ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 195 ได้รับต่อเนื่อง
ความรู้สึกภายในใจเยี่ยนจ้าวเกอเงียบสงบ ไม่พบความอลหม่านแม้แต่น้อย
การรุดหน้าในความมืดมนแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการชำระจิตใจอันแน่วแน่ของตนอีกครั้งหนึ่ง
หากมีความเหนื่อยหน่ายอ่อนแรง ความเกียจคร้านไม่หนักแน่นใดๆ ล้วนจะทำให้ความมืดมนฉวยโอกาสรุกล้ำเข้ามา เมื่อผ่านการต่อต้านแรงดึงดูดจิตใจจากความมืดมนแล้ว จิตตานุภาพของเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งได้รับการยกระดับสูงขึ้นอีกครั้ง ขจัดสิ่งเจือปนภายในจิตใจออกไป
ในท้ายที่สุด เยี่ยนจ้าวเกอเดินเตร่เอ้อระเหยลอยชายอยู่ในความมืดมนอันไร้ขอบเขต แต่เขากลับไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด แม้จะมีความมืดมนที่สามารถลากผู้คนให้ลงสู่ห้วงลึกได้ กระนั้นก็ไม่ส่งผลต่อเขาอีกแม้แต่น้อย
ชั่วขณะนี้เอง ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นในใจ เขาเงยหน้ายิ้มเล็กน้อย เหนือศีรษะที่มืดมนพลันปรากฎนัยน์ตาดำขลับคู่หนึ่งออกมาให้เห็น เพ่งมองเขาเงียบๆ
ท่ามกลางความมืดมิดอันเงียบสงัด เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดจา นัยน์ตาสีดำทั้งสองก็ไม่ได้เผยความรู้สึกใดออกมาเช่นกัน ทว่าระหว่างทั้งสองกลับบังเกิดการเชื่อมประสานอันแปลกประหลาดขึ้น
ดวงตาสีดำทั้งสองไร้ความเศร้าโศกและไร้ความปีติ แต่กลับเหมือนว่ายอมรับการมีอยู่ของเยี่ยนจ้าวเกอแล้วอย่างไรอย่างนั้น จึงค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ไม่ปรากฏเห็นอีก เสมือนแต่ไรไม่เคยมีอยู่มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ เขาในขณะนี้ถอยออกจากในโลกมืดมนอย่างตระหนักรู้และคล่องแคล่ว
เมื่อเห็นแสงสว่างเบื้องหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พลิกมือหยิบเตาเครื่องหอมเล็กสีดำขึ้นมาชมด้วยความสนอกสนใจ
เขาจับมันพลิกกลับหัว ก่อนจะว่าก้นเตาเครื่องหอมสลักอักษรโบราณไว้สองคำ
‘กลืนดิน’
เยี่ยนจ้าวเกอนึกถึงตอนที่ประมือกับจ้าวฮ่าวเมื่อครู่ จ้าวฮ่าวก็เคยตะโกนสองคำนี้ออกมาเช่นกัน
‘เตากลืนดินหรือ?’ เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญในใจ
นี่ไม่ใช่ของวิเศษทั่วไป และไม่ใช่อาวุธวิญญาณแต่อย่างใด กระนั้นกลับคล้ายว่ามีสติปัญญาและปณิธานในตัวเอง
ดวงตาสีดำคู่นั้นไม่ใช่รอยตราจิตวิญญาณที่ผู้อื่นทิ้งไว้แต่อย่างใด แต่เป็นหลังจากตัวเตากลืนปฐพีเองก่อเกิดสติปัญญาแล้วแปลงกายให้ประจักษ์เห็น
“น่าสนใจ อยากจะศึกษาของวิเศษชิ้นนี้เสียจริง แต่ไม่ใช่ใช้งานอย่างโง่เขลาเหมือนจ้าวฮ่าวเช่นนั้น คงจำต้องสิ้นเปลืองแรงขับเคลื่อนสักหน่อย” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำกับตนเอง
ชายหนุ่มเก็บเตาเครื่องหอมขึ้น ยืนอยู่ที่เดิม ปรับลมปราณต่อไปเงียบๆ
ก่อนหน้านี้ ความสูญเสียของเขามากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน ไม่กล่าวว่าน้ำมันตะเกียงสิ้นเพลิงดับมอด เป็นการต่อสู้หนึ่งที่ใช้ปราณดั้งเดิมหมดไปมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
การประมือกับกลุ่มหลิวเซิ่งเฟิงและจ้าวฮ่าวนั้นช่างเถิด หัวใจสำคัญคือความสอดคล้องกันระหว่างจิตวิญญาณของเขาและเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า ขับเคลื่อนสายฟ้าชั่วพริบตา ฉับพลันนั้นเผาไหม้พลังเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์จนระเบิดออกมาในครั้งเดียว
