ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 609 เชิญท่านส่งคนมา เชิญส่งมาต่อเลย
เยี่ยนจ้าวเกอเปิดจุดลมปราณทั่วร่าง จุดลมปราณทั้งหมดเหมือนกับเก็บกลุ่มปราณโกลาหลไว้อย่างไร้สิ้นสุด
ครั้นกลุ่มปราณแต่ละกลุ่มหมุนวน ปรากฎการณ์โกกลาหลหายไป ปราณมังกรจำนวนมหาศาลที่กักเก็บไว้ด้านในยังไม่ได้หลอมรวม พากันพรั่งพรูออกมา
นี่ไม่ใช่ลมปราณที่มาได้มาจากซากมังกรน้ำแข็งในที่อยู่เดิมของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง แต่มาจากการรวมตัวกันของปราณมังกรจำนวนมากในสุสานมังกร
ปราณมังกรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไหลเข้าไปในตราประทับตะวัน ทำให้พลังของตราประทับตะวันตื่นขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ตราประทับสีทองอันบ้าคลั่งเปล่งแสงเจิดจ้า ดวงอาทิตย์สาดแสงอย่างงดงามกลางท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดที่เกิดจากสุริยคราส
พลังแห่งการกัดกร่อนของดาวทมิฬราหู ถึงแม้ว่าจะกลืนกินดวงอาทิตย์ แต่ไม่ใช่การสะกดโดยสิ้นเชิง
ลมตะวันออกกดทับลมตะวันตก หรือลมตะวันตกกดทับลมตะวันออก ต้องดูว่าทางไหนแข็งแกร่งกว่า
น้ำดับไฟได้ แต่หากไฟแรงน้ำน้อย สุดท้ายไฟย่อมต้มน้ำเสียสิ้น
เสียงของหนงอวี่ซวนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ทุ้มต่ำเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พลังการกัดกร่อนในครั้งนี้ไม่เพียงพอจริงๆ…”
“ให้เจ้าได้ใจไปสักพักก่อน”
น้ำเสียงของเขาเลือนราง บาดแผลแห่งกำแพงสวสรรค์ค่อยๆ สมานตัว
เงาร่างของพวกจางเชาปรากฏที่นั่น กลิ่นอายแข็งแกร่งกว่าตอนอยู่บนแปดพิภพเมื่อครู่
แต่เพราะเหตุนี้ จิตใจของพวกเขาจึงคับข้องกว่าเดิม
จางเชามองเยี่ยนจ้าวเกอสลับกับเยี่ยนตี๋ แล้วมองยอดยอดเขาเรืองรองที่รกร้าง ถูกทำลายราบพณาสูรเบื้องล่างพวกเขา ดวงตาถมึงทึงยิ่งกว่าเดิม
เยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋เงยหน้ามองบนฟากฟ้า สบตากับอีกฝ่ายตรงๆ
เสียงของหนงอวี่ซวนดังมา “เขากว่างเฉิง เยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอ พวกเราไว้เจอกันอีกวันหน้า อีกไม่นานนักหรอก”
“ท่านส่งคนมาเถอะ” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ท่านส่งคนมาเลย ขอให้ส่งมาบ่อยๆ ด้วย”
บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์สมานตัว มิติเหนือซากยอดเขาเรืองรองปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณในสถานที่แห่งนี้พังทลายแทบหมดสิ้น จำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการฟื้นฟู
ฟ้าดินยังคงปั่นป่วนเหมือนกับมวลเมฆอีกสักพักหนึ่ง
ประกายแสงของตราประทับตะวันมืดสลัวลงไปอีกครั้ง กลายเป็นตราประทับธรรมดา เยี่ยนจ้าวเกอเก็บมันกลับมา
เยี่ยนตี๋มาถึงด้านข้างเขา ถามว่า “จำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งปีขึ้นไปถึงจะใช้ได้อีกครั้งใช้หรือไม่?”
เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่เล็กน้อย “เป็นเรื่องจนปัญญา เดิมทีก็เป็นของวิเศษที่ข้าในตอนนี้ไม่มีทางใช้ได้อยู่แล้ว ที่ใช้ได้นี่นับว่าแปลกนัก ไม่เช่นนั้นสำนักแสงสว่างคงไม่มาพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถที่แปดพิภพ”
ผู้เป็นบิดาพูดพลางใคร่ครวญ “ตามปกติแล้ว ถ้าหากรอถึงเวลาที่ตราประทับตะวันจะใช้ได้อีกครั้ง เจ้าคิดหาวิธีไปยังโลกซ้อนโลกจะปลอดภัยกว่า แต่ว่าตามคำพูดของผู้อาวุโสม่อ การไหลของเวลาในโลกซ้อนโลกเร็วกว่าแปดพิภพนัก ต่อให้พวกเราเตรียมตัวพร้อม อีกฝ่ายจะเตรียมตัวพร้อมยิ่งกว่า”
“ต่อให้การไหลของเวลาจะเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจรอได้ ข้าจำเป็นต้องรีบขึ้นไปก่อน” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว
เยี่ยนตี๋รู้สึกหวั่นใจ คล้ายนึกอะไรบางอย่างได้ “เกี่ยวกับพลังที่สำนักแสงสว่างใช้สะกดตราประทับตะวันหรือ?”
บุตรชายพยักหน้า “ไม่ผิด ถ้าหากข้ามองไม่ผิด นั่นสมควรเป็นพลังของดาวทมิฬราหู”
“ดาวทมิฬราหู เป็นดาวตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ กดข่มซึ่งกันและกัน ตราประทับตะวันเป็นของวิเศษที่ทราบกันดีว่าแข็งแกร่งที่สุดและแสดงพลังของดวงอาทิตย์ แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่งที่แสดงถึงพลังแห่งราหู ก็อาจจะใช้รับมือตราประทับตะวันในมือพวกเราได้”
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา “ของวิเศษดาวทมิฬเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอยู่ อีกทั้งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะอยู่บนโลกซ้อนโลก
“ข้ารู้สึกได้ว่า ควันมารแสงทมิฬที่หนงอวี่ซวนนั่นปล่อยออกมาเมื่อครู่ไม่ได้มาจากวรยุทธ์ แต่เขาได้รับกลิ่นอายพลังสายหนึ่งจากของวิเศษชิ้นนั้น ถึงแม้ว่าในการปะทะกับตราประทับตะวันเมื่อครู่จะถูกลดพลังไปแล้ว แต่คนผู้นี้กลับไม่รู้สึกเสียดาย”
“นอกจากนี้ในคำพูดของหนงอวี่ซวนผู้นี้ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ได้เป็นการข่มขู่ ดังนั้นข้าจึงคาดเดาว่า เขาอาจจะมีเบาะแสในการหาของวิเศษดาวทมิฬชิ้นนั้นแล้ว”
ชายหนุ่มมองตราประทับตะวันที่เหมือนตราสำริดธรรมดา “ของวิเศษชิ้นนี้ไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของสำนักแสงสว่างเป็นอันขาด หากพูดอีกมุมหนึ่ง ของวิเศษชิ้นนี้ความจริงแล้วอาจจะสะกดวรยุทธ์ของสำนักแสงสว่างได้ในระดับสูง
“ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของสำนักแสงสว่างจะไม่ได้ศึกษาพลังของดวงอาทิตย์ทั้งหมด แต่ก็มีจุดร่วมอยู่ หากว่ามีของวิเศษดาวทมิฬชิ้นนี้อยู่ในมือ จะเป็นการช่วยเหลือสำนักแสงสว่าง”
“โลกซ้อนโลกมีพื้นที่กว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ได้รับผลประทบจากมหาภัยพิบัติค่อนข้างน้อย จึงนำหน้าโลกใบอื่น ส่วนคนในโลกใบอื่น เมื่ออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามขึ้นไปจะลอยไปยังโลกซ้อนโลกได้ และอาจจะถูกสำนักในโลกซ้อนโลกเช่นสำนักแสงสว่างดึงเป็นพวก กลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ”
“สำนักแสงสว่างมียอดฝีมือมากมายดุจเม็ดทราย ตอนนี้ถูกขุมกำลังบนโลกซ้อนโลกอื่นๆ เช่นสำนักความมืดพัวพัน อาจจะไม่คิดรับมือพวกเรา พวกเราเฝ้ารักษาแปดพิภพได้ไม่ยาก แต่ว่าหากต้องการเอาชนะอีกฝ่ายหรือทำลายล้างศัตรูเช่นนี้ จำเป็นต้องเพิ่มพลังของตัวเองถึงจะถูก”
