ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 692 ความเป็นมาอันงดงาม
ไป๋จื่อหมิงรู้สึกฉงนใจอยู่บ้าง ไม่อาจเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของฉีเหว่ย
เขาไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในโลกซ้อนโลก แต่มาจากโลกเบื้องล่าง ลอยมายังโลกซ้อนโลกหลังจากระดับพลังฝึกปรือเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้น
เขาไม่เคยได้ยินถึงตราประทับตะวันในโลกของเขามาก่อน
ทว่า นี่ไม่ได้ขัดขวางเขาไม่ให้รู้สึกได้ถึงความสำคัญของมัน
เพียงมองสีหน้าของเจิ้งหมิงบนเรือที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ก็เห็นถึงความแตกต่างได้แล้ว
ทางด้านเจิ้งหมิง เหวินลั่วเสีย และเยี่ยซินสับสนเล็กน้อย แต่ไม่ทันไรก็เข้าใจ ต่อมากลับมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
เฉินจื้อเหลียงที่อยู่ในหุบเขาได้ยินก็ตกตะลึงเช่นกัน แทบจะหันกลับไปมองเรือนภาร่อนวายุที่อยู่กลางอากาศโดยสัญชาตญาณ
ไป๋จื่อหมิงเห็นท่าทีของเจิ้งหมิง กล่าวในใจว่า ‘ใกล้เคียงกับท่าทีในตอนที่เขาได้ยินเรื่องค่ายกลบูชาฟ้าอะไรนั่น…’
ชายชราระวังตัวขึ้นมา ความอิจฉาและความละโมบในสายตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอปลาสนาการ เปลี่ยนเป็นระมัดระวังสุดขีด
ไป๋จื่อหมิงรู้สึกได้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีความลับยิ่งใหญ่อยู่บนตัว เหมือนพวกคังผิงที่วางค่ายกลบูชาฟ้า หากไปข้องเกี่ยวอย่างไม่ทันระหวัง จะมีจุดจบน่าอนาถ
‘ราชันพระอาทิตย์…’ เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาเล็กน้อย
ภาพที่ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเขาเป็นอันดับแรก ก็คือเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ในตราประทับตะวัน เมื่อครั้งที่ตนเก็บตราประทับตะวันในโลกแปดพิภพ
เจตจำนงนั้นรวมตัวกันเป็นลักษณะของบุรุษวัยกลางคน แต่รูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน
คนผู้นี้น่าจะเป็นเจ้าของตราประทับตะวันในตอนแรก และเป็นคนที่สร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงชิ้่นนี้ขึ้นมา
เขาคือราชันพระอาทิตย์ที่พวกฉีเหว่ยพูดถึงหรือ?
ในโลกซ้อนโลก ดูเหมือนจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้จัก
เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตสายตาของเจิ้งหมิง เหวินลั่วเสีย และเยี่ยซินที่มองตนเอง
หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อย ก็ยิ้มขึ้น “ตราประทับตะวันข้ารู้จัก แต่ว่าชื่อของราชันพระอาทิตย์กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าขายหน้าเสียแล้ว”
สีหน้าของพวกเจิ้งหมิงเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
ทุกคนมองหน้ากันเอง เหวินลั่วเสียอดถามไม่ได้ “ท่าน…คุณชายเยี่ยน หรือท่านจะไม่ใช่คนของโลกซ้อนโลก แต่มาจากโลกเบื้องล่าง?”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าตรงๆ “เป็นเช่นนั้น พอดีมีวาสนาเล็กน้อย จึงได้มายังโลกซ้อนโลก”
เหวินลั่วเสียยังรอจะพูดอะไร ทว่าเห็นเจิ้งหมิงมีสายตาเคร่งขรึม ดังนั้นจึงกลืนคำพูดกลับไปใหม่
เจิ้งหมิงเอ่ยอย่างเชื่องช้า “สหายเยี่ยนไม่เคยได้ยินชื่อของราชันพระอาทิตย์มาก่อนหรือ?”
