ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 325 การประลองแห่งจันทราเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
‘เหยาเหยา’ ที่ฝานชิวเอ่ยถึง แน่นอนว่าคือผู้สืบทอดสายหลักหอคลื่นโหม ที่มีวาสนาพบพานเยี่ยนจ้าวเกอในการประชุมฝ่านภาที่ทะเลสาบปิดนภาเพียงครั้งเดียว จางเหยา
ในเหตุการณ์แดนมารบนทะเลสาบปิดนภา จางเหยาถูกพวกหลิวเซิ่งเฟิงจับเอาไว้เช่นเดียวกับหลี่จิ้งหว่าน โชคดีที่ได้เยี่ยนจ้าวเกอช่วยไว้
ฝานชิวกับจางเหยาทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกัน ปกติแล้วดูเหมือนว่าก็สนิทสนมกันอย่างยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะคำนับฝานชิวตอบ แล้วส่งกระแสจิตเอื้อนเอ่ยเช่นกัน ‘ศิษย์น้องฝานเกรงใจเกินไปแล้ว’
เมื่อหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นเฟิงอวิ๋นเซิงและเมิ่งหว่านยังคงเบิกตากว้างอยู่ตรงนั้น เยี่ยนจ้าวเกออดอมยิ้มไม่ได้ จากนั้นครรลองสายตาก็ตกลงบนร่างเมิ่งหว่านอีกครั้ง
ในที่สุดเมิ่งหว่านก็ละสายตาออกจากร่างเฟิงอวิ๋นเซิง เผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกออย่างสงบเงียบ ก่อนจะระบายยิ้มอย่างสุภาพ โดยที่ไม่เสียมารยาทและก็ไม่ปรากฏความสนิทสนม
ระหว่างสำนักเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ไว้หน้าโดยสิ้นเชิงแล้ว นางแสดงปฏิกิริยาต่อเยี่ยนจ้าวเกอเช่นนี้ ก็นับว่าปกติเช่นกัน
ทว่ากลับมองไม่เห็นอารมณ์ขุ่นเคืองโกรธแค้น อันเกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งกันในบ่อน้ำเย็นในตอนนั้นจากนางเลย
ผู้อาวุโสสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ข้างกายเมิ่งหว่าน ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำคณะก็คือซี่จ้าวจวิน หนึ่งในเจ็ดสุริยัน
ยามนี้ซี่จ้าวจวินอารมณ์สงบนิ่ง ไม่เห็นความปรวนแปรแม้แต่น้อย หากแต่สายตามองลึกอยู่ที่เยี่ยนจ้าวเกอ
ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ ผู้อาวุโสเมิ่งกลับไม่ลดละแม้แต่น้อย จ้องมองซี่จ้าวจวินเช่นกัน สายตาของทั้งสองประชันกัน ในอากาศราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา
ภายในหอ ฝ่ายหนึ่งสำนักเขากว่างเฉิง สำนักเขาไร้พรมแดน และเมืองทะเลมรกต ฝ่ายหนึ่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ตำหนักอัสนีสวรรค์ แบ่งแยกเป็นสองฟากอย่างชัดเจน กลายเป็นสถานการณ์ประจันหน้า ต่างไม่ยอมหลีกทางให้กัน
จอมยุทธ์หอคลื่นโหมยืนอยู่ตรงกลาง เห็นสถานการณ์แล้วต่างลอบถอนใจ
ทันใดนั้น เงาร่างของคนคนหนึ่งพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน แม้จะไร้ซึ่งเค้าส่อให้เห็น แต่กลับปรากฏตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งกับอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้
ผู้นั้นคือหญิงวัยกลางคนที่รูปร่างค่อนข้างสูงโปร่ง รูปโฉมธรรมดาทั่วไป หากแต่กลับให้ความรู้สึกลุ่มลึก ประดุจมหาสมุทรและบ่อน้ำลึก
ภาพรูปโฉมของคนผู้นี้แพร่สะพัดไปทั่วโลกแปดพิภพแล้ว บรรดาผู้คนในห้องนี้ จึงไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
ประมุขหอคลื่นโหมรุ่นปัจจุบัน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์พลิกเมฆา ‘พลิกเมฆา’ อันชิงหลิน
ขณะเดียวกันก็เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์หญิงเพียงท่านเดียวท่ามกลางโลกแปดพิภพในปัจจุบัน และเป็นยอดฝีมือหญิงอันดับหนึ่งที่ความสามารถสมกับชื่อเสียง
ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณอาทิ เมิ่งหว่าน และซี่จ้าวจวิน จวบจนรุ่นเยาว์เฉกเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างสืบเท้าขึ้นหน้าแสดงการคำนับนาง “ประมุขหออัน”
อันชิงหลินที่ดูจากภายนอกมีลักษณะเหมือนวัยกลางคน แท้จริงแล้วอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วเช่นกัน หนำซ้ำยังดูแลหอคลื่นโหมมานานหลายปี
นางรุ่นอาวุโสเดียวกับพวกหยวนเจิ้งเฟิง หวงกวงเลี่ย และเฉินลี่ ทว่าอายุน้อยกว่าอยู่บ้าง ชื่อเสียงลือเลื่องมานานหลายปี นามกรสะท้านแปดพิภพ
อันชิงหลินผงกศีรษะเล็กน้อยและคำนับตอบ ก่อนจะกล่าวว่า “ปีศาจอัคคีรุกรานเข้ามาจากทะเลตะวันออก เป็นศัตรูร่วมของโลกแปดพิภพของเราที่มีเส้นทางเดียวกัน การประลองแห่งจันทราและมงกุฎแห่งจันทรา เพื่อต่อต้านปีศาจอัคคี มีความหมายสำคัญยิ่ง ยังคงขอให้สตรีแห่งจันทราแต่ละสำนัก แสดงฝีมือที่ฝึกฝนมาให้เต็มที่ เพื่อตัดสินผู้ที่แกร่งกล้าที่สุด จะได้ควบคุมมงกุฎแห่งจันทรา”
“หอคลื่นโหมของเราในฐานะเจ้าบ้านรู้สึกละอายใจ เมื่อดำเนินการรักษาการประลองแห่งจันทราให้เป็นไปตามลำดับ ก็หวังว่าไม่ว่าสำนักใดจะได้มงกุฎแห่งจันทรา จะพึงระวังอันตรายของปีศาจอัคคี”
อันชิงหลินอธิบายให้เข้าใจได้อย่างมาก พวกผู้อาวุโสเมิ่งและซี่จ้าวจวินต่างผงกศีรษะ “เป็นเช่นนี้แน่นอน ที่ประมุขหออันกล่าวมาก็ถูกต้อง”
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูอันชิงหลิน การวางตัวของหอคลื่นโหมยังคงเหมาะสมอย่างยิ่งยวด
การประลองแห่งจันทราครั้งที่สี่ ฝานชิวคว้าชัยชนะนำมงกุฎแห่งจันทรากลับมาให้หอคลื่นโหม หนึ่งปีมานี้ หอคลื่นโหมมีมงกุฎแห่งจันทราอยู่ตลอดเวลา
เหตุวุ่นวายหลายครั้งที่ปีศาจอัคคีก่อบนทะเลตะวันออก ล้วนมีหอคลื่นโหมกับมงกุฎแห่งจันทรายันอยู่แนวหน้า ทำให้ผู้คนต่างชื่นชม
ก่อนหน้าการประลองแห่งจันทราครั้งนี้ สถานการณ์ภายในโลกแปดพิภพเกิดการเปลี่ยนใหญ่อีกครั้ง
สำนักเขากว่างเฉิงและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงตำหนักอัสนีสวรรค์ต่างไม่ไว้หน้ากันโดยสิ้นเชิง ผูกพยาบาทอาฆาตแค้น ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนไม่อาจแก้ไข
แม้ว่าเพราะระยะนี้พลังความสามารถสูสีกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำอะไรใครได้ ด้วยเหตุนี้จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่อ่อนข้อให้แก่กัน กระนั้นบรรยากาศก็ตึงเครียดกว่าก่อนหน้าสงครามกว่างเฉิงมากยิ่งนัก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้มงกุฎแห่งจันทราไป ล้วนเป็นข่าวร้ายสำหรับอีกฝ่าย
ทว่า ถ้าหากหอคลื่นโหมวางตัวเป็นกลางตลอดเวลาล่ะก็ เช่นนั้นการที่หอคลื่นโหมมีมงกุฎแห่งจันทราไว้ในครอบครอง กลับจะเป็นบทสรุปที่ทั้งสองฝ่ายสามารถประนีประนอมกันได้ด้วยซ้ำ
หากมีฝ่ายหนึ่งประสงค์ร้ายต่อหอคลื่นโหม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการบีบบังคับหอคลื่นโหมให้กลายเป็นพรรคพวกของอีกฝ่าย
อีกทั้ง หากหอคลื่นโหมไม่ข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน มุ่งมั่นเพียงออกปะทะปีศาจอัคคีล่ะก็ เช่นนั้นการประสงค์ร้ายต่อหอคลื่นโหม ก็อาจถึงขั้นสร้างความไม่พอใจให้กับผู้เฒ่าโม่ ปราชญ์ภาพวาด ผู้เฒ่าคนนี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง ทว่าเรื่องเฉกเช่นปีศาจอัคคีรุกรานเช่นนี้ ล้วนให้ความสนใจมาโดยตลอด
แน่นอน หากสามารถช่วงชิงได้ ใครจะยอมปล่อยของล้ำค่าเช่นมงกุฎแห่งจันทรานี้ไป?
