ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 504 เรื่องราวในตอนนั้น
หลังจากสังหารพวกฟางจ้าวหงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ‘สำนักปราชญ์ปีศาจ? น่าประหลาดนัก…’
รูปสลักหินถูกเก็บแล้ว หลังจากพบว่าในมิติต่างแดนไม่มีของวิเศษอย่างอื่นอีก เยี่ยนจ้าวเกอก็เก็บอาวุธของพวกฟางจ้าวหง แล้วออกจากมิติต่างแดนอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เมื่อมาถึงบนมหาสมุทรด้านนอก ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ครั้นเงยหน้ามองไป เขาถึงรู้สึกว่าข่ายอาคมของน่านน้ำแห่งนี้กำลังค่อยๆ สลาย
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเล็กน้อย ‘แหล่งพลังงานที่สร้างข่ายอาคมแห่งนี้ และรักษามันให้คงสภาพมาโดยตลอด ก็คือรูปสลักหินรูปนั่นเอง’
ที่ประตูมิติต่างแดนไม่มีจอมยุทธ์เกาะจิตประสานคนอื่นอีก
ชายหนุ่มมั่นใจว่า นอกจากพวกหยางฉู่ฟานที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมีฟางจ้าวหงเป็นหัวโจกนั้น จอมยุทธ์เกาะจิตประสานที่มีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำที่เหลือดูเหมือนจะออกไปก่อนแล้ว
หมายความว่า อีกฝ่ายคิดจะรุมโจมตีตนตั้งแต่ต้น
การฝึกฝนของลูกศิษย์รุ่นหลังถูกยกเลิก เพื่อไม่ให้โดนลูกหลง จึงต้องออกไปก่อน
เมื่อไม่ทิ้งพวกเขาไว้คอยสนับสนุนที่นี่ เช่นนั้นก็สมควรไปติดต่อกับยอดฝีมือเกาะจิตประสานคนอื่น
คนของสำนักตาข่ายปีศาจถูกตนฆ่าหมดสิ้น ไม่มีเบาะแสะหลุดรอดออกไป เมื่อทางด้านเกาะจิตประสานติดต่อพวกฟางจ้าวหงไม่ได้ ก็น่าจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่า ธรรมมะกับมารจะไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกัน แต่พวกเขาก็อาจจะปล่อยข่าวให้สำนักตาข่ายปีศาจรู้
คนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เมื่อเคลื่อนไหวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกหน้าเช่นนี้ ย่อมจำเป็นต้องระวังตัวอย่างเต็มที่ หลังจากฆ่าคนของสำนักตาข่ายปีศาจไปแล้ว แน่นอนว่าต้องมีข่าวแพร่งพรายออกไป แต่ว่าเรื่องฆ่าปิดปากโดยไม่มีเหตุผล เยี่ยนจ้าวเกอยังยากจะทำได้ลง
ทว่าพวกฟางจ้าวหงและหยางฉู่ฟานคิดสร้างความลำบากให้ตนเอง เช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่กังวลในการส่งพวกเขาลงนรกแม้แต่น้อย
ส่วนผลร้ายที่จะตามมา…
เขาคิดถึงถุงย่อส่วนที่บรรจุรูปสลักหิน คล้ายมีความคิดใด ‘เหอะ ขอสิ่งนี้น่าสนใจจริง…
‘ข้าพอทราบสถานการณ์ทั้งหมดของโลกผืนสมุทรในปัจจุบันแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจในรายละเอียดต่างๆ’
ทะเลรางเลือนเป็นดินแดนอันตรายแห่งหนึ่งบนโลกผืนสมุทร มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับบึงทะเลมายาของโลกแปดพิภพ
ความแตกต่างอยู่ที่ถึงแม้ชื่อบึงทะเลมายาจะมีคำว่า ‘ทะเล’ อยู่ด้วย แต่ความจริงแล้วเป็นบึงบนทวีป ส่วนทะเลรางเลือนเป็นน่านน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล ด้านในมีโลกมายา ยากจะจำแนกทิศทาง ทำให้คนหลงอยู่ด้านในได้โดยง่าย
แต่ในทะเลรางเลือนยังมีของล้ำค่าหลากหลายชนิด ที่ดึงดูดให้จอมยุทธ์โลกผืนน้ำที่อยู่ด้านหน้าเข้าไปหา
เยี่ยนจ้าวเกอพบเจอนักเดินทางและจอมยุทธ์อยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง ทั้งยังถามทางพวกเขาทุกครั้ง
