ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 248 เรื่องน่ายินดีคู่
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ลดเลือนรัศมีแสงเหนือศีรษะแต่อย่างใด ครั้นอาหู่มองเห็นก็รู้ได้ รัศมีแสงเหนือศีรษะนั้นเชื่อมต่อฟ้าดิน พลิกเปลี่ยนจากลวงเป็นจริงแล้ว เป็นสัญลักษณ์ชี้ว่าชายหนุ่มย่างก้าวสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดขั้นที่สิบ ขั้นฝ่านภาอย่างเป็นทางการ
“เรื่องน่ายินดีคู่?” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางอาหู่ เรื่องน่ายินหนึ่งในนั้นคือตนเองย่างก้าวสู่ขั้นฝ่านภา กลับไม่รู้ว่าเรื่องน่ายินดีอีกเรื่องนั้นหมายถึงอะไร
ดวงหน้าใหญ่ของอาหู่ล้วนระบายยิ้มดั่งบุปผาสะพรั่งพร้อมกัน “คุณชาย ทางสำนักเขากว่างเฉิงส่งข่าวมา ว่าโอสถเซียนกลับสวรรค์ที่ท่านขุดค้น ท่านประมุขกลั่นปรุงสำเร็จแล้วขอรับ!”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “โอ้? เร็วขนาดนี้เชียว!”
การกลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์นั้นยากเย็นพอสมควร เพราะต้องกลั่นใหม่ถึงเก้าครั้ง ทุกๆ ครั้งล้วนต้องทุ่มเวลาไปไม่น้อย
หากผิดพลาดไปครั้งหนึ่ง ผลคือวัตถุดิบปรุงโอสถล้วนใช้การไม่ได้ ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นทั้งสิ้น
พลังฝึกปรือของเยี่ยนตี๋กับความรู้ซึ้งด้านกลั่นโอสถ แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีความมั่นใจอย่างยิ่ง กระนั้นก็เตรียมใจเผื่อความยืดเยื้อยาวนานเช่นกัน
ไม่นานนักก็มีข่าวดีส่งมาเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอจึงรู้สึกเหนือความคาดหมายมากเช่นกัน
หลังไตร่ตรองในใจระยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เยี่ยมมาก! ท่านพ่อ…กลั่นสำเร็จในคราวเดียวเลยรึ?”
อาหู่ยิ้มทึ่มทื่อ “เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจนัก หากแต่ทางท่านประมุขนั้นส่งข่าวดีมาอย่างแท้จริง เอ่ยว่าคุณชายท่านวางใจได้กึ่งหนึ่งแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าขึ้นฟ้าเล็กน้อย มองดูฟากฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมน พึมพำกับตนเองว่า “ใช่น่ะสิ วางใจได้กึ่งหนึ่งแล้วจริงๆ…”
การที่กลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์ปรุงสำเร็จ อย่างน้อยเยี่ยนจ้าวเกอก็มีความมั่นใจเก้าส่วน ว่าหยวนเจิ้งเฟิงอาจารย์ปู่ของตนจะสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเดิมที่เรื้อรังมาโดยตลอดได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ด้วยการสั่งสมที่เพียบพร้อมและพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของหยวนเจิ้งเฟิง อยากจะสืบเท้าครึ่งก้าวสุดท้ายที่หยุดชะงักมาเนิ่นนานนั่น ผ่านขั้นบรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ ประสบผลสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็แทบจะเป็นเรื่องที่กำหนดแน่นอนไม่มีเปลี่ยนแปลง
หยวนเจิ้งเฟิงรอคอยวันนี้ ไม่รู้ว่านานกี่ปีแล้ว
ถึงแม้ว่าใดใดในโลกหล้าล้วนอนิจจัง กระนั้นด้วยพลังความสามารถและศักยภาพที่หยวนเจิ้งเฟิงแสดงออก ถ้าหากไม่ใช่อาการบาดเจ็บเดิมถ่วงขาไว้ เขาควรจะบรรลุขั้นศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว
สำนักเขากว่างเฉิงที่แต่เดิมมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์เสื้อคลุมนภาปกปักษ์สำนัก หากหยวนเจิ้งเฟิงบรรลุตำแหน่งจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ เช่นนั้นพลังความสามารถของสำนักเขากว่างเฉิงก็จะปะทุขึ้นทันที
ต่อให้หวงกวงเลี่ย จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็ประสบความสำเร็จขึ้นอีกขั้นเช่นกัน แม้สำนักเขากว่างเฉิงแต่เดิมมีแรงกดดัน แต่สถานการณ์อย่างมากที่สุดก็แค่เฉกเช่นก่อนหน้า เป็นไปไม่ได้ที่จะย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
