ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 443 ลูกหลานพบบรรพบุรุษ
ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอประมือกับสำนักเมฆาโลหิต สำนักอัสนีคำรน และสำนักเพลิงโหมสามสำนัก คนจากสำนักเขามังกรเขียวก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ
ขณะมองเมฆสีเลือด เมฆสายฟ้า และทะเลเพลิงที่อยู่ไกลออกไปกลายเป็นเส้นเดียวกัน คล้ายกับกระแสน้ำที่กลืนฟ้ากลืนดิน ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวก็รู้สึกเคร่งเครียดจนถึงขีดสุด
นี่เป็นพลังที่มากพอจะทำลายสำนักเขามังกรเขียว
เพียงมองพลังกระบวนทัพของอีกฝ่าย พวกหลัวจิ่งฮ่าวก็ทราบว่า วันนี้จะเป็นมหันตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดตั้งแต่สำนักเขามังกรเขียวก่อตั้งสำนักมา!
หลัวจิ่งฮ่าวกำโซ่กระดูกมังกร ของวิเศษแห่งสำนักเขามังกรเขียวไว้ในมือแน่น ในใจเตรียมตัวตายในการต่อสู้แล้ว
พวกผู้อาวุโสฉีและผู้อาวุโสถงมีใบหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน
ในตอนที่พวกเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสลดนั่นเอง พวกเขาก็เห็นภาพที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้กระบี่กดดันจอมยุทธ์สำนักเพลิงโหม
ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวพลันเกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่ดีไม่แย่ อยู่ในระดับครึ่งๆ กลางๆ
หลังจากรู้สึกได้ถึงลมปราณอันแข็งแกร่งที่มาจากมังกรแท้ ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวล้วนตกตะลึง
“มังกรแท้? สวรรค์ เป็นมังกรแท้!” ผู้อาวุโสถงส่งเสียงร้องอุทาน
ไม่มีคนเยาะเขาว่าเป็นกระต่ายตื่นตูม เนื่องจากด้านข้างเขา จอมยุทธ์สำนักเขามังกรเขียวทั้งหมดในตอนนี้ล้วนอ้าปากตาค้าง มองร่างแสงของมังกรน้ำแข็งหลายตัวที่วนเวียนอยู่รอบๆ เยี่ยนจ้าวเกอด้วยความตกใจ
เทียบกับสำนักเมฆาโลหิต สำนักอัสนีคำรน และสำนักเพลิงโหมแล้ว สำนักเขามังกรเขียวมีความรู้สึกต่อสายเลือดของมังกรแท้รุนแรงมากกว่า
ถึงแม้ว่าราชสีห์วิเศษซวนหนีเลือดผสม และอีกาอัคคีจะถูกสายเลือดของมังกรแท้สะกดข่มไว้ ไม่เหมือนกับพญาปักษาชิงเหนี่ยว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน
สายเลือดสูงสุดที่จอมยุทธ์เขามังกรเขียวฝึกได้ ก็คือมังกรไร้เขาชิงชือ มิใช่เผ่าพันธุ์มังกรเลือดบริสุทธิ์
การเผชิญหน้ากับมังกรแท้เลือดบริสุทธิ์ในตอนนี้ พลันทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกอยากหมอบกราบกราน
ในอีกความหมายหนึ่ง เหมือนทายาทรุ่นหลังพบบรรพบุรุษ
ถ้าหากลูกหลานแข็งแกร่งสุดขีด และบรรพบุรุษอ่อนแอ ก็ยังพอทำเนา
ทว่าสายเลือดมังกรแท้เบื้องหน้ากลับแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แข็งแกร่งจนทำให้สายเลือดของมังกรไร้เขาชิงชือของพวกหลัวจิ่งฮ่าวไม่มีความกล้าแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะเป็นเจ้าสำนักเขามังกรเขียวหลัวจิ่งฮ่าว ในตอนนี้ก็มิอาจใจเย็นได้ พึมพำกับตนเองไม่หยุด “สายเลือดมังกรแท้ สายเลือดมังกรแท้…”