ชายหนุ่มแบมือ ตอบว่า “ตราประทับตะวัน ข้ารู้จัก คัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ ข้าก็รู้จัก แต่ชื่อของราชันพระอาทิตย์ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ”
เห็นสีหน้าของเขาไม่เหมือนเสแสร้ง สายตาของเจิ้งหมิงจึงแปลกประหลาดกว่าเดิม
‘แม้แต่คัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ยังรู้จัก กลับไม่รู้จักชื่อของราชันพระอาทิตย์หรือ?’ เจิ้งหมิงรู้สึกสงสัยกว่าเดิม
เขามองคังผิงในหุบเขาเบื้องล่าง เมื่อครู่คังผิงลงมือหมายจะสังหารเยี่ยนจ้าวเกอต่อหน้าพวกตน
เป็นเพราะคังผิงรู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าของคนเดิมของตราประทับตะวัน ดังนั้นจึงไร้ข้อกริ่งเกรง หรือว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังคังผิงเดิมทีก็หมายหัวราชันพระอาทิตย์อยู่แล้ว?
ถ้าหากเป็นประการแรก เช่นนั้นหมายความว่าคังผิงคิดแก้แค้นเยี่ยนจ้าวเกอ ต้องสร้างความลำบากให้แก่เขาเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
ถ้าหากเป็นประการหลัง เช่นนั้นสถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นแล้ว
ราชันพระอาทิตย์เกาหานเป็นคนระดับไหน นั่นเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่สร้างสภาพการณ์ของโลกซ้อนโลกในปัจจุบัน สถาปนาสำนักเต๋าขึ้นมาใหม่ เป็นบุคคลในตำนานที่รอดจากวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่
ในตอนที่ปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อหลายพันปีก่อน พลังและระดับพลังฝึกปรือสูงส่งกว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังคังผิงเสียอีก
ถ้าหากวันนี้เขายังอยู่ เช่นนั้นพลังย่อมสูงส่งกว่าเดิมโดยไม่มีอะไรให้น่าประหลาดใจนัก
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหลังคังผิงสู้ไม่ไหว
แต่ว่าคังผิงยังคงลงมือลอบสังหารเยี่ยนจ้าวเกอ เจิ้งหมิงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ระวังตัวและฉลาด สมควรไม่ลงมือเพราะความโกรธชั่วขณะ
เรื่องราวที่อาจจะอยู่เบื้องหลังนี้ ทำให้เจิ้งหมิงเกิดความรู้สึกสยิวกายขึ้นมา
แน่นอนว่า อาจจะเป็นเพราะคังผิงเจตนาข่มขู่ก็ได้
แต่เพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้เบื้องหลังของเยี่ยนจ้าวเกอในสายตาของเจิ้งหมิงพร่าเลือนกว่าเดิม
เยี่ยนจ้าวเกอไม่เกี่ยวข้องกับเกาหานโดยสิ้นเชิงหรือ เจิ้งหมิงย่อมไม่เชื่อ
กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยอมรับว่าตัวเองครอบครองตราประทับตะวัน ถึงขั้นที่ยอมรับว่ารู้จักคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ เช่นนั้นที่เขาปฏิเสธว่าตนไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเกาหาน มีความหมายใดหรือไม่?
