ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 491 ดีดลูกคิดเองดังกว่า[1]
ค่ายกลไท่อี่ถล่มทลายทำงานถึงขีดสุด ขยายความความน่าอัศจรรย์ระหว่าง ‘การเคลื่อนไหว’ และ ‘ความสงบ’ เปลี่ยนการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วให้กลายเป็นความสงบสุดขีด
ภายใต้ความสงบสุดขีด ราชันปีศาจอัคคีจำนวนมากที่มีพลังของโลกปีศาจอัคคีคอยสนับสนุนก็ค่อยๆ สูญเสียพละกำลังไป
นอกจากนี้แล้ว การอาศัยค่ายกลไท่อี่ถล่มทลายทำให้พลังอันมหาศาลของฟ้าดินเคลื่อนไหว พลังอันแข็งแกร่งไหลกลับไปยังโลกปีศาจอัคคี ก่อให้เกิดการโต้กลับที่ไม่เคยมีมาก่อนจากจอมยุทธ์เผ่ามนุษย์
สงครามนี้ประสบความสำเร็จแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำลายโลกปีศาจอัคคีได้ แต่ก็ลดทอนพลังเปลวไฟและกลิ่นอายทำลายล้างที่อยู่ด้านในได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปีศาจอัคคีก็ไม่อาจสร้างภัยพิบัติได้อีก
ทว่านี่จำเป็นต้องให้ค่ายกลไท่อี่ถล่มทลายคงอยู่ที่ประตูทางเชื่อมเขตแดงสักพักหนึ่ง เพื่อก่อให้เกิดผลการสะกดที่แข็งแกร่ง
พวกเยี่ยนตี๋ที่ใช้ค่ายกลเท่ากับถูกผนึกไว้ชั่วคราว ต้องผ่านวันคืนอันยาวนาน มิอาจปลีกตัวได้
เทียบกับผลลัพธ์นี้แล้ว วิธีการนี้ส่งผลเสียหายต่อโลกแปดพิภพน้อยที่สุด
ถึงแม้ว่าพวกเยี่ยนตี๋จะถูกผนึกเอาไว้ชั่วคราว แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการใช้มีดค่อยๆ สังหารยอดฝีมือเผ่าปีศาจอัคคี ทำให้พวกมันไม่อาจต่อสู้ และลดอันตรายลงมาก
จอมยุทธ์เผ่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตฆ่าศัตรู เหมือนพวกผู้สะเทือนสวรรค์จ่านตงเก๋อในอดีต
แต่ว่าในตอนนี้เอง ในมือของหวงกวงเลี่ยพลันปรากฏตะเกียงสีทองใบหนึ่ง
พวกเยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้น ต่างก็มองไปไม่อาจละสายตา
พลังฝึกปรือของเยี่ยนตี๋ ผู้อาวุโสม่อ และซ่งอู่เลี่ยงล้วนไม่ธรรมดา เยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้กว้างขวาง ยังรู้สึกได้ว่าในตะเกียงสีทองใบนั้นคล้ายกับแฝงจิตพลังอันมีเอกลักษณ์และน่าอัศจรรย์เอาไว้
หวงกวงเลี่ยประคองตะเกียงสีทองขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่มันจะเปิดออก ครอบคลุมร่างของหวงกวงเลี่ยเอาไว้
เขาประกบฝ่ามือ เหนือศีรษะมีแสงพุ่งขึ้นท้องฟ้า ทะลุก้อนเมฆ
ไฟในตะเกียงไฟสีทองขยับขึ้นลง อยู่ในท่ามกลางลำแสงวิญญาณ แสงที่เชื่อมไปยังท้องฟ้านั้นเป็นเอกเทศ ทำลายที่ว่าง เชื่อมไปยังสถานที่อื่น
นั่นมิใช่ที่ว่างถูกทำลาย แต่คล้ายกับลอยไปยังโลกที่มีระดับสูงกว่าใบหนึ่ง
ขณะมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ม่านตาของเยี่ยนจ้าวเกอพลันหดตัวลง เพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเหมือนภาพวังเทพที่ยังไม่ถูกทำลาย ตั้งสูงออยู่บนสวรรค์ก่อนมหาภัยพิบัติ
ในตอนนั้น สำหรับสรรพสัตว์ในจักรวาล โลกที่วังเทพอยู่เหมือนกับตั้งอยู่บนท้องฟ้า สูงจนมิอาจปีนป่าย
บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอมองสถานที่ที่แสงเหนือศีรษะของหวงกวงเลี่ยเชื่อมต่ออยู่ ในใจเกิดความรู้สึกผิดปกติมากมาย
เขาตั้งสติมั่น ตระหนักขึ้นมาว่า ‘หรือที่นั่นจะเป็นโลกซ้อนโลก?’
หรือว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับหวงกวงเลี่ยจะมีวิธีไปโลกซ้อนโลก?
เยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจสัมผัสดู แล้วตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้ง
แสงนั้นเปิดไปยังสถานที่อันเป็นปริศนาซึ่งอยู่บนท้องฟ้า แต่ไม่ใช่ทางเชื่อมที่ไปยังโลกซ้อนโลกได้ เหมือนกับนำทางพลังอันลี้ลับจากด้านในมากกว่า
ทุกคนเงยหน้าไปมองดูอย่างละเอียด เห็นจุดตัดระหว่างดินแดนลี้ลับแห่งนั้นกับโลกแปดพิภพ ก่อนจะมีเงาคนปรากฏขึ้นเลือนราง
ร่างกายของคนผู้นั้นถูกครอบคลุมอยู่ในประกายแสง คล้ายกับกำลังนั่งสมาธิอยู่ และประกายแสงก็ทำให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงไม่ชัดเจน
หวงกวงเลี่ยยื่นนิ้วออกมาจิ้มใส่กลางหน้าผากของตัวเอง อีกนิ้วหนึ่งจิ้มใส่พวกเยี่ยนตี๋สามคน
ร่างของเขาค่อยๆ หายไปจากกลางค่ายกลไท่อี่ถล่มทลาย หลุดจากผลกระทบของค่ายกล
สิ่งที่ถูกใช้แทนที่ตำแหน่งที่หวงกวงเลี่ยอยู่ก่อนหน้า ก็คือร่างมายาสีทองซึ่งมีใบหน้าเหมือนหวงกวงเลี่ยร่างหนึ่ง
ร่างมายาสีทองนี้ประคับประคองค่ายกลไท่อี่ถล่มทลายแทนหวงกวงเลี่ย บนร่างพลันมีโซ่สีทองหลายเส้นลอยออกมา
โซ่สีทองเหล่านี้ยืดเข้าไปด้านในโลกแสงสีขาวที่เกิดขึ้นจากค่ายกล พันเกี่ยวกับโซ่แสงสีขาวหลายเส้นไว้ด้วยกัน
หลังจากหวงกวงเลี่ยขับเคลื่อยความคิด โซ่สีทองก็เริ่มหดตัว ถึงกับเหนี่ยวนำให้โลกแสงสีขาวหดตัวเข้าไปด้านใน แสงสีขาวสั่นไหวราวกับกำลังถล่ม
ค่ายกลไท่อี่ถล่มทลายยังคงทำงาน แต่ว่าโลกแสงสีขาวกลับพังทลายลงโดยสิ้นเชิง
พลังงานเริ่มรวมตัวกันในระดับสูง ก่อนจะกดอัดใส่เยี่ยนตี๋ ผู้อาวุโสม่อ ซ่งอู๋เลี่ยง ไปจนถึงร่างแสงสีทองนั้น
ค่ายกลกำลังปะทะครั้งสุดท้ายกับปีศาจอัคคีเบื้องล่าง พลังของทุกคนถูกตรึงเอาไว้ ไม่อาจควบคุมการเปลี่ยนแปลงด้านในค่ายกลไท่อี่ถล่มทลายได้
ผู้อาวุโสม่อขมวดคิ้ว “จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนคิดจะทำอะไร ศัตรูภายนอกอยู่เบื้องหน้า สมควรเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ลงเรือลำเดียวกันถึงจะถูก ปีศาจอัคคียังไม่ทันถูกกำจัด ก็หันคมดาบมาหาพวกเราทันที ไม่คิดเร็วเกินไปหรือ? ทำตัวให้ปีศาจอัคคีหัวเราะเยาะเสียเปล่าๆ”
ซ่งอู๋เลี่ยงทางหนึ่งกระตุ้นกระบี่สัตยาทะเลมรกต ทางหนึ่งแค่นหัวเราะกล่าวว่า “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ นิสัยของพวกเจ้ายังเปลี่ยนยากกว่าการเปลี่ยนแปลงแม่น้ำภูเขา ต่ำช้าเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร!”
หวงกวงเลี่ยทำเป็นไม่สนใจความโกรธของซ่งอู๋เลี่ยง เพียงมองผู้อาวุโสม่อ กล่าวอย่างเชื่องช้า “ผู้อาวุโสม่อไม่จำเป็นต้องกังวล การทำงานของค่ายกลยังคงสะกดและสังหารปีศาจอัคคี ทั้งหมดยังดำเนินตามแผนก่อนหน้า ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ ข้าไม่อยู่เป็นเพื่อนพวกท่านสามคนเท่านั้น”
“ทั้งสามท่านอย่าได้คิดวางมือจะดีกว่า พวกท่านแยกย้ายกันเมื่อไหร่ ค่ายกลในตอนนี้จะม้วนกลับด้าน พังทลายลงทันที พลังของทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว พวกท่านไม่มีทางปลีกตัวออกมามาได้ ได้แต่มุ่งไปด้านหน้า”
ซ่งอู๋เลี่ยงเดือดดาลยิ่ง “อย่างมากก็แค่ตาย แต่ข้าจะขอดูว่าถ้าไม่มีพวกเรา เจ้าเฒ่าหวงจะยังต้านทานราชันปีศาจอัคคีพวกนี้ได้หรือไม่?”