เมื่อเห็นสำนักเพลิงโหมใช้งานกระบวนทัพอัคคีโหมทำลายปีศาจ พวกหลัวจิ่งฮ่าวที่จิตใจสั่นสะท้านเพราะสายเลือดของมังกรแท้ถึงได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึม ‘กระบวนทัพอัคคีโหมทำลายปีศาจ กระบวนทัพซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันของโลกลอยน้ำ เหนือกว่ากระบวนทัพมังกรทะยานของสำนักเรา กระบวนทัพราชสีห์สายฟ้าคำรามของสำนักอัสนีคำรน และกระบวรทัพพญาปักษาร่ำร้องของสำนักเมฆาโลหิตเสียอีก
‘สำนักเราคิดจะต่อกรด้วย จำเป็นต้องยืมพลังของโซ่กระดูกมังกร…’
พวกหลัวจิ่งฮ่าวคิดถึงตรงนี้ ก็เห็นเยี่ยนจ้าวเกอชักกระบี่ออกจากฝัก ประกายกระบี่สว่างวาบ กดดันให้ฝูงอีกาอัคคีรีบร้อนถอยหลัง บินไปทั่วไม่ต่างกับไก่บินเตลิด สุนัขวิ่งพล่าน
“…” ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวเห็นดังนั้น ก็อดเงียบงันลงไม่ได้
กองทัพพันธมิตรสามสำนักในตอนนี้ได้ทราบถึงความแข็งแกร่งของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว จึงละทิ้งความคิดสู้ด้วยตัวเองทันที และเริ่มร่วมมือกันรุมโจมตีชายหนุ่ม!
พวกหลัวจิ่งฮ่าวมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
เบื้องหน้าคือสถานการณ์ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นห่วงที่สุด
พลังที่เหมือนกับมหันตภัยจากการร่วมมือกันของสามสำนัก สามารถทำลายสิ่งที่ไม่มีที่พึ่งใดๆ ในโลกลอยน้ำได้อย่างไร้ข้อกังขา
เมื่อครู่นี้แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะแสดงพลังอันน่าตื่นตระหนกให้เห็น แต่คิดเผชิญหน้ากับการร่วมมือของสามสำนัก เกรงว่าจะ…
พวกเขาเพิ่งจะคิดได้ถึงครึ่งหนึ่ง ก็เห็นแสงสายฟ้าสีเงินยวงอันแปลกประหลาดบนร่างเยี่ยนจ้าวเกอสว่างวาบขึ้น
จากนั้นเงามืดสายหนึ่งก็ลอยออกมากลืนกินร่างแสงของราชสีห์วิเศษซวนหนี ที่เกิดจากทัพราชสีห์สายฟ้าคำรามของสำนักอัสนีคำรนในชั่วพริบตา
เมื่อเผชิญกับกระบวรทัพพญาปักษาร่ำร้องของสำนักเมฆาโลหิต ประกายกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอก็ฉีกกระชากพญาปักษาชิงเหนี่ยวเลือดผสมประดุจมังกรทะยาน
ประกายกระบี่รูปร่างมังกรที่ฉีกกระชากพญาปักษาชิงเหนี่ยว คล้ายกับยังไม่สาแก่ใจ ฟันใส่พายุหมุนที่น้ำเต้าเมฆาโลหิตของวิเศษแห่งสำนักเมฆาโลหิตพ่นออกมา
พายุหมุนระเบิดเป็นเสี่ยงแล้ว ทว่าประกายกระบี่ยังไม่หยุดลง พุ่งไปด้านหน้า ผ่าน้ำเต้าเมฆาโลหิตให้กลายเป็นสองซีก
พวกหลัวจิ่งฮ่าวเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง
น้ำเต้าเมฆาโลหิตเป็นของวิเศษระดับสุดยอดของสำนักเมฆาโลหิต มันสำคัญต่อสำนักเมฆาโลหิต เฉกเช่นเดียวกับโซ่กระดูกมังกรสำคัญต่อสำนักเขามังกรเขียว