แม้ว่าตัวเยี่ยนจ้าวเกอจะไม่ถึงขั้นเหมือนเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า ที่อยู่บัดนี้ในระหว่างการเรียกคืนจิตใจ จิตวิญญาณแห้งเหือดทั้งหมด ทว่าก็มีความรู้สึกเหมือนหัวขโมยขึ้นบ้านที่ว่างเปล่าด้วยเช่นกัน
ถึงกระนั้นเยี่ยนจ้าวเกออยากจะฟื้นฟู ก็ไม่ได้ยากลำบากแต่อย่างใด
ภายในจุดตันเถียนชี่ไห่ กลุ่มธาตุปราณบริสุทธิ์สั่นสะเทือน แตกสาขาเป็นกระแสปราณเพลิงและน้ำแข็งหลายสาย หยินหยางส่งเสริมกันและกัน ชโลมปราณดั้งเดิมที่จวนจะแห้งขอดให้ชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว
เปรียบเทียบกันแล้ว เศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าสร้างความยุ่งยากให้กว่ามากนัก
ไข่มุกวิเศษสีม่วงที่เปลี่ยนรูปมาจากเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้แสงวับวาบของมันมืดสลัว ประหนึ่งไข่มุกหินที่เต็มไปด้วยฝุ่นขี้เถ้า ไม่เห็นแสงระยิบระยับแม้แต่น้อย
การเชื่อมประสานจิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอกับมัน ก็รู้สึกได้เพียงสติปัญญาอันน้อยนิดเท่านั้น อีกฝ่ายคล้ายกับตกอยู่ในสภาวะหลับลึก เหมือนกับแกล้งตายอย่างไรอย่างนั้น
คิดอยากจะทำให้มันแปรสภาพเป็นแสงสายฟ้าใหม่อีกครั้ง รวมเข้ากับนัยน์ตาขวาของตนเอง ล้วนทำไม่ได้ชั่วคราว
เยี่ยนจ้าวเกอปรับลมปราณตนเองไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง ‘ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่เศษชิ้นส่วน ไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ดวงตาราชันสายฟ้าจริงๆ ในตอนแรก’
‘ในตำนาน ดวงตาราชันสายฟ้ายามรุ่งเรืองเต็มที่ อัสนีเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียว ก็สร้างประวัติการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ได้ อีกทั้งในชั่วเสี้ยววินาทีถัดมา พลังก็จะฟื้นคืนสภาพเดิมทั้งหมดเช่นแรกเริ่ม’
‘เปรียบเหมือนเช่นพวกเราหายใจ เมื่อหายใจออกก็เป็นสายฟ้าเทพที่บดขยี้ความว่างเปล่าเป็นจุณหนหนึ่ง เมื่อหายใจเข้าก็เป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมของฟ้าดินโดยรอบเติมเต็มตนเองทั้งหมด’
‘แต่ตอนนี้ หลังจากพลังของมันถูกใช้จนหมดสิ้น คิดอยากจะเก็บเล็กผสมน้อยอีกครั้งเกรงว่าจำต้องใช้เวลายาวนานยิ่ง ซึ่งตอนที่ใช้มันคราวถัดไป หากไม่ขับเคลื่อนสายฟ้าชั่วพริบตาก็เท่านั้น มิเช่นนั้นก็จะยังเป็นเหมือนดังครั้งนี้ หนเดียวใช้จนสิ้น’
เยี่ยนจ้าวเกอพ่นปราณที่ขุ่นมัวออกมาคำหนึ่ง สภาพร่างกายตนฟื้นคืนกว่าครึ่ง ‘เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้สร้างการเชื่อมสัมพันธ์อันแนบแน่นไว้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ต้องยุ่งยากไม่น้อย’
‘หลังจากกลับไปคราวนี้ ต้องตั้งใจเสริมระดับความรู้ซึ้งเรื่องค่ายกลเสียหน่อย’ เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ แล้วหันกายกลับไปมองยังอีกด้านหนึ่ง
บริเวณนั้น กลุ่มของเยี่ยฉงโจวและจางเหยาประคับประคองกันและกัน พันปิดปากแผล ปรับลมปราณคลายอาการเจ็บปวด
ครั้นเห็นเยี่ยนจ้าวเกอมองผ่านมา เยี่ยฉงโจวทอดถอนใจพลางกล่าว “ศิษย์น้องเยี่ยน ครั้งนี้โชคนี้ที่มีเจ้า ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงชะตาขาดกันหมดแล้ว”
“ไม่เพียงแต่พวกข้าจะตายด้วยน้ำมือหลิวเซิ่งเฟิงเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการเปิดออกของประตูแห่งนพยมโลก ผลที่ตามมาเลวร้ายจนไม่อาจจะจินตนาการได้”
เยี่ยนจ้าวเกอเดินมา “ศิษย์พี่เยี่ยเกรงใจแล้ว ช่วงเวลาแบบนี้ มีความสามารถทำเรื่องอันใดได้บ้าง แน่นอนว่าไม่อาจนิ่งดูดายได้”
“เพียงแต่ก่อนหน้าข้าจำต้องใช้เวลาเตรียมการอยู่บ้าง เพื่อที่จะทำลายค่ายกล ทำให้พวกท่านได้รับความทุกข์ยากเสียแล้ว”
