ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 5 บัณฑิตฮั่นหลิน (1)
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหกเดือนเก้า เจียงเจ๋อเข้าสู่สำนักฮั่นหลิน รับตำแหน่งเปียวซิว[1] ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง ด้วยเจียงเจ๋อมีความรู้กว้างขวางจึงได้รับราชโองการให้ร่วมการก่อตั้งตำหนักฉงเหวินเป็นกรณีพิเศษ สามปีผ่านไป เจียงเจ๋อเชี่ยวชาญการจำแนกคุณค่าชิ้นงานศิลปะและโบราณวัตถุ กระจ่างในการค้นคว้าหลักฐานข้อพิสูจน์ มือจับม้วนหนังสือมิขาด กระทั่งลืมกินลืมนอนอยู่บ่อยครั้ง ผู้ใดได้ฟังยังต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม ไม่นานจึงได้เลื่อนขั้นเป็นซิวจ้วน[2] แห่งสำนักฮั่นหลิน รับตำแหน่งขุนนางขั้นหก
ของสะสมแห่งตำหนักฉงหลินถูกเก็บรักษาไว้จวบจนปัจจุบัน ข้าผู้ต่ำต้อยเคยเห็นมาแล้ว เจียงเจ๋อเป็นผู้ตรวจสอบและแก้ไขปรับปรุงถึงหกเจ็ดส่วน ชวนให้ผู้คนตื่นตะลึงเสียจริง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
ช่างมีความสุขเสียจริง ข้ายืดเอวบิดขี้เกียจ หยิบหนังสือรวบรวมบทกวีที่เหลืออยู่เพียงเล่มเดียวในมือขึ้นมา ระยะนี้ข้าอาศัยอยู่ในหอตำราของสำนักฮั่นหลิน มิเสียทีที่เป็นหอตำราที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า มีหนังสือมากมายที่ข้าไม่เคยอ่าน ข้ามีความสามารถเห็นผ่านตามิลืมเลือน ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านหนังสือไปมากมาย ปกติหนังสือหนึ่งเล่มอ่านเพียงรอบเดียวก็จำได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว หากเป็นบทความดีๆ ข้ายังจำได้ไม่ตกหล่นแม้เพียงตัวอักษรเดียว อย่างไรก็ตาม ต่อให้ข้ามีความสามารถมากเพียงใด หนังสือนับล้านเล่มเช่นนี้ย่อมอ่านไม่ไหวเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงหาดรรชนีวารสารของหอตำรานี้มาหนึ่งเล่ม คัดเลือกหนังสือที่ยังไม่เคยอ่านออกมาอ่านทีละเล่ม ตามลำดับที่เขียนอยู่ในนั้น อย่างไรข้าก็ต้องอยู่ในสำนักฮั่นหลินไปอีกสามปีห้าปี คงอ่านได้พอประมาณ แน่นอนว่าหนังสือที่ข้าให้ความสนใจที่สุดคือหนังสือที่มีเพียงเล่มเดียว ต้องทราบว่าหนังสือเช่นนี้ส่วนใหญ่เป็นผลงานชิ้นเอกระดับโลก
วันนี้ ขณะข้ากำลังหาหนังสือในคลัง เผอิญเหลือบไปเห็นหนังสือที่ปกทำจากผ้าแพรต่วนสีเหลืองเล่มหนึ่ง ดูภายนอกช่างวิจิตรงดงามยิ่ง เชื่อว่าคงเป็นผลงานชั้นยอดที่หาได้ยากเป็นแน่ ข้าจึงพลิกเปิดอ่านไปตามใจ นั่นทำเอาข้าเกือบสลบ
