ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 192 เจ้าคนอวดฉลาด เจ้าอยากตายอีกรอบใช่หรือไม่?
เยี่ยนจ้าวเกอต่อยหมัดขวาออก จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งทันที มือซ้ายงอศอกตามแนวขวาง!
จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวฝีเท้าที่สามออกไป ร่างกายหยุดนิ่งเล็กน้อย กระแทกไหล่ขวาโจมตีไปด้านหน้าอย่างรุนแรง!
ชั่วเวลาดีดนิ้วโจมตีส่งเสียงฟ้าผ่าสะท้านกระหน่ำสามหน!
การโจมตีแรกด้วยหมัดมือขวาของเยี่ยนจ้าวเกอ ต่อยอัดจนแขนใหม่ของหลิวเซิ่งเฟิงที่แปรสภาพมาจากแสงสีดำสายนั้นแหลกละเอียด!
หลิวเซิ่งเฟิงตกใจ หลบไม่ทัน ทำได้เพียงต้านซึ่งๆ หน้า กายาเทพแห่งขุนเขาที่ประสบผลสำเร็จใหม่อีกครั้งเนื่องด้วยการกลายเป็นมารโคจรจนถึงขีดสุด
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกองอศอกแขนซ้าย ศอกถองไปที่หน้าอกหลิวเซิ่งเฟิงประหนึ่งสายฟ้าผ่าสะท้าน!
สีหน้าหลิวเซิ่งเฟิงซีดเผือดทันใด!
กายาเทพแห่งขุนเขา แตกสลายอีกครั้ง!
ถัดมา เสียงสายฟ้าพลันดังสะท้าน เยี่ยนจ้าวเกอเสริมการโจมตีที่สามของตน กระแทกไหล่ขวาไปที่ช่วงอกและท้องของหลิวเซิ่งเฟิงลั่น!
‘พลั่ก’ เสียงดังไม่ชัดเจนนัก เยี่ยนจ้าวเกอราวกับกระแทกภูเขาใหญ่ล้มด้วยไหล่อันหนักแน่น ร่างกายหลิวเซิ่งเฟิงหวือออกไปในทันที!
ท่ามกลางเสียงร้องเรียกน่าเวทนา หลิวเซิ่งเฟิงกระอักโลหิตสดอย่างบ้าคลั่ง ปราณจิตราทั่วร่างถูกเยี่ยนจ้าวเกอกระแทกโจมตีจนแตกซ่าน
หน้าอกของหลิวเซิ่งเฟิงบุบลงไปเป็นหลุมใหญ่ โครงกระดูกสีขาวที่แหลกละเอียดมากมายบิดเบี้ยว ทิ่มแทงเลือดเนื้อออกมาภายนอกโดยตรง
หลิวเซิ่งเฟิงล้มลงบนพื้นเหมือนกับกระเป๋าผ้าอย่างไรอย่างนั้น ทั่วกายไร้เรี่ยวแรง หายใจรวยริน เปล่งเสียงไม่ได้ศัพท์ออกมาจากในปาก ฟองโลหิตไหลนองออกมาตลอดเวลา
แม้พลังความสามารถเขาจะยกระดับขึ้นเนื่องจากกลายเป็นมาร แต่เยี่ยนจ้าวเกอในขณะนี้ เทียบกับตอนประมือกันตอนแรกแล้ว กลับมีพัฒนาการยิ่งกว่า!