ในสายเลือดชั้นยอดทั้งห้าในปัจจุบันของโลกลอยน้ำ นอกจากมังกรไร้เขาชิงชือที่ตายไปแล้ว และเลือดที่สำนักเขามังกรเขียวครองครองอยู่ วานรทอง พญาปักษาชิงเหนี่ยว ราชสีห์วิเศษซวนหนีเลือดผสม และอีกาอัคคี สัตว์ปีศาจอันแข็งแกร่งสี่ชนิด ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายเลือดทั้งสี่ ล้วนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ในปัจจุบัน สัตว์ปีศาจทั้งสี่นี้นับเป็นเจ้าผู้ปกครองในหมู่สัตว์ปีศาจของโลกลอยน้ำ
ในจำนวนนี้ ราชสีห์วิเศษซวนหนีและอีกาอัคคี รวมถึงสำนักอัสนีคำรนและสำนักเพลิงโหมที่ครอบครองสายเลือดของพวกมัน ล้วนมีสภาพดุจน้ำกับไฟ
มีเพียงแต่พญาปักษาชิงเหนี่ยวและสำนักเมฆาโลหิตที่ครอบครองสายเลือดของมันอยู่เท่านั้น ที่อยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง
พญาปักษาชิงเหนี่ยวได้รับการดูแลจากสำนักเมฆาโลหิต อาศัยอยู่ในสำนัก แม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อสำนักเมฆาโลหิต แต่ก็กลายเป็นการข่มขวัญอย่างหนึ่ง
ผู้ใดคิดจะโจมตีสำนักเมฆาโลหิต พญาปักษาชิงเหนี่ยวที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสัตว์ปีศาจในโลกลอยน้ำ ก็เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก
นอกจากพญาปักษาชิงเหนี่ยวจะมีนิสัยค่อนข้างอ่อนโยนแล้ว เหตุผลที่สำคัญมากอีกอย่างก็คือ สำนักเมฆาโลหิตเลี้ยงดูพญาปักษาโดยใช้น้ำเต้าเมฆาโลหิตนั่นเอง
สำนักเมฆาโลหิตแตกต่างกับสำนักเขามังกรเขียว สำนักเพลิงโหม และสำนักอัสนีคำรน ที่ชื่อมักจะเกี่ยวข้องกับสายเลือดชั้นที่หนึ่งสำนักครอบครองอยู่
ในจำนวนนี้ นอกจากการให้ความเคารพพญาปักษาชิงเหนี่ยวแล้ว การใช้น้ำเต้าเมฆาโลหิตมาตั้งเป็นชื่อสำนัก ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญที่ของวิเศษชิ้นนี้มีต่อสำนักเมฆาโลหิต
“น้ำเต้าเมฆาโลหิตสามารถแย่งชิงเลือดของคนหรือสัตว์ปีศาจได้ มีบางครั้งถึงกับหลอมสายเลือดได้ด้วย ของวิเศษที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถึงกับ…” ผู้อาวุโสมฉีเบิกตามองน้ำเต้าเมฆาโลหิตที่แตกเป็นสองเสี่ยง
ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักเขามังกรเขียว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้อาวุโสฉีภาวนาให้น้ำเต้าเมฆาโลหิตถูกทำลายมาแล้วกี่ครั้ง
การทำลายน้ำเต้าเมฆาโลหิต เป็นยิ่งกว่าการเด็ดปีกสองข้างของสำนักเมฆาโลหิตเสียอีก
อย่ามองว่าตอนนี้สำนักเมฆาโลหิตร่วมมือกับสำนักอัสนีคำรน ละสำนักเพลิงโหมเพื่อยาตราทัพมายังทิศตะวันตกอย่างสมัครสมาน
ถึงแม้จะเป็นสำนักเพลิงโหมกับสำนักอัสนีคำรน ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอยากจะทำลายและแย่งชิงน้ำเต้าเมฆาโลหิตมากถึงเพียงใด
ในตอนนี้ ภาพที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนเฝ้าใฝ่ฝันถึงปรากฏเบื้องหน้าแล้ว แต่กลับรู้สึกน่าเหลือเชื่อนัก
น้ำเต้าเมฆาโลหิต หนึ่งในของวิเศษที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามของโลกลอยน้ำ และสิ่งที่ทำให้คนเกลียดเข้ากระดูกรวมถึงต้องการครอบครอง จะสูญสิ้นไปเช่นนี้หรือ?