เยี่ยนจ้าวเกอลูบขมับของตัวเองเบาๆ “ของวิเศษดาวทมิฬที่ข่มดวงอาทิตย์และกลืนกินแสงนั้น ถ้าหากตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่าย หนึ่งเพิ่มหนึ่งลด ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเรา”
เยี่ยนตี๋พูด “ผู้อาวุโสม่อพูดถึงสถานการณ์ในโลกซ้อนโลก เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ย่อมทราบว่าถ้าหากไม่มีตราประทับตะวัน พลังของเจ้าจะอ่อนแอยิ่ง”
“อีกฝ่ายกลับไม่ทราบว่าข้ามีของวิเศษคุ้มกันกาย สามารถต้านทานการบีบอัดของพลังแห่งเขตแดน ข้ามบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ได้” เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อมีร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกติดตาม สมควรรับมือสถานการณ์ได้หลากหลาย ครั้งนี้ข้าเองก็ไม่ได้ไปถีบประตูสำนักแสงสว่าง”
ขณะที่พูด รอยยิ้มของเยี่ยนจ้าวเกอเปลี่ยนเป็นเย็นชา “แน่นอนว่าไม่ช้าก็เร็วย่อมมีวันนั้น ตอนนี้ต้องเตรียมตัวเพื่อวันนั้นเอง”
เยี่ยนตี๋เอ่ย “สำหรับเจ้า ตอนนี้ข้าวางใจยิ่ง”
“ทว่าตามแผนก่อนหน้า ต่อจากนี้ข้าต้องอยู่ในแปดพิภพ ป้องกันอีกฝ่ายบุกมาอีกครั้ง”
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มิติยังคงบิดเบี้ยวปั่นป่วนชั่วขณะ “ครั้งนี้ผ่านไปหนึ่งปีจึงค่อยมา บางทีอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องกำหนดตำแหน่งบนแปดพิภพ ตอนนี้สมควรกำหนดตำแหน่งได้แล้ว ครั้งหน้าอาจจะมาเมื่อไรก็ได้”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ขอแค่พวกเขารวมพลังได้มากพอ ก็จะ ‘ลง’ มาทันที”
“แต่ว่าครั้งหน้าที่พวกเขาลงมา จะต้องรวบรวมพลังรับมือท่านกับตราประทับตะวัน น่าจะไม่ง่ายนัก”
“ถึงสำนักแสงสว่างจะมีรากฐานใหญ่ แต่เสียยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนั้นติดต่อกันถึงสองครั้ง ต่อให้ไม่ถึงขั้นกระทบเส้นเอ็นและกระดูก เกรงว่าก็ทำให้พวกเขากระอักได้อยู่”
“ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีขุมกำลังยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นศัตรูที่มีพลังเท่ากันคอยสร้างปัญหาในโลกซ้อนโลก ดังนั้นคนที่ลงมาในสองครั้งนี้น่าจะเป็นคนที่คัดมาอย่างละเอียด ครั้งนี้คิดจะส่งคนลงมาอีก อีกทั้งต้องส่งมาไม่น้อย เกรงว่าจะไม่ง่ายถึงเพียงนั้น”
ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าหากเพื่อตราประทับตะวัน อีกฝ่ายกลายเป็นฝ่ายป้องกันบนโลกซ้อนโลกชั่วคราว แล้วเปลี่ยนมารับมือพวกเราแทน เช่นนั้นต้องว่ากันอีกที”
“ดังนั้นเมื่อไปโลกซ้อนโลก ต่อให้คนอื่นไม่เผยร่องรอยของข้า จะช้าจะเร็วข้าก็ต้องหาทางปล่อยข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจของสำนักแสงสว่างเอง ไม่เช่นนั้นแรงกดดันทางแปดพิภพจะมากเกินไป”
เยี่ยนตี๋ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าถูกดูถูกเนื่องจากคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ ความทะนงตนของเขาไม่ใช่ความหน้ามืดตามัว
“ต่อจากนี้ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ รอข่าวดีจากเจ้า” เยี่ยนตี๋พูดพร้อมกับนั่งขัดสมาธิบนซากยอดยอดเขาเรืองรอง
เยี่ยนจ้าวเกอคำนับเยี่ยนตี๋ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในใจข้ามีแผนการอยู่บ้างแล้ว”