ภายใต้แสงสายฟ้าวับวาบ ประกายตาเยี่ยนจ้าวเกอเย็นยะเยือก มองดูหลิวเซิ่งเฟิงที่ล้มลงบนพื้นด้วยสีหน้าและท่าทางสงบเงียบ “ข้าเคยบอกไว้ว่า ศิษย์พี่เยี่ย ศิษย์น้องจาง พวกเขามีโอกาสที่จะแก้แค้นเจ้าด้วยมือพวกเขาเอง”
หลิวเซิ่งเฟิงเบิกตาโพลง ร่างกายตะเกียกตะกายดิ้นรน แต่แค่จะขยับนิ้วก้อยขึ้นมาก็ยังยากลำบาก
เป็นตามคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ บนเจดีย์สูงสีทอง เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบอย่างหาที่สุดไม่ได้ ปล่อยสายฟ้าออกมาไม่มีที่สิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
หลังจากชั่วเสี้ยวขณะ ลำแสงจากดวงตาราชันสายฟ้าพลันมืดสลัวทันใด เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าปรากฎการณ์น่าหวาดกลัวเมื่อครู่เป็นความรู้สึกลวงทั้งสิ้น
กระนั้นเสียง ‘ปังๆๆ ’ กลับดังขึ้นต่อเนื่องอยู่ข้างหู
แสงโชติช่วงบนเจดีย์สูงสีทองพลันกระจายหายไปจนสิ้น แสงวิบวาบหายไปจากพื้นผิว เปลี่ยนเป็นคล้ายกับเสาหินธรรมดาทั่วไป
พื้นผิวเจดีย์สูงเต็มไปด้วยรอยแตก ทั้งยังแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยตลอดเวลา ร่วงหล่นตกไปยังเบื้องล่างราวกับหินอุกกาบาต
อักขระค่ายกลสีดำทุกสายที่พันรอบเจดีย์สูงประหนึ่งโซ่ก็มิปาน เกิดสั่นไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นเหมือนกับทนต่อระยะทางที่ไม่อาจจะต้านทานได้ ดึงรั้งจนตรงแหน็ว
จากนั้น อักขระค่ายกลเหล่านี้ก็ขาดออกทุกเส้นสาย!
อักขระค่ายกลจำนวนมากม้วนย้อนกลับไปในหมอกดำที่หดกลับทั้งสี่ทิศ ทั้งมหาค่ายกลเริ่มผกผันกลับอย่างคาดไม่ถึง!
เสียงแผดร้องคำรามของผู้อาวุโสโม่ดังขึ้นกลางท้องฟ้า ไกลออกไปมีเสียงร้องตะโกนประหลาดและเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวของยอดฝีมือภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคนอื่นๆ ดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก
สิ่งที่ทำให้หลิวเซิ่งเฟิงสิ้นหวังก็คือ เขาล้มเอนลงบนพื้น ดิ้นรนพยายามบิดต้นคอ พลางมองไปยังประตูแสงสีแดงที่อยู่ในอากาศนั้น
เขาอยากจะขยับคอก็ยากเย็น แต่พอพยายามเหลือบมองทางหางตากลับเห็นว่า ประตูแสงสีแดงบนท้องฟ้าที่เดิมทีตั้งตรงอยู่บนยอดสูงสุดของเจดีย์สูง ยามนี้เริ่มกระจัดกระจายสลายไป ตามการพังทลายลงของเจดีย์สูงด้วยเช่นกัน!
ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าประตูของนพยมโลกจริงๆ ที่ทอดเงาลงพื้นดิน และเดิมทีจะเปิดออกอยู่รอมร่อ บัดนี้ไร้ซึ่งความหวังแล้วเช่นกัน!
เวลานี้เยี่ยฉงโจว หร่วนผิง หลี่จิ้งหว่าน เซียวอวี่ และจางเหยาต่างก็มีแววตาซึมกะทือเช่นกัน
ในสายตาพวกเขา ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังกลับพลิกผันอย่างรวดเร็ว!
