ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 27 หนึ่งบทกวีดับสังขาร (2)
ข้ามองหลี่จื้ออย่างเลื่อมใส ยงอ๋องชาญฉลาดมากปัญญาจริงๆ เพียงประโยคเดียวของข้าก็มองเรื่องนี้ออกแล้ว ทว่าข้าเองก็ไม่คิดปิดบัง ตอบไปว่า “กระหม่อมวางแผนบางอย่างให้เต๋อชินอ๋องไปแล้ว หากสำเร็จจะทำให้หนานฉู่สงบสุขปลอดภัยไปอีกหลายปี”
ดวงตาของหลี่จื้อพลันส่องประกายเรืองรอง “หากข้าเดาไม่ผิดคงเกี่ยวกับสู่อ๋องกระมัง หากสู่อ๋องยอมจำนนต่อต้ายง ย่อมเป็นภัยพิบัติใหญ่ต่อหนานฉู่”
ข้าไม่คิดซ่อนเร้น พูดไปตามตรงว่า “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หากสู่อ๋องยอมจำนน กระหม่อมย่อมมีวิธีทำให้สู่อ๋องตาย ถึงตอนนั้น อย่างน้อยที่สุดต้ายงก็มิได้เปรียบอันใด”
บนใบหน้าของหลี่จื้อปรากฏแววลึกล้ำ “หากสู่อ๋องไม่ยอมแพ้ เมื่อกองทัพของท่านและข้าทั้งสองทัพเข้าโจมตีเฉิงตู จะสังหารสู่อ๋องหรือสู่อ๋องฆ่าตัวตายย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่หากสู่อ๋องยอมจำนน ท่านมีวิธีชักนำให้สู่อ๋องตายในทัพต้ายงจริงหรือ”
ข้ารู้ว่าเขาไม่เชื่อ แต่ยังคงตอบอย่างหนักแน่น “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
หลี่จื้อลุกขึ้นยืน เดินอยู่ในกระโจมหลายก้าว “เอาเถิด หากท่านทำได้เช่นนั้นจริงๆ และเมื่อกลับไปยังหนานฉู่แล้วไม่คิดวางแผนให้หนานฉู่อีก ขอเพียงท่านไม่อยู่ที่เจี้ยนเย่ยามต้ายงโจมตีหนานฉู่ ข้ารับปากจะปล่อยให้ท่านมีชีวิตสงบสุข”
ข้ายินดียิ่ง นี่เป็นดั่งราชโองการเว้นตายของข้าเลยทีเดียว ข้ารีบผุดลุกเข้าไปคารวะขอบคุณ หลี่จื้อจึงกล่าวอย่างแฝงความนัย “หากสู่อ๋องไปถึงต้ายงอย่างปลอดภัยเล่า จะทำอย่างไร”
ข้าตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “หากเป็นเช่นนั้น สุยอวิ๋นยินดีทำงานให้องค์ชาย”
หลี่จื้อฉีกยิ้มกว้าง “ดี ดี ท่านข้าคำไหนคำนั้น พูดแล้วไม่คืนคำ” พูดจบก็ยื่นมือขวาออกมา ข้ารู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ ยื่นมือขวาออกไปตีมือแทนคำสัญญาระหว่างสองฝ่าย เพื่อเป็นการรับประกันอีกขั้น ข้าจึงกล่าวเสริมว่า “หากระหม่อมได้รับชัย เมื่อกลับไปหนานฉู่แล้ว หากองค์ชายมีปัญหายากแก้ไขที่ไม่เกี่ยวข้องกับหนานฉู่ กระหม่อมยินดีวางกลยุทธ์ต่ำต้อยให้องค์ชายบ้าง”
หลี่จื้อตะลึงพรึงเพริดไปอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าหากข้ามีความสามารถสังหารสู่อ๋องใต้การคุ้มครองของตนจริงๆ เช่นนั้นภายหน้าย่อมปล่อยเขาไป แต่จะยืมพลังของหนานฉู่กักขังเขาไว้เสียก่อน คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายกลับอาสามาเช่นนี้จึงอดประหลาดใจไม่ได้ หลังจากเงียบไปนานจึงค่อยกล่าวว่า “ได้ เช่นนั้นพวกเรารอดูก่อนเถิดว่าสู่อ๋องจะยอมจำนนหรือไม่” กล่าวจบก็กลับไปนั่งลงที่โต๊ะบัญชาการ
ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดต่อไป จึงได้แต่นั่งรอผลจากท่านทูตโก่วเหลียน
จนกระทั่งดวงตะวันจมสู่เทือกเขาประจิม โก่วเหลียนก็กลับมารายงานต่อหลี่จื้อ ความว่าสู่อ๋องจะมอบตัวยอมจำนนพรุ่งนี้เที่ยง ข้าและหลี่จื้อล้วนมีสีหน้าเปรมปรีดิ์ การเดิมพันที่เกี่ยวพันไปถึงชีวิตข้าเริ่มขึ้นบัดนั้นแล้ว หลังจากหารือเรื่องรายละเอียดการร่วมมือระหว่างสองทัพกับหลี่จื้อแล้ว ข้าก็กลับไปยังค่ายใหญ่ของหนานฉู่ ยงอ๋องออกมาส่งข้านอกค่ายด้วยตนเอง เล่นเอาข้าที่ได้รับความโปรดปรานกะทันหันตะลึงลานไปเสียสิ้น
วันต่อมา สู่อ๋องในชุดไว้ทุกข์สีขาวพาขุนนางบุ๋นบู๊รวมถึงองค์ชายทุกพระองค์ออกจากเมืองมาสิบลี้ มอบตัวยอมศิโรราบต่อต้ายง เมื่อรับการจำนนคราวนี้แล้ว พวกเราสองทัพก็แยกกันเดินทัพเข้าเมืองทางประตูตะวันออกและตะวันตก สองทัพเข้าใจกันโดยนัย โดยทั่วไปจึงไม่มีเหตุพัวพันอันใดเกิดขึ้น
ทว่าที่กรมคลัง หรงเยวียปะทะกับฉุยหลวนผู้เป็นเสนาธิการของยงอ๋อง ทั้งสองต่างได้รับคำสั่งให้มาช่วงชิงตำราสำคัญของกรมคลัง ไม่มีใครยอมลงให้ใคร หลังจากถกเถียงกันนานยงอ๋องและเต๋อชินอ๋องจึงเสด็จมาไกล่เกลี่ยด้วยตัวเอง ตัดสินว่าจะนำไปคนละครึ่ง แม้จะน่าเสียดายแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
จ้าวเจวี๋ยมาสอบถามข้าว่าสู่อ๋องยอมจำนนแล้วเช่นนั้นแผนยุแยงภายในของข้าจะทำเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นสู่อ๋องยอมจำนนต่อต้ายง ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการครองซีชวนของหนานฉู่ ข้ามีแผนในใจนานแล้วจึงบอกกล่าวแก่จ้าวเจวี๋ยไปว่า ขอเพียงจัดงานเฉลิมฉลองครั้งหนึ่งก่อนสู่อ๋องเดินทางถึงต้ายงและให้ข้าเข้าร่วมงานเลี้ยงนั้นด้วยเป็นพอ
หลังการเจรจาแบ่งสินสงครามอันสับสนวุ่นวายผ่านพ้นไป เต๋อชินอ๋องก็ตัดสินใจเดินทางกลับแคว้น ยงอ๋องจึงเสนอจัดงานเลี้ยงอำลาแก่เต๋อชินอ๋องตามธรรมเนียมปฏิบัติ นี่เป็นเรื่องสอดคล้องกับแผนการพอดี เต๋อชินอ๋องย่อมเข้าร่วมงานเลี้ยงเป็นธรรมดา และสู่อ๋องก็ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงอำลาเช่นกัน
ในพระราชวังอันงามวิจิตรของสู่อ๋อง เหล่าแม่ทัพและเสนาธิการของต้ายงและหนานฉู่นั่งแบ่งเป็นสองฝั่ง ต่างจิบสุราเคล้าเสียงดนตรี สู่อ๋องนั่งตำแหน่งใต้ยงอ๋อง ถัดจากนั้นเป็นเหล่าขุนนางที่ติดตามยอมจำนนมาพร้อมสู่อ๋อง พวกเขามีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง โดยเฉพาะสู่อ๋อง ได้ยินว่าพระชนมายุยังไม่ถึงห้าสิบ ทว่ารูปโฉมเหี่ยวเฉาโรยรา จอนผมและเคราล้วนหงอกขาว หากกล่าวว่าอายุเจ็ดสิบก็ยังมีคนเชื่อ