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หอคลื่นโหมยังคงสามารถรักษากฎเกณฑ์ไว้ได้ ส่งมอบมงกุฎแห่งจันทรา ให้การประลองแห่งจันทราดำเนินไปอย่างเช่นปกติ นับว่าคุณธรรมเข้มแข็งอย่างมากทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเท่าที่เยี่ยนจ้าวเกอทราบ ถึงแม้หอคลื่นโหมจะคงไว้ซึ่งความเป็นกลาง ทว่าก็หาใช่ไม่ปรารถนาสิ่งใดไม่
คิดจะรักษาความเป็นกลางและความเป็นอิสระไว้ตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจำเป็นต้องคงพลังความสามารถที่แกร่งกล้าไว้ ตลอดมานี้หอคลื่นโหมเอง ก็กำลังทุ่มเทกับการยกระดับตนเอง หลอมสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเองเช่นกัน
เพียงแต่พวกเขาเฝ้าพัฒนาบึงพิภพมั่น ไม่ขยายออกไป และก็ไม่ข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เช่นกัน
“ทางหนึ่งมีคุณธรรมเข้มแข็ง อีกทางหนึ่งก็มีความเชื่อมั่นกับฝานชิวอย่างมากเสียนี่กระไร…” เยี่ยนจ้าวเกอมองหญิงงามผู้มีฟันกระต่ายคนนั้น
อันชิงหลินมองดูพวกผู้อาวุโสเมิ่งและซี่จ้าวจวิน แล้วกล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การประลองแห่งจันทราครั้งนี้ก็จะจัดขึ้นตามกำหนดเวลาสามวันหลังจากนี้ ศิษย์แต่ละสำนักกลับไปพักผ่อนเตรียมตัวทั้งหมดเถิด หากต้องการสิ่งใด ล้วนสามารถเอ่ยกับศิษย์ของหอคลื่นโหมได้เลย”
“การประลองแห่งจันทราก่อนหน้านี้ ล้วนคัดเหลือเพียงสองคน หลังจากผ่านรอบแรก จากนั้นค่อยตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย” สายตาของอันชิงหลินกวาดผ่านใบหน้าของพวกเมิ่งหว่าน เฟิงอวิ๋นเซิง อวิ๋นซิ่วชิงและคนอื่นๆ ไป “ปีนี้จำนวนคนเพิ่งขึ้นเป็นเจ็ดคน ข้าเสนอว่าหลังจากรอบแรก ให้คงไว้สี่คน จากนั้นแบ่งออกเป็นคู่ๆ ตัดสินแพ้ชนะ ทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”
พวกผู้อาวุโสเมิ่งเอื้อนเอ่ย “ที่ประมุขหออันกล่าวมามีเหตุผล พวกข้าไม่มีข้อโต้แย้ง”
เยี่ยนจ้าวเกอสบตากับเฟิงอวิ๋นเซิงแวบหนึ่ง ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตามธรรมเนียมปฏิบัติ การประลองแห่งจันทราถูกแบ่งออกเป็นสองรอบ
รอบแรก ทุกคนจะอยู่ภายในการครอบคลุมของแสงมงกุฎแห่งจันทราพร้อมกัน แต่ละคนต่างสำแดงฝีมือ เชื่อมประสานกับมงกุฎแห่งจันทรา และกระตุ้นแสงของมงกุฎแห่งจันทรา
การทดสอบและตัดสินรอบนี้เท่ากับว่าเป็นมงกุฎแห่งจันทราเอง
เนื่องด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้จริง ดังนั้นในภายหลังจึงจะมีการประลองรอบที่สอง
รอบแรกคัดเลือกคนอื่นๆ ออก เหลือสองคนที่โดดเด่นที่สุดเอาไว้ ไม่ใช่เพียงแค่เปรียบเทียบทักษะยุทธ์อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังคงมีการประมือโดยใช้พลังแห่งจันทรา ตัดสินผู้ชนะในท้ายที่สุดออกมา กลายเป็นเจ้าของของมุงกุฎแห่งจันทราในช่วงเวลาหนึ่งปีถัดไป
การประลองแห่งจันทราสามครั้งก่อน สำนักเขากว่างเฉิงและหอคลื่นโหมล้วนไม่เข้าร่วม สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีเพียงเมิ่งหว่านคนเดียว ฉะนั้นสตรีแห่งจันทราที่เข้าร่วมการประลอง จึงมีทั้งหมดสี่คน
การประลองแห่งจันทราครั้งที่สี่ ฝานชิวเข้าร่วมด้วย กลายเป็นห้าคน
ส่วนครั้งนี้ เพิ่มเฟิงอวิ๋นเซิงแห่งสำนักเขากว่างเฉิง กับอวิ๋นซิ่วชิงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เข้าไป จำนวนคนทั้งหมดจึงกลายเป็นเจ็ดคนแล้ว
การแข่งขันทวีความร้อนแรงขึ้น ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีเสมอกับใคร
………