ภายในแดนมารแสงสีแดง เจดีย์สูงตระหง่านพังทลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษหินจำนวนมากตกลงมาราวกับห่าฝน
ร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่เบื้องล่าง ประดุจเทพสวรรค์จุติโลกมนุษย์ก็มิปาน
พลังปราณของนพยมโลกอันน่าพรั่นพรึงนั่น หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับเผลอเผยสภาพเข้าตาจนออกมาให้เห็น
สายฟ้าชั่วพริบตา ในชั่วเสี้ยววินาที ลุกไหม้ระเบิดปะทุพลังทั้งหมดออกมาพร้อมกัน อานุภาพแก่กล้าองอาจ
เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า ภายใต้การขับเคลื่อนของเยี่ยนจ้าวเกอ โยกคลอนแกนศูนย์กลางมหาค่ายกลแดนมารอย่างแท้จริงซึ่งทำให้คนอื่นยากจะปักใจเชื่อ
หลังจากลุกไหม้ครั้งหนึ่งแล้ว เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าตกอยู่ในสภาวะหลับใหลโดยที่ไม่อาจควบคุมได้ ไข่มุกวิเศษสีม่วงเปลี่ยนเป็นมืดสลัว ไร้ซึ่งพลังปราณทั้งสิ้น เข้าสู่สภาวะจำศีลรอคอยการฟื้นฟู
จิตวิญญาณปราณและของเหลวบนตัวเยี่ยนจ้าวเกอ ที่เชื่อมกันกับเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าอย่างแนบแน่น ก็เริ่มถดถอยลงอย่างรวดเร็วในชั่วขณะนี้เช่นกัน
ทว่าในยามนี้เอง ประกายกระบี่สายหนึ่งส่องสว่างขึ้น!
ประกายกระบี่สุกสกาว สว่างไสวดุจเพลิง เนื้อในส่องสว่างและมืดครึ้มในชั่วขณะ พุ่งเป้าไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ!
สีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอมิเปลี่ยน มองดูจ้าวฮ่าวที่จู่โจมมาทางตนเองอย่างสงบเงียบ
จ้าวฮ่าวจ้องเยี่ยนจ้าวเกอเขม็งอย่างเย็นชา กระบี่ยาวแดงก่ำเล่มหนึ่งในมือเกิดธารแสงระยิบระยับประดุจเพลิงสวรรค์ ปรากฎเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่ง!
เซียวอวี่ฝืนลืมตา ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักเขาเองก็รู้ สำนักเขาไร้พรมแดนไม่ได้มอบอาวุธวิญญาณแก่จ้าวฮ่าวแต่อย่างใด
การที่จ้าวฮ่าวถือโอกาสฝืนฟ้า มีของล้ำค่าติดกาย เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ประหลาดใจ เพียงแค่เพ่งมองคมกระบี่ที่จู่โจมมาทางตนเองเท่านั้น
“พลังความสามารถเจ้าตอนนี้ลดน้อยลงอย่างมาก แต่ไรข้าไม่แยแสคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ แต่ระดับพลังฝึกปรือเจ้าเดิมสูงกว่าข้า การประลองระหว่างเจ้ากับข้าตอนนี้ถึงจะนับว่ายุติธรรม”
จ้าวฮ่าวกล่าวด้วยความเย็นชา “ในการประชุมฝ่านภา ข้าติดต่อผ่านผู้อาวุโสโม่ ต้องการจะประลองกับเจ้าด้วยระดับเดียวกัน เจ้าไม่กล้าตอบรับการประลอง”
“แต่บัดนี้เจ้ากล้า ข้าย่อมต้องประมือ แต่หากเจ้าไม่กล้า ก็ต้องประมือเช่นกัน เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!”
กระบี่ยาวในมือเขา ในชั่วเวลาแสงสายฟ้าแลบและเพลิงของหินเหล็กไฟ พลังกระบี่แสดงออกราวกับไม่อาจหวนคืน
ประกายกระบี่ประดุจเพลิง มีแสงคล้ายกับแสงดาวน้อยๆ ทอแสงขึ้น ฝนดาวตกแต่ละสายไหลออกมาจากท้องฟ้า
ภายใต้กระบี่เดียว เจตจำนงกระบี่ที่แฝงไปด้วยความดุเดือดรุนแรงซ้ำยังลี้ลับมหัศจรรย์ แสงดาวและแสงเพลิงราวกับผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว
ประกายกระบี่ของกระบี่ยาวแดงก่ำ ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีทอง!
แสงเพลิงสีทองทั่วท้องฟ้ากระจายหายไป จากนั้นพลังทั้งหมดควบแน่นเป็นเส้นเดียว พุ่งเป้าไปที่เยี่ยนจ้าวเกอ!
กระบี่เทพเพลิงกลั่นโอสถ ประกายเพลิงน้อยนิดท้องฟ้าไพศาล!