หลังร่ำสุรากันไปพักใหญ่ จ้าวเจวี๋ยจึงเสนอขึ้นตามแผนการของข้า กล่าวว่ามีสุราไม่มีร้องรำทำเพลงช่างน่าเบื่อเสียจริง มิสู้ให้นางบำเรอของสู่อ๋องที่ถูกจับตัวเป็นเชลยศึกออกมาร้องรำทำเพลงเพิ่มความสนุกสนานเสียหน่อยเป็นอย่างไร แม้เหล่าแม่ทัพต้ายงจะคิดว่าหนานฉู่อ่อนแอปวกเปียกดังที่คาด ทว่าไม่มีเหตุผลอันใดให้คัดค้าน จึงให้นางบำเรอของสู่อ๋องออกมาสร้างสีสัน
เพลงพิณแดนสู่โหมกระหน่ำดุจอสนีบาต นางระบำชาวสู่อ้อนแอ้นอรชรดุจหน่ออ่อน สู่อ๋องและเหล่าขุนนางที่จะต้องเดินทางออกจากแคว้นบ้านเกิดย่อมต้องฝืนทนอดกลั้นมิให้หลั่งน้ำตา ส่วนแม่ทัพต้ายงและหนานฉู่กลับตบมือชอบใจ
ข้าเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้วจึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้จ้าวเจวี๋ย จ้าวเจวี๋ยเข้าใจได้โดยพลัน ลุกขึ้นยืนพูดว่า “วันนี้ได้ยลนาฏศิลป์การดนตรีของแดนสู่ทำให้ข้าซาบซึ้งยิ่ง หนานฉู่ของข้าเป็นถิ่นเริงรื่นรักสำราญ จะไม่มีการร้องรำทำเพลงได้อย่างไร เพียงแต่ในกองทัพไม่มีนางบำเรอ จึงทำได้เพียงอาสาบรรเลงพิณสร้างสีสันแก่เจ้าบ้าน ครานี้เจียงเจ๋อแห่งสำนักฮั่นหลินผู้เป็นอัจฉริยบุคคลแห่งหนานฉู่สรรสร้างบทกวีขึ้นมาเพื่องานเลี้ยงวันนี้โดยเฉพาะ ขอทุกท่านโปรดสดับรับฟังให้รื่นเริงเถิด”
ยงอ๋องหลี่จื้อพลันใจสั่น ระยะนี้เขาส่งทหารไปคุ้มครองสู่อ๋องอย่างเข้มงวด แต่กลับไม่เห็นมือสังหารของหนานฉู่แม้แต่ครึ่งคน วันนี้สู่อ๋องจะเดินทางไปต้ายงแล้ว เดิมทีเขาคงคิดว่าข้าต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่ ทว่าข้ากลับทำเพียงเอื้อนเอ่ยบทกวีใหม่ในงานเลี้ยงเท่านั้น หากปฏิเสธคำเสนอตัวบรรเลงพิณของจ้าวเจวี๋ย เช่นนั้นเหล่าขุนนางและเจ้าแคว้นของหนานฉู่ย่อมบันดาลโทสะในความไร้มารยาทของต้ายงแน่นอน ดังนั้นแม้หลี่จื้อจะรู้ชัดว่าไม่สมควร ก็ได้แต่อนุญาตไปตามนั้น
ข้าลุกขึ้นยืนคารวะทุกคนตามมารยาท จ้าวเจวี๋ยนั่งลง พรมนิ้วไปบนสายพิณแผ่วเบา เสียงพิณกระจ่างใสดังผะแผ่วไปตามทำนอง ‘แตกสลายเพียงครู่’ ของข้า ข้าเอื้อนร้องคลอไปตามเสียงพิณ
“แดนดินหยัดถิ่นหกสิบปี หมู่นทีแลบรรพตไพศาล หอหงส์วังมังกรสูงเสียดมวลนภา พนาดรล้ำค่าเหยียดกิ่งไกล เผชิญศึกสงครามกี่ครา เพียงพริบตากลับกลายแปรผัน ตกเป็นเชลยไร้ศักดิ์ไร้สุวรรณ สังขารเกศาพลันเสื่อมถอยขาวโพลน ฉุกละหุกเร่งอำลาบรรพชน นวลนงเอื้อนร้องขับขาน บรรเลงบทเพลงลาจากจร น้ำตาหลั่งนองเบื้องหน้านงเยาว์”
