ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 606 กลับมาแก้แค้นอย่างองอาจ? ศีรษะแหลกไปเสียเถอะ!
คนที่เดินออกมาจากส่วนลึกของวังฝูงมังกรย่อมเป็นเยี่ยนตี๋
เขาหายใจครั้งหนึ่ง ลมปราณสีม่วงมากมายที่ครอบคลุมเขากว่างเฉิงสลายไปทั้งหมด
เยี่ยนจ้าวเกอมองเยี่ยนตี๋ รู้สึกแต่เพียงว่าขณะที่จุดลมปราณทั่วร่างของบิดาเปิดออก พลังงานอันยิ่งใหญ่กับปราณดาบอันดุดันก็มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ทุกครั้งที่ก้าวเท้าคล้ายกับโลกแปดพิภพสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“โชคดีที่มีของที่ได้มาจากสงครามผนึกปีศาจอัคคี กับปราณมังกรที่มีอยู่เต็มวังฝูงมังกรนี้” เยี่ยนตี๋กล่าว
เขาลืมตาขึ้น ปรากฏประกายสีม่วงเลือนราง อีกทั้งยังมีเงามังกรลอยอยู่หลายตัว
ในลมปราณทั่วทั้งร่างคล้ายกับมีมังกรแสงนับไม่ถ้วนบินวนเวียน
เยี่ยนตี๋เดินมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ “การเลื่อนจากระดับบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ กับการเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองในครั้งนี้ ถึงแม้จะสำเร็จแล้ว แต่ก็เร็วเกินไป ย่างก้าวต่อจากนี้จำเป็นต้องใจเย็นๆ”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าการฝึกปรือของท่านก็เหมือนกับสภาวะดาบวรยุทธ์ของท่านเอง แสวงหาความก้าวหน้าอย่างแน่วแน่ ไร้สิ่งใดกีดขวาง อีกทั้งยังดุดัน แต่ก็ลื่นไหล หากต้องหยุดฝีเท้าตั้งมั่น อาจจะเกิดผลร้าย”
ผู้เป็นบิดาส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น ดังนั้นจำเป็นต้องหยุดลับดาบ ทว่าก็เป็นตามที่เจ้าพูด หลังจากไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะไม่มีเวลาหยุดเดินอีก”
“ข้ารู้ว่าที่ท่านออกฌานมาในครั้งนี้ เพราะต้องการหลอมสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้จำเป็นต้องให้ท่านผ่อนฝีเท้าก่อนจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอหุบยิ้ม
เยี่ยนตี๋สายตากลายเป็นเคร่งขรึม “อ้อ มีปัญหาหรือ?”
“ไม่ผิด ศิษย์ร่วมสำนักที่อยู่ในอัคคีพิภพส่งข่าวมาว่า เกิดความผิดปกติขึ้นที่ซากของยอดเขาเรืองรองมาสักพักแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอเล่า “ถ้าหากช่วงนี้ท่านไม่ออกฌาน ข้าเตรียมตัวจะไปก่อน ดีที่ท่านออกฌานเร็วกว่าหนึ่งก้าว”
“ก่อนหน้านี้คนของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขอให้คนจากสำนักแสงสว่างลงมา สถานที่ก็คือยอดเขาเรืองรอง” เยี่ยนตี๋ใคร่ครวญ
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ถูกต้อง ปัจจุบันถึงแม้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะถูกกวาดล้าง ยอดเขาเรืองรองถูกทำลาย แต่คนของสำนักแสงสว่างยังคงมีวิธีตามหาแปดพิภพ”
“เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ ดังนั้นตำแหน่งที่พวกเขาจะลงมายังแปดพิภพอีกครั้งสมควรยังคงอยู่ที่บริเวณยอดยอดเขาเรืองรอง”
ชายหนุ่มกล่าว “พวกเราไปรอพวกเขาที่นั่นเถอะ”