“เจ้ากล้าทำ คิดว่าพวกเราไม่กล้าบ้างหรือ?”
ในที่สุดหวงกวงเลี่ยก็มองซ่งอู๋เลี่ยง เอ่ยอย่างราบเรียบ “ท่านจะมีความคิดเช่นนี้ก็ถือว่าปกติ แต่ว่าไม่มีประโยชน์”
“มีหลายเรื่องที่พวกท่านไม่เข้าใจ ขณะเผชิญหน้ากับปีศาจอัคคี หรือนพยมโลกนั้น สถานการณ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกับพวกท่าน”
หวงกวงเลี่ยกล่าวอย่างเฉยชา “สำหรับพวกท่าน นพยมโลกกับปีศาจอัคคีเป็นภัยพิบัติ แต่สำหรับสำนักพวกเรา กลับเป็นบททดสอบ”
“หากไม่ผ่านบททดสอบ ย่อมส่งผลเสีย เกิดผลร้ายมากมาย แต่สุดท้ายจะไม่มีการคุกคามเป็นตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจะไม่กล้าเสี่ยงเล่า?”
“สถานการณ์แตกต่าง มุมมองในการมองปัญหาย่อมแตกต่าง สำหรับข้าแล้ว การรุกรานของนพยมโลกหรือปีศาจอัคคีเป็นโอกาสมากกว่าวิกฤติ เมื่อโอกาสมาแล้ว ย่อมต้องคว้าไว้”
“อย่างเช่นตอนนี้”
เขาแบสองมือ แสงสีแดงมากมายเบ่งบานออก คล้ายกับดวงอาทิตยขึ้นทางทิศบูรพา ครอบคลุมเหนือศีรษะซ่งอู๋เลี่ยง
“ยิ่งไปกว่านั้น ที่ข้ายังคงเฝ้าอยู่ที่นี่ พวกท่านคิดว่าเพราะอะไรเล่า? ย่อมเป็นเพราะต้องตรวจดูการสู้รบ ถ้าหากพวกท่านคิดจะถอนตัวกลางคัน ข้าจะไล่พวกท่านกลับไปใหม่ ให้ตั้งใจรับมือกับปีศาจอัคคีต่อ”
“ถึงแม้จะมิใช่ภัยพิบัติเป็นตาย แต่ถ้าหากให้ปีศาจอัคคีก่อความวุ่นวายมากเกินไป ข้าย่อมเสียหน้า และสถานการณ์จะเลวร้ายลง”
ผู้อาวุโสม่อขมวดคิ้วอย่างเงียบงัน ส่วนใบหน้าของซ่งอู๋เลี่ยงกลายเป็นสีเขียวคล้ำ
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋สองพ่อลูกเงยหน้ามองแสงที่คล้ายติดต่อกับดินแดนแห่งอื่นสายนั้น
“สามารถนำทางจิตพลังที่โดดเด่นมายังโลกแปดพิภพ เมื่อมีภาระก็ย่อมมีการรับช่วง นี่คือความหมายที่มีผู้หนุนหลังอยู่ที่โลกซ้อนโลกกระมัง” เยี่ยนจ้าวเกอมองร่างคนที่คล้ายกับอยู่ระหว่างสองโลกร่างนั้น ในใจค่อยๆ เข้าใจ “ที่แท้เกิดเรื่องเช่นนี้กับอาจารย์ปู่อาทิตย์ม่วงของสำนักท่านหรอกหรือ?”
“ติดอยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ขั้นที่สาม ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่อาจไปยังโลกซ้อนโลก แต่กลับติดต่อกับโลกซ้อนโลกโดยไม่รู้ตัว ตนเองกลายเป็นสะพาน ไม่สิ บอกว่าเป็นกระบอกส่งเสียงอาจจะเหมาะกว่า”
ชายหนุ่มมองหวงกวงเลี่ย “เพียงแต่ว่า การเชื่อมต่อระหว่างพวกท่านกับอีกฝ่ายคล้ายกับยังไม่แข็งแกร่งพอ เหอะๆ อีกฝ่ายกำลังประเมินค่าพวกเจ้าอยู่หรือ? ต้องการให้พวกท่านพิสูจน์ตัวเอง โดยการควบคุมแปดพิภพทั้งหมด หรือทำให้ความวุ่นวายจากนพยมโลกหรือปีศาจอัคคีสงบโดยไม่เลือกวิธีการกัน?”
……………………………………….
[1] ดีดลูกคิดเองดังกว่า สุภาษิตจีน หมายถึง คิดว่าวิธีการของตัวเองดีที่สุด