เมื่อเสียงเอื้อนบทกวีจบลง ทั่วทั้งท้องพระโรงพลันเงียบสงัด หลี่จื้อหัวใจเย็นเฉียบ รู้ชัดว่าข้าลงมือแล้วจึงเร่งมองไปทางสู่อ๋อง เดิมสู่อ๋องมีสีหน้าชืดชาซีดเซียว พลันแปรเปลี่ยนเป็นความโศกาสิ้นหวัง ขุนนางสู่ในตำหนักมิได้หลั่งน้ำตาดุจพิรุณโปรย ทำเพียงถลึงตาจับจ้องอย่างเคืองแค้น เนิ่นนานผ่านไป สู่อ๋องเมิ่งอวิ๋นจึงลุกขึ้นพูดว่า “ข้าดื่มสุราไปมาก รู้สึกล้าแล้ว ยงอ๋องแห่งต้ายงโปรดอนุญาตให้ข้ากลับไปพักผ่อนที่วังหลังด้วยเถิด”
ยงอ๋องหลี่จื้อเผยท่าทีเฝื่อนฝาด คิดจะขัดขวางแต่กลับมิอาจเอ่ยปากปฏิเสธ ได้แต่ถอนใจยาว “เชิญท่านเจ้าแคว้นไปพักผ่อนที่วังหลังชั่วคราวเถิด ไม่จำเป็นต้องคิดมาก องค์จักรพรรดิย่อมไม่ปฏิบัติย่ำแย่กับท่านเจ้าแคว้นเป็นแน่”
เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ตอบคำใด ทำเพียงมองไปยังทุกคนในท้องพระโรง ยามเมื่อสายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างข้า ข้าสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและเคืองแค้นที่ฉายอยู่ในนั้น จะให้เขารู้สึกดีต่อคนที่ฉีกทำลายฝันอันงดงามของตนได้อย่างไรเล่า จากนั้นสู่อ๋องจึงเดินจากไป ขุนนางแคว้นสู่พากันคุกเข่าส่ง หลี่จื้อมองข้าด้วยรอยยิ้มขมฝาด ทั้งเลื่อมใสและขุ่นเคือง ทว่าได้แต่แกว่งจอกสุราแล้วยกขึ้นดื่ม
ผ่านไปพักหนึ่ง ขันทีหลายคนวิ่งร่ำไห้เข้ามาในตำหนัก ประกาศว่า “ท่านเจ้าแคว้นกินยาพิษฆ่าตัวตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อหัวเราะดังลั่น “ดี ดี เจียงจ้วงหยวนช่างร้ายกาจจริงๆ หนึ่งบทกวีปลิดชีพ พรากชีวิตเจ้าแคว้น” จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าจะกลับแล้ว มีกิจทหารเร่งรัด ขออำลาเพียงเท่านี้” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป
จ้าวเจวี๋ยและหรงเยวียนหลั่งเหงื่อจนเปียกโชกไปทั้งแผ่นหลัง พวกเขาทั้งยินดีที่ในที่สุดก็ทำให้สู่อ๋องปลิดชีพตนเองได้ ทั้งกังวลว่าจะเป็นการล่วงเกินต้ายง ส่วนข้ากลับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ แม้การบีบบังคับให้สู่อ๋องฆ่าตัวตายจะเป็นการกระทำที่เกินไปบ้าง แต่ก็ต้องให้เขามีใจอัปยศอดสูเสียก่อน
คำพูดสุดท้ายก่อนหลี่จื้อจากไปคล้ายเป็นการแสดงความขุ่นเคืองและไม่พอใจต่อข้า แต่หากเปลี่ยนมุมมอง แม้ข้าจะยังใช้ชีวิตสงบปลอดภัยที่หนานฉู่ต่อได้ ทว่าประโยคนี้ของเขากลับทำให้ข้ามีชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า ในอนาคตข้าย่อมยากจะปิดบังชื่อแซ่ หลี่จื้อผู้นี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ยังรู้จักตอบโต้อีก ช่างน่ากลัวจริงๆ
จ้าวเจวี๋ยนั่งอยู่บนหลังม้า ในที่สุดเขาก็จัดการเรื่องทหารและการเมืองในแคว้นสู่เสร็จสิ้นแล้วและกำลังจะกลับต้ายง แม้สู่อ๋องจะฆ่าตัวตาย แต่เหล่านางสนมและองค์ชายของสู่อ๋องยังอยู่ เพียงพอที่จะถวายเป็นเชลยแก่บรรพชนแล้ว