เขาอ้อมไปอ้อมมาอยู่ด้านในหลายรอบ สุดท้ายก็ออกจากทะเลรางเลือนได้
ในช่วงนี้เอง ถึงแม้อาการบาดเจ็บของฟู่เอินซูจะไม่ได้รับการรักษา แต่ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
หลังจากอธิบายเหตุผลที่คนทั้งสองมาถึงที่นี่ รวมถึงเล่าสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเสร็จ เยี่ยนจ้าวเกอก็ถามคำถามที่ค้างคาใจมาโดยตลอด “อาจารย์ป้าฟู่ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือขอรับ สถานการณ์ของพวกศิษย์น้องเฟิงเป็นอย่างไร”
อาการบาดเจ็บของฟู่เอินซูยังยังไม่ดีขึ้น แต่ก็เดินทางบนอากาศได้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องอยู่ในถุงย่อส่วนของเยี่ยนจ้าวเกอตลอดเวลา
“ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เหมิงเฟิง โจมตีพวกเรา ข้า อวิ๋นเซิง และหลิวหัวพลัดลงกัน” ฟู่เอินซูนึกย้อนไปแล้วก็รู้สึกคับแค้นอยู่บ้าง “ตอนที่กำลังประมือกัน ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงถูกม้วนเข้าไปในคลื่นซึ่งเกิดจากค่ายกลไท่อีถล่มทลายผนึกปีศาจอัคคี ครั้นถูกคลื่นซัดใส่ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
เหมิงเฟิงเป็นผู้อาวุโสสำนักของสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอายุเท่าหวงกวงเลี่ยและพานป๋อไท่ ทั้งยังเป็นโพ่จ้าวจวิน ซึ่งอยู่ในเจ็ดสุริยันรุ่นแรก
หลังจากเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมแล้ว เมิ่งเฟิงก็เข้าฌานแอบฝึกฝนฝีมือในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับภาระหน้าที่ในสำนักอีก ส่งต่อชื่อโพ่เสี่ยวจวินให้กับผู้อื่น
เขาไม่ได้โอ้อวดเหมือนพานป๋อไท่ ปกติถ้าไม่ได้เข้าฌานฝึกฝนที่ยอดเขาเรืองรองของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็จะอยู่ที่วังสุสานทะเลเพลิงที่ทุ่งร้างแดนใต้ ไม่ออกมาด้านนอกง่ายๆ
ครั้งนี้ทะเลตะวันออกกับปฐพีพิภพเกิดการเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน เขาออกจากสำนักอย่างกะทันหัน กลับไม่มีผู้ใดสงสัย
แต่ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์วางแผนร้ายไว้ การจู่โจมในครั้งนี้ทำให้ฟู่เอินซูเสียท่า
ถึงแม้ว่าฟู่เอินซูจะเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นที่เก้า ขั้นรูปญาณระยะท้ายแล้ว ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเหมิงเฟิงที่อยู่ในขั้นบรรลุธรรม นางก็ยังคงสู้ไม่ได้
แต่ว่าฟู่เอินซูมีนิสัยเด็ดขาด ตัดสินใจตกตายร่วมกัน ลากเหมิงเฟิงให้ถูกคลื่นทำลายล้างฟ้าดินนั่นกลืนกินด้วยกัน
ระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่ ขั้นบรรลุธรรมย่อมเป็นราชา สุดท้ายฟู่เอินซูได้รับการช่วยเหลือจากเยี่ยนจ้าวเกอ ส่วนเหมิงเฟิงถูกพลังอันน่ากลัวนั้นฉีกกระชาก
ยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมระยะท้ายตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ทำให้ผู้คนจนปัญญาจริงๆ
เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว “นอกจากเหมิงเฟิงแล้ว ยังมีคนจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นอีกหรือไม่ขอรับ พวกศิษย์น้องเฟิงจะถูกม้วนเข้าไปในคลั่งที่เกิดจากพลังผนึกหรือไม่?”
