ์ผลึกน้ำแข็ง มนุษย์ร่างยักษ์ที่ประกอบรวมมาจากน้ำแข็งและหิมะ
ร่างกายที่ประกอบมาจากน้ำแข็งและหิมะนี้สูงใหญ่แข็งแรง พลังอันรุนแรงที่แผ่ซ่านออกมาจากศีรษะจรดปลายเท้า แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะแข็งทื่อสักเล็กน้อย ทว่าพลังที่หนาหนักภายในนั้น ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูถูกแม้แต่น้อย
องครักษ์ผลึกน้ำแข็งเหล่านี้แม้จะไม่มีปราณจิตราอยู่เลย กระนั้นพลังอันน่าหวั่นเกรง พลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในร่างกายกลับเหนือยิ่งกว่ากายเลือดเนื้อของมนุษย์
พวกมันกำเนิดมาจากค่ายกลวิญญาณและหมอกเย็น แม้ว่าจะถูกทำลายเสียหาย แต่หากผ่านการฟักตัวสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ยังสามารถกำเนิดขึ้นใหม่จากภายในหมอกเย็นได้
เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “ที่แท้ก็คือซากวัตถุถ้ำเทพสถิตของการุณยบุรุษนี่เอง”
อาหู่พยักหน้าต่อเนื่อง “เขาวงกตหมอกเย็น ผลึกแก้วพิทักษ์ แน่นอนว่าเป็นความชำนาญของการุณยบุรุษในอดีต”
ในตอนที่การุณยบุรุษยังมีชีวิตอยู่ ระยะเวลาจนถึงปัจจุบันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เพียงแต่สมัยก่อนก็มีชื่อเสียงไม่น้อยเช่นกัน ทิ้งเหลือเรื่องเล่าตำนานเอาไว้มากมาย ให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึง
ซึ่งเรื่องราวที่มีสีสันตำนานมากที่สุด ก็เคยมีเล่าลือกันมาว่าในมือการุณยบุรุษกุมเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ชิ้นหนึ่ง
ผู้คนเล่าว่านั่นเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ และประสบเคราะห์เพราะวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
ถึงกระนั้นแม้จะเป็นเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ก็มีพลังที่แก่กล้ายิ่งใหญ่มากนัก
หากไม่นับพลังของมัน กล่าวเพียงในพื้นฐานของวัตถุดิบแล้ว ก็เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
ในตอนนั้นเนื่องด้วยเรื่องนี้ การุณยบุรุษยังเคยถูกล้อมโจมตี เขาฝ่าวงล้อมหลีกหนีได้อย่างยากลำบาก หลังจากนั้นจึงเสาะแสวงหาพื้นที่อยู่อย่างสันโดษ ไม่ปรากฏตัวบนโลกอีกเลย
“ที่แห่งนี้ดูไปแล้วก็คือพื้นที่สันโดษของการุณยบุรุษ” อาหู่ไม่ตื่นตกใจ ทว่ารู้สึกยินดีนัก “คุณชาย เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เล่นๆ เลย คราวนี้ช่างโชคดีจริงๆ ขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอคิดแล้วคิดอีก “หากการุณยบุรุษไม่ได้เหยียบบรรลุขั้นศักดิ์สิทธิ์ จนถึงปัจจุบันก็น่าจะถึงแก่กรรมไปเสียตั้งนานแล้ว”
อาหู่อ้าปากหวอ “หากเขากลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว อารมณ์ไหนถึงยังอยู่อย่างสันโดษเล่า”
กล่าวไปพลาง หมัดอาหู่ก็ต่อยองครักษ์ผลึกแก้วตัวหนึ่งที่เข้าใกล้เข้ามาจนแตกกระจุย “ข้าอยู่ตรงนี้สกัดไว้เอง คุณชายมีวิธีปลดกลอุบายหมอกน้ำแข็งนี้หรือไม่ขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ปลดกลหมอกน้ำแข็งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ปลดออกแล้วไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยแต่อย่างใด”
“ข้าสังเกตดูแล้ว ที่แห่งนี้น่าจะแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นน้ำแข็งหนาวเย็น อาศัยสภาพแวดล้อมส่วนนอกของเขาหิมะพันผูกบูรพา ส่วนอีกชั้นส่วนมากเป็นโลกใบหนึ่งที่ห้อมล้อมไปด้วยเพลิงลุกโชน เป็นไปได้มากยิ่งว่าลึกลงไปอีก อาศัยปราณเพลิงจากชีพจรดิน ไม่แน่ว่าอาจจะมีหินหนืดอยู่ใต้ดินด้วย”
อาหู่ตื่นตัว “อ้อ ใช่แล้วขอรับ ในตอนนั้นการุณยบุรุษถูกผู้คนสรรเสริญเยินยอว่าฝึกฝนควบทั้งน้ำแข็งและเพลิง”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เดินหน้าไปพร้อมกับข้า ข้าทำลายค่ายกล ส่วนเจ้าคุ้มกัน”
ชายร่างใหญ่ยิ้มอย่างซื่อตรง ก่อนจะกล่าวว่า “ขอรับ คุณชาย”
ทั้งสองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เริ่มลงมือในทันที
ทว่าในขณะเดียวกัน ก็มีคนจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่อย่างเงียบๆ
นั่นคือชายหนุ่มรูปงาม มีอุปนิสัยเปิดเผยคนหนึ่ง สีหน้าอารมณ์ของเขาสงบเงียบ สวมเสื้อผ้าคล้ายกับเยี่ยนซ่าน อันเป็นการแต่งกายของศิษย์สืบทอดหลักแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์
ถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่อยู่ตรงนี้ ย่อมรับรู้ฐานะของชายหนุ่มผู้นี้ได้ในทันที
คุณชายฟ้าคำรน หลินโจว!
พื้นที่ที่หลินโจวยืนอยู่ในขณะนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นเพลิงลุกโชน ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแข็งหนาวเย็น พลังปราณรวมตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นบริเวณที่ศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณ ที่อยู่อาศัยเดิมของการุณยบุรุษ
เขาแทรกซึมเขตแดนลวงตาที่ลอยอยู่กลางอากาศ จ้องมองเยี่ยนจ้าวเกออยู่
“เยี่ยนจ้าวเกอ คุณชายกว่างเฉิง…” หลินโจวพึมพำกับตนเอง “ไหนข้าดูสิ ว่าเจ้าเป็นคนเช่นเดียวกับข้าหรือไม่”
…………