กองทัพหนานฉู่เดินทางกลับไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ตามข้อตกลงระหว่างสองแคว้น ต้ายงครองตงชวน หนานฉู่ครองซีชวน และความจริงด่านเจียเหมิงก็อยู่ในการควบคุมของต้ายง ส่วนเมืองลั่วก็อยู่ในการควบคุมของหนานฉู่ แดนสู่กลับกลายเป็นกันชนระหว่างสองแคว้น ยุทธศาสตร์ของเขากลายเป็นจริงแล้ว เพียงแต่หนานฉู่ได้รับผลประโยชน์ไปไม่น้อย หลี่จื้อยิ้มฝาดเฝื่อน ตอนนี้เขาเสียใจจริงๆ ที่ตอนแรกไม่ยอมเสี่ยงอันตรายชิงตัวเจียงเจ๋อไป
เสนาธิการของเขาเดินเข้ามาถามว่า “เหตุใดวันนั้นองค์ชายจึงไม่ขัดขวางมิให้สู่อ๋องปลิดชีพตนเอง เหตุใดจึงปล่อยให้เป็นไปตามปรารถนาของหนานฉู่”
จ้าวเจวี๋ยปรายตามองไป เขารู้ดีว่าเสนาธิการและเหล่าแม่ทัพใต้บัญชาต่างสงสัยเรื่องนี้ จึงตอบไปอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ทันการณ์แล้ว หากสู่อ๋องไม่ฆ่าตัวตายภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เกรงว่าผู้คนในแดนสู่คงดูแคลนเขา หากเขามีชีวิตอยู่ต่อไปก็เป็นเพียงซากศพเดินได้”
ฝานฉวินแม่ทัพกล้าใต้บัญชาหลี่จื้อก็กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ต้องเป็นแผนชั่วของจ้าวเจวี๋ยผู้นั้นแน่ ถึงกับสั่งให้จ้วงหยวนนั่นแต่งกลอนดูหมิ่นสู่อ๋องเชียว” คนอื่นล้วนคิดเช่นเดียวกัน แต่เสนาธิการบางคนกล่าวว่าบทกวีของเจียงเจ๋อโดดเด่นสุดเปรียบจริงๆ
จ้าวเจวี๋ยทำเพียงยิ้มโดยไม่กล่าววาจา ในใจคิดว่า ‘พวกเจ้าจะรู้อะไร เจียงเจ๋อผู้นั้นต่างหากที่เป็นตัวการแท้จริง แต่เขาลงมือได้พอดิบพอดียิ่ง อย่างน้อยก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเป็นแผนการของเขา เจียงเจ๋อผู้นี้ควรค่าให้ข้าสิ้นเปลืองความคิดจริงๆ’
เขามองดูท้องฟ้า ชูบังเหียนเอ่ยว่า “พวกเรารีบเดินทางกันเถิด ปล่อยให้พวกเขาลำพองใจไปก่อน”
ข้อความแนบท้าย:
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบ วันที่สิบหกเดือนสอง สู่อ๋องเมิ่งอวิ๋นสวมชุดไว้ทุกข์ยอมจำนน แคว้นสู่ล่มสลาย
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบ วันที่สองเดือนสาม ยงอ๋องเสนอจัดงานเลี้ยงอำลาเต๋อชินอ๋อง สู่อ๋องเมิ่งอวิ๋นเข้าร่วมงานเลี้ยง ในงานร้องรำทำเพลงของแคว้นสู่มิขาด ชินอ๋องอาสาบรรเลงพิณ รับสั่งให้เจียงเจ๋อขับบทกวีใหม่เคล้าดนตรีทำนอง ‘แตกสลายเพียงครู่’ ของเจียงเจ๋อ สู่อ๋องสดับรับฟังพลันอัปยศจนขอลา ดื่มพิษปลิดชีพตนเอง สิ้นชีพในวัยสี่สิบเจ็ด
ผู้คนยุคนี้เรียกบทกวีของเจียงเจ๋อว่า ‘ลำนำตัดชีพ’ ไม่ก็ ‘ลำนำดับสังขาร’
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ตอนต่อไป