เนื่องด้วยเยี่ยนจ้าวเกอเป็นเหตุ ดึงสำนักเขาไร้พรมแดนเข้าสู่พันธมิตรของตนกับเมืองทะเลมรกต สถานการณ์จึงนับว่ายังดีกว่าหลายปีก่อน
ดังนั้นกล่าวได้ว่าตอนนี้วางใจได้เพียงแค่กึ่งหนึ่ง ยังมีอีกกึ่งหนึ่งเป็นกังวลอยู่ ก็เพราะในบรรดาเหล่านี้ยังคงมีปัจจัยที่อาจเปลี่ยนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
หากว่าหยวนเจิ้งเฟิงฟื้นสภาพจากอาการเจ็บเรื้อรังเนื่องด้วยโอสถเซียนกลับสวรรค์ ถึงจะสามารถพุ่งพรวดสู่ขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ตาม ทว่ากว่าเขาจะบรรลุขั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ยังต้องผ่านกระบวนการอย่างหนึ่ง และต้องการเวลาช่วงหนึ่ง
ในเวลาช่วงนี้ หยวนเจิ้งเฟิงกักตนเข้าฌาน ก็นับว่าเป็นการทดสอบใหญ่หลวงต่อสำนักเขากว่างเฉิงครั้งหนึ่ง
สภาพปัจจุบันคงไว้ไม่เปลี่ยน เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างมากเขากว่างเฉิงก็ตรึงการตั้งรับป้องกันไว้ชั่วคราว ระมัดระวังเฝ้ารักษาสำนักก็เท่านั้น
ทว่าหากในช่วงเวลาที่หยวนเจิ้งเฟิงเข้าฌานนี้ หวงกวงเลี่ยของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กลับออกฌานพอดี เช่นนั้นสถานการณ์ก็ไม่เอื้อต่อเขากว่างเฉิงแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการออกฌานครั้งนี้ของหวงกวงเลี่ย กลับสำเร็จขึ้นไปอีกขั้น กระนั้นสถานการณ์ของเขากว่างเฉิงก็ไม่ใช่เพียงแค่คำว่า ‘ไม่เอื้อ’ สองคำนี้จะบรรยายได้แล้ว
ครานี้ยังคงมีความเสี่ยงพร้อมทั้งโอกาสไปพร้อมๆ กัน
หากแต่การกลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์ได้สำเร็จ ก็เท่ากับช่วงชิงโอกาสสำเร็จมาให้สำนักเขากว่างเฉิงและหยวนเจิ้งเฟิงสูงมากยิ่งขึ้นแล้ว
ครั้นครุ่นคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็อยากจะยกนิ้วโป้งให้แก่บิดาของตน
กลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์สำเร็จในครั้งเดียว ประหยัดเวลาไปได้อย่างมาก เวลาเหล่านี้เท่ากับว่าลดการฝ่าทะลวงให้กับหยวนเจิ้งเฟิงไปโดยปริยาย
การประหยัดเวลาเช่นนี้ มีความหมายในด้านยุทธศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่แค่ประหยัดเวลากลั่นโอสถเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าต่อเนื่อง “ไม่เลว ไม่เลว เป็นเรื่องน่ายินดีคู่จริงๆ เปรียบกันแล้ว เรื่องน่ายินดีของข้านี้ ล้วนไม่เท่าไรเลย”
กล่าวจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็เหลียวมองไปยังอาหู่ “จะว่าไปแล้ว ทางพ่านพ่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
อาหู่ยิ้มทึ่มทื่อ “เจ้านั่นถูกคุณชายท่านเลี้ยงจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ตอนนี้อีกไม่นานก็จะเลื่อนขั้นอีกครั้งแล้ว ถ้าหากปรับพลังน้ำและเพลิงให้มีสัดส่วนเหมาะได้สำเร็จ เชื่อว่าคงมีพัฒนาการอย่างสูงขอรับ”
ชายหนุ่มผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ “จับตาดูให้มากสักหน่อย เจ้าอ้วนตัวนี้อะไรล้วนดี จะมีก็แต่สองปัญหา นอกจากจะตะกละแล้ว ก็เกียจคร้าน ไม่เร่งทำงาน ก็ลอบอู้เป็นแน่”
ถึงแม้ว่าหมีสงเมายักษ์จะแตกต่างจากภาพจำเดิมของเยี่ยนจ้าวเกออยู่บ้าง ทว่าพ่านพ่านได้นั่งก็ไม่ยืน ได้เอนนอนก็ไม่นั่ง เกียจคร้านจนถึงขั้นไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว
หมีสงเมายักษ์ทั่วไป เด่นชัดว่าขี้เกียจไม่ชอบเคลื่อนไหว นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันกินไผ่โดยส่วนใหญ่ ปริมาณการดูดซึมต่ำ เพื่อที่จะประหยัดแรง มันจึงไม่ชอบขยับเขยื้อน
ซึ่งสำหรับพ่านพ่านแล้ว แม้จะชอบกินไผ่เช่นกัน หากแต่นั่นเพียงรสชาติดีเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วของที่มันกินโดยส่วนมากเป็นโลหะทองแดงที่อุดมไปด้วยพลังชีวิตมากกว่า