“เยี่ยนจ้าวเกอ ชักกระบี่ออกมา!” จ้าวฮ่าวเบิกตาตะโกนเสียงดัง “มาประมือกัน!”
พลังกระบวนท่ากระบี่ที่แผ่ออกมาสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ตามเสียงตะโกนนี้ของเขา ถึงแม้ว่าจะยังเป็นปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย ทว่าด้วยกระบี่เดียว กลับราวกับสามารถแยกฟ้าดินออกจากกันได้
ภายในระยะสั้นๆ นี้ ร่างกายจ้าวฮ่าวเหมือนกับเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ภายในลูกตาดำของเขามีเงาร่างคนคนหนึ่งปรากฎให้เห็นเลือนราง
เงาร่างนั้นถือกระบี่ขับร้องเพลงเสียงดัง โอหังป่าเถื่อน กำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวผู้ใด
กวัดแกว่งกระบี่หนึ่งออกไป หั่นฟ้าแยกดิน ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางฝีเท้าของเขาได้
เห็นๆ กันว่าจ้าวฮ่าวยังอยู่แค่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายเท่านั้น ทว่าความน่าพรั่นพรึงของพลังกระบี่ก็ปกคลุมทั้งสี่ทิศ กดข่มจนจิตใจผู้คนสั่นไหว มือและเท้าอ่อนแรง
กลุ่มเยี่ยฉงโจวและจางเหยาต่างก็จิตใจสั่นคลอน ตื่นตระหนกตกใจตลอดเวลา
มีเพียงเยี่ยนจ้าวเกอ ที่มีสีหน้าท่าทางปกติตั้งแต่ต้น ใช้เพียงสายตาประหลาดใจเล็กน้อยมองดูจ้าวฮ่าวเท่านั้น
เผชิญหน้ากับจ้าวฮ่าวเช่นนี้ แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะอ่อนกำลังลง แต่ก็ยังคงไม่ร้อนรน
แสงมรกตสายหนึ่งเปล่งแสงขึ้น ประจัญหน้าไปทางประกายกระบี่สีทองของจ้าวฮ่าว
ปราณสะอาดภายในจุดตันเถียนของเยี่ยนจ้าวเกอกระจายออก กลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์ผุดออกมาจำนวนมาก เพลิงและน้ำแข็งปรากฎพร้อมกัน หยินหยางปรองดอง
ปราณจิตราของเขาไม่ร้อนแผดเผาหรือเย็นเยียบอีกต่อไป ทว่าเป็นกลุ่มธาตุปราณสลัวๆ ตั้งแต่ตน ไร้หยินไร้หยาง ไร้เริ่มต้นไร้สิ้นสุด
ชั่วพริบตาเดียว กลุ่มธาตุนี้พลันระเบิดออก!
ไม่ใช่มังกรเขียวในแขนเสื้อ ไม่ใช่กระบี่เจ็ดดารา ไม่ใช่กระบี่มังกรเมฆา ไม่ใช่เพลงกระบี่รูปแบบอื่นใด และไม่ใช่วิชาวรยุทธ์อื่นใดด้วยเช่นกัน
ความคิดเยี่ยนจ้าวเกอเปิดกว้างชัดเจน ในขณะนี้ทุกสิ่งที่เรียนมาทั้งกายคล้ายกับหลอมรวมอยู่ในเตาทั้งสิ้น จากนั้นก็ใช้รูปแบบอันไม่อาจอธิบาย หลอมรวมพลังหลากหลาย ระเบิดออกมาพร้อมกัน!
ราวกับรับสรรพสิ่งเข้ามาในกลุ่มธาตุ จากนั้นกลุ่มธาตุก็ดับสูญ จักรวาลเปิดออกอีกครั้ง!
ประกายกระบี่เขียวมรกตและประกายกระบี่สีทอง พบเจอกันในอากาศโดยตรง!
แสงทองแตกเป็นเสี่ยงๆ ครั้นเห็นสีหน้ายากจะปักใจเชื่อของจ้าวฮ่าวแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พึมพำเสียงเบา “เจ้าคนอวดฉลาด เจ้าอยากตายอีกรอบใช่หรือไม่?”
………..