ผู้อาวุโสฉีอกแตกแล้ว
หลัวจิ่งฮ่าวอกแตกแล้ว
ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวอกแตกแล้ว
เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอใช้ศรเดียวทำลายอีกาอัคคี ใช้เสาระเบียงวังเทพบดขยี้กองทัพอัคคีโหมทำลายปีศาจเสร็จ พวกหลัวจิ่งฮ่าวก็อกแตกจนชินชา
คนที่ไม่เกี่ยวข้องยังเป็นเช่นนี้ กองทัพพันธมิตรสามสำนักที่เผชิญหน้ากับเยี่ยนจ้าวเกอโดยตรง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
บนใบหน้าของเจ้าสำนักอัสนีคำรนปรากฏสีหน้าคิดขัดขืน หลังจากลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่คิดออมพลังอีกต่อไป เขายกมือขึ้นโยนศิลาจารึกชิ้นหนึ่งออกไป
เขาอ้าปากพ่นเลือดของตัวเองใส่ศิลาจาลึก ทำให้มันพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง
ขณะที่สั่นสะเทือน ศิลาจารึกก็แตกร้าวจากตรงกลาง
หลังจากแตกร้าวแล้ว สายฟ้าอันบ้าคลั่งนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากด้านใน ก่อให้เกิดการระเบิดติดต่อกันกลางท้องฟ้า!
ท่ามกลางแสงสายฟ้า ไข่มุกสีม่วงขนาดเท่าไข่ไก่ปรากฏขึ้นมา สั่นสะเทือนบริเวณรอบๆ ไปด้วย!
“เป็นเจ้าที่บังคับข้า!” ท่ามกลางเสียงคำรามของเจ้าสำนักอัสนีคำรน เขาพ่นเลือดออกมาใส่ไข่มุกสีม่วงอีกครั้ง
ลมปราณสายฟ้าไร้สิ้นสุดที่แฝงอยู่ในไข่มุกสีม่วงพลันคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม และกำลังจะระเบิดออกมา
เจ้าสำนักอัสนีคำรนพลันถอยทันที!
เนื่องจากเขาเองก็ไม่อาจควบคุมพลังของของสิ่งนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากใช้มัน ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายกลับบีบบังคับจนต้องเสี่ยงชีวิต
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นแล้ว กลับหัวเราะเสียงดังขึ้น
“น่ายินดี น่ายินดี ข้าขอขอบคุณท่าน!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ตาขวาของเยี่ยนจ้าวเกอมีแสงสายฟ้าสีม่วงส่างไสว ไข่มุกสีม่วงที่ใหญ่กว่าปรากฏขึ้นจากตาขวาของเยี่ยนจ้าวเกอ
ต่อจากนั้น ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเจ้าสำนักอัสนีคำรน และคนอื่นๆ ไข่มุกสีม่วงที่พุ่งออกมาจากในศิลาจารึกลอยเข้าไปหาเศษดวงตาราชันสายฟ้าของเยี่ยนจ้าวเกอ ด้วยท่วงท่าที่เหมือนบุตรกลับสู่อ้อมอกของบิดามารดาก็ไม่ปาน!
ไข่มุกสีม่วงหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่รวมตัวกัน กลายเป็นไข่มุกที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม จากนั้นก็หมุนกลับเข้าไปในตาขวาของเยี่ยนจ้าวเกอ
ร่างของเจ้าสำนักอัสนีคำรนเอียงกะเท่เร่อยู่กลางอากาศ แทบจะพุ่งตกลงไปที่พื้น