ดังนั้นความจำเป็นที่มันจะประหยัดแรงก็ไม่มีอยู่แต่อย่างใด ทว่าก็ยังคงเป็นเจ้าเงื่องหงอยตัวหนึ่ง ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอหมดคำพูด
ไม่เอ่ยถึงพ่านพ่าน หลังจากเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นฝ่านภาได้สำเร็จ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ละความพยายามแต่อย่างใด แต่เริ่มเตรียมจะก้าวพรวดสู่ระดับชั้นที่สูงกว่า
กาลก่อนเสาะหาศิลาเซียนส่องชะตา ก็เพื่อตระเตรียมที่จะเลื่อนขั้นจากขั้นฝ่านภา ปะทะสู่ระดับมหาปรมาจารย์
ทว่าก่อนที่จะสาวเท้าสู่ประตูเป้าหมายนั่นจริงๆ เยี่ยนจ้าวเกอยังจำเป็นต้องสั่งสมอีกสักหน่อย เสริมรากฐานให้มั่นคง
คนนอกเห็นเพียงว่าเยี่ยนจ้าวเกอพัฒนารุดหน้าอย่างง่ายดาย ยกระดับเลื่อนขั้นรวดเร็วน่าตื่นตะลึง กลับมองข้ามโดยส่วนมาก แท้จริงแล้วเยี่ยนจ้าวเกอสืบเท้าอย่างมั่นคงยิ่งในทุกๆ ก้าว ไม่ได้บุ่มบ่ามรีบร้อนแต่อย่างใด
บนเวทีเพียงแค่หนึ่งนาที หลังเวทีซุ่มซ้อมนานสิบปี
เบื้องหลังช่วงเวลาเจิดจ้าเหลือคณานับ แสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน เยี่ยนจ้าวเกอฝึกยุทธ์ในระดับมานะบากบั่นหมั่นเพียร มากยิ่งกว่าคนส่วนมากเสียอีก
บรรดาผู้คนที่เยี่ยนจ้าวเกอมักจะคบค้าสมาคมเป็นประจำ ซึ่งเป็นคนฝึกยุทธ์บ้าระห่ำเฉกเช่นสือเถี่ยและเฟิงอวิ๋นเซิงเหล่านี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมานะพยายามมากกว่าเขาเช่นกัน
ในกระบวนการฝึกฝนของเยี่ยนจ้าวเกอนั่นเอง ที่กาลเวลาก็กำลังผ่านพ้นไปทีละวันๆ เช่นกัน
วันหนึ่ง สวีเฟยพลันปรากฏตัวที่ที่พำนักของเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอเปิดประตูออกไปต้อนรับ ก็แลเห็นสวีเฟยยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสุขุม พบหน้ากันก็เอ่ยประหนึ่งแรกว่า “ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตมีการเคลื่อนไหวแล้ว”
“ที่ใดหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอไม่พูดให้มากความ ตรงเข้าประเด็นโดยตรง
ทั้งสองต่างก็ไม่เสียเวลา พร้อมทั้งเคียงบ่าเดินออกไปพร้อมกัน สวีเฟยเดินไปพลาง กล่าวไปพลาง “ยุทธ์เมฆา ตระกูลหวัง”
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ ถอนใจครั้งหนึ่ง
ความกังวลในตอนแรก หาได้สะเปะสะปะไม่
ตระกูลหวังยุทธ์เมฆาแห่งเกาะทราย เป็นตระกูลขุนนางมากฐานะเก่าแก่ลือชาแห่งวายุพิภพ ประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าพรรคกระบี่วายุคำราม
ตระกูลหวังยุทธ์เมฆาเป็นขุมกำลังชั้นหนึ่งในเขตแดนเกาะทรายวายุพิภพ เช่นเดียวกับพรรคกระบี่วายุคำราม ควบคุมดูแลอาณาเขตผืนใหญ่ ใต้อาณัติก็มีขุมกำลังชั้นสองและตระกูล สำนักเคียงใกล้ที่เล็กกว่าไม่น้อยเช่นกัน
แม้ตระกูลหวังจะอยู่ใกล้เขากว่างเฉิงเหมือนกัน หากแต่ดูเหมือนว่าปัจจุบันบุตรหลานตระกูลหวังที่มีจำนวนพอฟัดพอเหวี่ยง ไม่พึงพอใจต่อสภาพตอนนี้
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งหกอยู่เหนือ ทำให้ตระกูลหวังที่เป็นขุมกำลังชั้นหนึ่งเช่นนี้ มีพื้นที่และโอกาสเหนือขึ้นไปจำกัดมากขึ้น
แท้จริงแล้วนี่ยังไม่ถึงขั้นว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด ทุกคนต่างก็อยากจะปีนขึ้นสูงมองกว้างไกล ทว่าพื้นที่บนจุดสูงสุดก็ใหญ่โตปานนั้น ผู้คนเบื้องล่างต้องการขึ้นไป โดยพื้นฐานที่ผู้คนด้านบนก็อยากที่จะเดินขึ้นสูงกว่าเดิม ก็คือตอนนี้ไม่ถูกคนผลักลงไป
เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เป็นการเปิดโอกาสให้นพยมโลกกับภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตได้ช่วงชิงบ้างแล้ว
วันนี้ เขตยุทธ์เมฆาบนเกาะทรายแห่งวายุพิภพ ลมเมฆสาดซัด
———————————-