สองพ่อลูกออกจากเขากว่างเฉิง มุ่งหน้าไปทางใต้ เข้าไปในอัคคีพิภพ
ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋มาถึง จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่คอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ก็ถอยไปทันที
ยอดเขาเรืองรองที่แสงสว่างสาดส่องทั้งวัน ในอดีตไม่แบ่งเป็นกลางวันกลางคืนใน ก่อนหน้านี้ได้ถูกร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกทำลายจนราบพณาสูร ไม่คงอยู่อีก
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋พุ่งลงไปบนพื้น สองพ่อลูกนั่งขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหากัน
เมื่อเงยหน้ามองไปเหนือฟากฟ้า กลับเห็นท้องฟ้ากำลังสั่นไหวอย่างต่อเนื่องได้อย่างชัดเจน เขตแดนของมิติดูเลือนรางขึ้นมา
ไม่ต้องเป็นจอมยุทธ์ ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็มองความผิดปกติออก
พวกเยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน นั่งขัดสมาธิตัวตรงอย่างสงบ จิตใจเหมือนกับน้ำนิ่ง ไม่มีคลื่นแม้แต่น้อย
สองพ่อลูกนั่งอยู่ตรงนั้น รอบๆ ร่างกายมีปราณพิสุทธิ์วนเวียน รวมตัวกันแล้วกระจาย กระจายแล้วรวมตัว เดี๋ยวเดี๋ยวลอยสูง เดี๋ยวจมต่ำอย่างอ่อนโยนและมีลำดับ
พวกเยี่ยนจ้าวเกอนั่งสมาธิฝึกฝนอยู่บนซากยอดเขาเรืองรองเช่นนี้
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน การสั่นไหวของท้องฟ้าเบื้องบนยิ่งชัดเจนขึ้น
หลังจากนั้นห้าวัน ในตอนเที่ยง เวลาที่แสงอาทิตย์บนท้องฟ้าร้อนแรงที่สุด เยี่ยนตี๋ที่นั่งหลับตาทำสมาธิมาโดยตลอดก็ได้ลืมตาขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้เช่นกัน จึงลืมตาเงยหน้าไปมองท้องฟ้า เห็นแสงอาทิตย์พลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในตอนนั้นเองท้องฟ้าคล้ายกับเปิดออก มีประกายแสงสาดออกมาจากด้านใน รวมกับแสงอาทิตย์ ทำให้แสบตาจนลืมตาไม่ขึ้น
กลิ่นอายของพลังอันยิ่งใหญ่ลอยออกมาจากในท้องฟ้าที่เปิดออกนั้น
แทบจะเป็นในชั่วพริบตา มิติของโลกแปดพิภพเริ่มสั่นไหว ลมพัดกระหน่ำ มวลเมฆรวมตัว เงาคนหลายสายปรากฏบนท้องฟ้าที่เปิดออก หลังจากแสงสว่างที่รุนแรงนั้น
แสงสว่างไร้สิ้นสุดขยายออกสี่ทิศแปดทาง ไม่เพียงแต่ยอดเขาเรืองรองที่อยู่ใกล้เท่านั้น ในวินาทีนี้อัคคีพิภพราวกับอาบอยู่ในแสงนี้เช่นกัน
แสงสว่างอันเรืองรองเหมือนกับพุ่งออกจากอัคคีพิภพ ส่องสว่างไปทั่วโลกที่กว้างใหญ่
“มาแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
ในวินาทีนี้ ฟ้าดินรอบๆ คนทั้งสองไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่พื้นดินของสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปกำลังแตกร้าวอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นร่องหนึ่ง จากนั้นก็แผ่ขยายออกออกไป เหมือนกับหุบเขายักษ์
อีกฝ่ายสังเกตเห็นพวกเยี่ยนจ้าวเกอแล้วเช่นกัน เสียงหนึ่งดังมาจากท้องฟ้า ยิ่งใหญ่เหลือคณา “เยี่ยนจ้าวเกอแห่งเขากว่างเฉิง?”