เหมือนกับมองดูค่ายกลบูชาฟ้าคืนสภาพในลักษณะภาพเงาแสงด้านในหุบเขา พวกคังผิงต่อให้ไม่ยอมรับก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว
‘บางที ถึงแม้เขาจะมีความเกี่ยวข้องกับราชันพระอาทิตย์ กระนั้นก็ได้มาแค่ตราประทับตะวัน ได้สืบทอดคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ ตัวราชันพระอาทิตย์กลับไม่ได้เผยสถานะของตัวเองให้เขารู้ก็ได้?’ เจิ้งหมิงใคร่ครวญในใจ กลับไม่กล้าคิดลึกลงไป
ความคิดขอบบุคคลระดับนั้น ทางที่ดีตนอย่าคาดเดาง่ายๆ จะดีกว่า
การรายงานประมุขอาคเนย์ผู้เป็นอาจารย์ตามตรง ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ของตนสำเร็จโดยสิ้นเชิงแล้ว
คิดถึงตรงนี้ เจิ้งหมิงมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ ‘สหายเยี่ยน”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาที่โลกซ้อนโลก เพราะมีความแค้นต้องชำระกับสำนักแสงสว่าง ซึ่งเป็นสำนักในทะเลหวงเจีย”
เจิ้งหมิงอ้าปาก กลืนคำพูดที่คิดกล่าวก่อนหน้ากลับลงไป
พวกคังผิงจำเป็นต้องสารภาพกับประมุขอาคเนย์ เพราะว่าพวกเขาวางค่ายกลในเขตตะวันอาคเนย์ หากเรื่องนี้มีผลตามมา จะส่งผลต่อประมุขอาคเนย์
ส่วนทางเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ต้องเอ่ยว่าเขารับคำสั่งที่เจ้าของตราประทับตะวันคนเดิมมอบให้หรือไม่ ต่อให้มีจริงๆ ตอนนี้ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าเกี่ยวข้องกับประมุขอาคเนย์จริง
ถ้าหากการมีเรื่องกับสำนักแสงสว่างเป็นปัญหาส่วนตัวของเยี่ยนจ้าวเกอจริงๆ เช่นนั้นประมุขอาคเนย์ก็จะไม่ก้าวก่าย
ในเขตตะวันอาคเนย์เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟันกันระหว่างขุมกำลังใหญ่ เรื่องทำลายพรรคล้างสำนักก็ไม่ใช่ว่าไม่มี หากไม่เกิดความวุ่นวายรุนแรงจริงๆ ประมุขอาคเนย์ก็ไม่คิดจะสนใจ
ครั้งนี้ถ้าสอดมือเข้าไปรบกวนแผนการของราชันพระอาทิตย์โดยพลการ นั่นเท่ากับเป็นการสร้างความแค้นเอง
ถ้าหากว่าราชันพระอาทิตย์คิดจะลงมือกับเขตหยางเทียนตะวันออก ประมุขอาคเนย์ก็ไม่อาจมองดูอยู่วงนอกได้อีก
เพียงแต่ปัจจุบันนี้ไม่มีร่องรอยที่แสดงถึงเรื่องที่ว่า
เยี่ยนจ้าวเกอมีความแค้นกับสำนักแสงสว่างจริงหรือไม่ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้อย่างง่ายดาย
เจิ้งหมิงถอนใจเงียบๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย “สหายเยี่ยนคิดจะมาเป็นแขกที่เขาโถงทองของเราหรือไม่?”
แม้จะไม่อาจสอดมือตรงๆ ได้ แต่ก็ขอพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างเต็มที่ อย่างน้อยดวงตาทั้งสองข้างจะได้ไม่มืดบอด
“เป็นความปรารถนาของข้าอยู่แล้ว ข้าย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าหากสะดวก ข้าคิดจัดการเรื่องส่วนตัวในทะเลหวงเจียให้เรียบร้อยเสียก่อน ค่อยไปเขาโถงทอง”
“ชื่อขององค์ประมุขอาคเนย์ข้าได้ยินมานาน ย่อมอยากพบหน้าท่านผู้เฒ่า”
เจิ้งหมิงคาดว่าเรื่องส่วนตัวที่เยี่ยนจ้าวเกอพูด น่าจะเป็นความแค้นระหว่างเขากับสำนักแสงสว่าง
เขาเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเฉินจะพาท่านคังไปพบท่านอาจารย์ ข้าจะรั้งอยู่ที่ทะเลหวงเจีย ตรวจสอบเรื่องราวบางประการ”
ความหมายก็คือ ไม่อาจเป็นลูกน้องให้ท่านได้
นี่คือความถูกต้องที่ควรมี ไม่เร่งรัดให้เยี่ยนจ้าวเกอไปคำนับประมุขอาคเนย์ทันทีเหมือนกับคังผิง ไม่ห้ามเยี่ยนจ้าวเกอทวงแค้นสำนักแสงสว่าง แต่ก็ไม่ช่วยเหลือเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ได้ร่วมทางกับทุกท่านชั่วระยะเวลาหนึ่ง สำหรับข้าเป็นประสบการณ์ที่งดงามนัก ท่านเกรงใจไปแล้ว”
ย่อมงดงามอยู่แล้ว เพราะได้ประโยชน์มากกว่าที่คาดไว้มากมายนัก
………………..