ในตอนนี้ฟู่เอินซูก็รู้สึกวิตกกังวลเช่นกัน “ข้ายืนยันสถานการณ์ของอวิ๋นเซิงและหลิวหัวไม่ได้ ตามเหตุผลแล้ว สถานที่ที่ข้าพลัดหลงกับพวกนางห่างจากขอบคลื่นระยะหนึ่ง ถ้าหากพวกนางถอยออกไปด้านนอกได้ทัน ก็น่าจะไม่ถูกม้วนเข้าไปด้วย”
ชายหนุ่มเงียบัน ก่อนจะระบายลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มุ่งหน้าไปหาพวกศิษย์น้องเฟิง”
ฟู่เอินซูพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงเสี่ยงชีวิตถ่วงเวลาเหมิงเฟิง”
“อาจารย์ป้าฟู่ พวกท่านกับเหมิงเฟิงเจอกันโดยบังเอิญหรือ ถ้าไม่ได้เจอกันโดยบังเอิญ แล้วคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์สัมผัสถึงร่องรอยของพวกท่าน และปิดล้อมตำแหน่งของท่านได้อย่างไร” เยี่ยนจ้าวเกอถาม
“พวกข้าส่งมาตรสุริยันวัดสวรรค์เข้าไปในนพยมโลก หวงกวงเลี่ยอยู่ในค่ายกลไท่อี่ถล่มทลาย ถึงเหมิงเฟิงจะเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม แต่นอกเสียจากว่าจะอยู่ใกล้สักระยะหนึ่ง ไม่เช่นนั้นไม่น่าจะพบพวกท่านถึงจะถูก”
เขานวดขมับของตัวเอง “ในตอนนั้นเนื่องจากการผนึกของค่ายกลไท่อี่ถล่มทลาย ทำให้ปราณวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ พังทลายลงทั้งหมด ฟ้าดินปั่นป่วน ต่อให้จะอยู่ใกล้กันมาก ก็เกรงว่าเหมิงเฟิงจะหาพวกท่านไม่พบ”
“ต่อให้หาพบ เขาจะรู้ว่าเป็นพวกท่าน มิใช่คนอื่นได้อย่างไร?”
เยี่ยนจ้าวเกอมองฟู่เอินซู “หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย อีกฝ่ายไม่น่าจะว่าสตรีแห่งจันมราสองคนของสำนักเรามาที่ทะเลตะวันออก การดำรงอยู่ของศิษย์น้องอิ่นสมควรเป็นความลับ เป็นศิษย์น้องเฟิงเผยร่องรอยหรือขอรับ”
ฟู่เอินซูถอนใจเฮือกหนึ่ง “หลิวหัวเจอคนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ถึงสถานะสตรีแห่งจันทราของนาง”
“แล้วต่อจากนั้น…” นางส่ายหน้าเบาๆ “ฟ้าดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เกิดการต่อสู้กับปีศาจอัคคี หลิวหัวพลัดหลงกับข้าและอวิ๋นเซิง มีจอมยุทธ์พเนจรคนหนึ่งช่วยนางไว้ได้ และนางหาข้ากับอวิ๋นเซิงเจอเพราะการช่วยเหลือของจอมยุทธ์พเนจรผู้นั้น”
“เพื่อรักษาเป็นความลับ ข้าคิดจะปิดปากจอมยุทธ์พเนจรผู้นั้น แต่สภาพแวดล้อมในตอนนั้นปั่นป่วนยิ่ง ทั้งยังมีปีศาจอัคคีโจมตีอยู่ด้านข้าง สุดท้ายคนผู้นั้นจึงหนีไปได้”
“ต่อมาอีกสักพัก คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึง เกิดการต่อสู้กัน ข้า อวิ๋นเซิง และหลิวหัวพลัดหลงกันตามลำดับ”
ดวงตาของฟู่เอินซูเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ตอนนี้นึกย้อนดู ปัญหาเกรงว่าจะอยู่ที่จอมยุทธ์พเนจรผู้นั้น!”
เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้าเล็กน้อย “หลายปีมานี้สำนักเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ กลับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง จอมยุทธ์พเนจรผู้นั้นมิได้ถูกซื้อตัวชั่วคราว แต่เป็นสายลับของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ต้นแล้ว”
“ศิษย์น้องอิ่นมีประสบการณ์ตื้่นเขิน แต่จะโทษนางทั้งหมดไม่ได้”
ฟู่เอินซูมีสีหน้าเป็นทุกข์เล็กน้อย “ตอนนี้ข้าห่วงแต่ว่า ตอนนั้นนอกจากเหมิงเฟิงแล้ว ใกล้ๆ ยังมีจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนอื่นสร้างความลำบากให้กับอวิ๋นเซิงและหลิวหัวด้วย”
ชายหนุ่มพลันหลับตา ในห้วงสมองปรากฏรอยยิ้มอันแจ่มชัดของเฟิงอวิ๋นเซิง