ถึงแม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับมั่นใจมาก
“ข้าคือเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ทราบใต้เท้ามีคำเรียกหาว่าอะไร?” เยี่ยนจ้าวเกอไม่ประหลาดใจ พวกเติ้งเซินจากสำนักแสงสว่างที่ลงมาก่อนหน้านี้ถึงแม้จะตายไปแล้ว กอปรกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ทว่าเมิ่งหวานกับถังหย่งฮ่าวที่รู้จักตนถูกพาไปยังโลกซ้อนโลก อีกฝ่ายย่อมทราบรูปร่างหน้าตาของตนจากพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เสียงอันยิ่งใหญ่นั้นกล่าวอย่างเชื่องช้า “ข้าคือจางเชา”
จางเชา จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วง
ชื่อนี้เคยโด่งดังในแปดพิภพอย่างยิ่งใหญ่มาก่อน
เจ้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในอดีต เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้ในที่สุดก็ก้าวครึ่งก้าวสุดท้ายสำเร็จ กลายเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ลอยขึ้นไปยังโลกซ้อนโลก
เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้ว่า มีสายตาสายหนึ่งคล้ายกวาดผ่านร่างของเขาไป เมื่อสายตาสายนั้นกดลงมา เลือดลมในร่างกายของเขาก็คล้ายกับลุกไหม้
สายตากวาดผ่านเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็ตกลงบนร่างเยี่ยนตี๋ “เยี่ยนตี๋แห่งเขากว่างเฉิง?”
เยี่ยนตี๋เอ่ยอย่างราบเรียบ “นับถือมานานแล้ว จางอาทิตย์ม่วง”
เสียงของจางเชาดังขึ้นอีกครั้ง “ที่เจ้าอยู่ที่นี่ก็หมายความว่า กวงเลี่ยคงประสบเคราะห์ร้ายแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “หวงกวงเลี่ย หวงซวี่ หวงเจี๋ย ตระกูลสามรุ่นถูกข้าสังหารหมดสิ้นแล้ว”
เสียงกลางท้องฟ้าชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ดังขึ้นอีก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ลงไปเป็นเพื่อนพวกเขาเถอะ”
แสงสว่างนับไม่ถ้วนส่องสว่างมากกว่าเดิม ในเงาคนกลุ่มนั้นมีเงาหนึ่งเคลื่อนไหวแล้ว
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่าบนฟากฟ้ามีดวงอาทิตย์เพิ่มอีกดวง อีกทั้งยังพุ่งลงมาหาตัวเอง!
โลกทั้งใบคล้ายกับลุกไหม้ กำลังจะถูกแสงอาทิตย์ที่มีแสงกับความร้อนไร้สิ้นสุดแฝงอยู่ชำระล้าง
แต่เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไม่หวั่นไหว ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย
ในขณะที่ดวงอาทิตย์พุ่งลงมา ประกายดาบอันบ้าคลั่งที่แข็งกร้าวถึงขีดสุดก็พุ่งขึ้นท้องฟ้า ฟันดวงอาทิตย์ที่พุ่งลงมาให้ดับลง!
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะอย่างไร้เสียง
บิดาของตนเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง ไม่ได้เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีพลังฝึกปรือเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของตนเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและหายาก โดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน
ทว่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง ถึงจะมีเกราะเหมันต์ทระนงและหอกมังกรมัจฉา สองอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ เมื่อเผชิญกับเยี่ยนตี๋ที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ได้แต่สู้เสมอ
และตอนนี้เยี่ยนตี๋ได้เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองแล้ว ต่อให้พวกเติ้งเซินฟื้นขึ้นมาแล้วจับมือกัน เกรงว่าจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้
เยี่ยนตี๋ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดในโลกแปดพิภพจะสู้เขาได้อีกแล้ว ต่อให้โลกซ้อนโลกส่งคนลงมา พลังฝึกปรือก็จะถูกกดไว้ต่ำกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ไม่อาจต้านทานสภาวะดาบอันน่ากลัวของเยี่ยนตี๋ได้
คิดรับมือเยี่ยนตี๋ ได้แต่ต้องให้ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามรุมโจมตี อีกทั้งจำนวนคนจะน้อยไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอเต็มไปด้วยความกังขาว่า ตราประทับตะวันถูกพลังแห่งเขตแดนกำจัดไว้ พลังที่ใช้ได้ในตอนนี้ยังไม่อาจฆ่าเยี่ยนตี๋ตายได้ในการโจมตีเดียว
จางเชาคิดว่าครั้งนี้ตนกลับมาบ้านเก่าอย่างองอาจเพื่อแก้แค้น สุดท้ายต้องชนใส่แผ่นเหล็กหัวแตก