จางเหยาส่ายศีรษะติดต่อกัน “ศิษย์พี่เยี่ยนอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เป็นท่านที่ช่วยพวกเราไว้”
หลี่จิ้งหว่านกล่าว “หากศิษย์พี่เยี่ยนยับยั้งการเปิดออกของประตูแห่งนพยมโลกไม่ทัน สุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องตาย ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือหลิวเซิ่งเฟิง ประสบกับความทุกข์ยิ่งกว่า ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานยิ่งกว่า”
ขณะพูด นางหันศีรษะไปมองอีกด้านหนึ่ง บริเวณนั้น หลิวเซิ่งเฟิงไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น เป็นตายเท่ากัน ส่วนผู้ตกเป็นมารอีกสองคนที่ถูกเยี่ยนจ้าวเกอบั่นสังหาร ศพอันตรธานหายไปแล้ว
ยามนี้หร่วนผิงพันปิดปากแผลของตนเองไว้แล้ว สีหน้าซีดเสียว ลักษณะท่าทางอ่อนเพลีย แต่ประกายตาเยียบเย็น
เขายืนอยู่ข้างกายหลิวเซิ่งเฟิง มองต่ำลงไปยังอีกฝ่ายที่เอนอยู่บนพื้น
ใบหน้าหลิวเซิ่งเฟิงพยายามเค้นรอยยิ้มสอพลอ ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว “ศะ…ศิษย์พี่หร่วนผิง เจ้าเป็นผู้ใหญ่ต้องไม่ถือสาเด็ก…อ้า!”
คำพูดท่อนหลังของเขาติดอยู่ในลำคอ กลายเป็นเสียงร้องน่าเวทนาแทนที่
หร่วนผิงออกแรงเท้าข้างหนึ่ง เหยียบไปบนร่างของหลิวเซิ่งเฟิง
ช่วงอกและเอวหลิวเซิ่งเฟิงเลือดหรือเนื้อมิชัดเจนตั้งนานแล้ว ขณะนี้ถูกหร่วนผิงเหยียบซ้ำอีก พลันเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
เขาเคลื่อนย้ายเท้าของตนเองด้วยความยากลำบาก จากนั้นอีกเท้าหนึ่งก็เหยียบซ้ำไปบนปากแผลแขนขาดของหลิวเซิ่งเฟิง
ในปากหลิวเซิ่งเฟิงหายใจเฮือก แม้แต่เสียงร้องน่าเวทนาก็ร้องไม่ออก
เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงข้างกายหร่วนผิง อีกฝ่ายมองมาที่เขา หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”
“เกรงใจแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ หร่วนผิงลังเลเล็กน้อย “เจ้าจะห้ามข้าหรือ”
“ข้าพูดที่ไหนกัน จะไว้ชีวิตเขาหรือไม่นั้น ก็ให้พวกเจ้าจัดการเอง”
ขณะพูด ฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอก็คว้าไปบนอากาศ ธารแสงสีดำเป็นฝอยๆ ถูกดูดออกมาจากบริเวณเหนือปากแผลแขนขาดของหลิวเซิ่งเฟิง ก่อนจะตกอยู่ที่กลางฝ่ามือของชายหนุ่ม “ข้าเพียงแค่รู้สึกสนใจวิชาที่ก่อรูปแขนขาดขึ้นใหม่ชั่วคราวของเขาก่อนหน้านี้อยู่หน่อยๆ ก็เท่านั้นเอง”
ครั้นเก็บแสงสีดำเสร็จแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็หันกายกลับเดินไป “เจ้าจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”
หร่วนผิงพยักหน้า สายตามองลงไปยังหลิวเซิ่งเฟิงที่อยู่เบื้องล่างใหม่อีกครั้ง ในดวงตาหลิวเซิ่งเฟิงพลันส่งประกายความสิ้นหวังออกมา
ทันทีที่เห็นหลิวเซิ่งเฟิงร้องอย่างเวทนา เยี่ยฉงโจวก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทอดถอนใจครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ได้พูดกล่าวอะไร หลี่จิ้งหว่านและจางเหยาต่างก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
เซียวอวี่ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสำนักของหลิวเซิ่งเฟิง ยามนี้ดูเซื่องซึมอยู่บ้าง คล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็มองตรงไปยังสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เจดีย์สูงสีทองตั้งอยู่
ที่แห่งนั้นเป็นซากกำแพงที่หักพังไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าท่ามกลางซากปรักหักพัง คล้ายกับว่ามีบางสิ่ง
………