หน้าแรกมีตัวอักษรเขียนด้วยโลหิตว่า ‘หากปรารถนาฝึกวิชาเซียน จงสะบัดมีดตอนตนเอง’ ข้ารีบปิดหนังสือทันควัน มองหน้าปกพบคำว่า ‘คัมภีร์ทานตะวัน[3]’ อันใดนั่น จึงรีบโยนไปด้านข้างโดยพลัน ข้ายังอยากแต่งภรรยาสืบลูกสืบหลานอยู่นะ
ขณะนั้นเอง ข้าเห็นตำรา ‘การผดุงชีวิต’ ของจวงจื่อ[4] ในยุคฮั่น จึงรีบหยิบขึ้นมาพลิกอ่านไปหลายหน้า แม้อักษรจะไม่ต่างจากที่เห็นด้านนอก ทว่ามีบทวิจารณ์เขียนไว้บริเวณมุมหนังสือมากมาย คำวิจารณ์อัดแน่นจนคล้ายไม่มีช่องว่าง ข้าชอบอ่านอรรถาธิบายของผู้อื่นยิ่ง ในนั้นอัดแน่นไปด้วยความพยายามของผู้อ่าน ข้ามองไปด้านข้างพบว่าไม่มีผู้อื่น จึงดึงตั่งเหยียบเท้าเข้ามาแล้วนั่งลงเสียตรงนี้ เพราะหากนำไปอ่านด้านนอกคงเสียเวลาเดินไปเดินมา
เพียงได้อ่านข้าก็รู้สึกหลงใหลแล้ว ที่แท้ผู้ที่เขียนบทวิจารณ์อาจเป็นนักพรตลัทธิเต๋าควบตำแหน่งหมอนี่เอง สิ่งที่เขียนล้วนเป็นเคล็ดลับในการผดุงชีวิต เวลาใดควรกินสิ่งใดและควรดื่มสิ่งใด เวลาใดควรตื่นนอน เวลาใดควรหลับ จะนั่งสมาธิก่อนนอนเช่นไร ฝึกฝนพลังชี่[5] หลังตื่นนอนเช่นไร กระทั่งเคล็ดลับในห้องหอก็ยังมี นี่เป็นอะไรที่ข้ารักที่สุดจริงๆ
ท่านอย่าได้หัวเราะเยาะข้าเชียว ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าก็คือใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไร้โรคไร้ภัย แต่งภรรยาอ่อนโยน มากคุณธรรมนางหนึ่ง ให้กำเนิดบุตรที่น่ารักสักหลายคน เช่นนี้เคล็ดลับในห้องหอย่อมสำคัญยิ่ง ท่านไม่เห็นหรือว่าคนที่เจ้าชู้บ้าราคะมักอายุสั้น นั่นเป็นเพราะไม่รู้จักควบคุมตนเอง ไม่รู้จักเคล็ดการผดุงชีวิตอย่างไรเล่า
ขณะที่ข้ากำลังยินดีอยู่นั้น จู่ๆ ก็คิดได้ว่า ไม่สิ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขากล่าวถูกต้องหรือไม่ แล้วจะทำเช่นไรดี ข้าคิดไปคิดมา หากสงสัยก็ต้องคลายด้วยตนเองแล้ว ด้วยเหตุนี้ เดือนถัดมาข้าจึงหาตำราเกี่ยวกับวิธีผดุงชีวิตในคลังหนังสือ บางเล่มขัดแย้งกัน บางเล่มสนับสนุนกัน แต่ข้าคือผู้ใดเล่า ข้าคือบุคคลผู้มีพรสวรรค์เชียว สุดท้ายข้าก็สังคายนาข้อมูลออกมาเป็นเคล็ดลับการผดุงชีวิตของตนเองได้ชุดหนึ่ง ทั้งยังเริ่มนำไปปฏิบัติแล้วด้วย
ทำเช่นไรน่ะหรือ ขั้นแรก ทุกวันเมื่อข้าลืมตาตื่นก็จะนั่งสมาธิครู่หนึ่ง ฝึกฝนเคล็ดวิชาบำรุงชี่ จากนั้นจึงออกไปขยับแข้งขยับขาเสียหน่อย แม้จะฝึกฝนวิชาหมัดมวยไม่เป็น แต่อู่ฉินซี่[6] อันใดนั่นข้ายังพอทำได้ จากนั้นจึงรับประทานอาหารเช้าอ่อนๆ แล้วออกไปทำงาน ตอนเที่ยงหากไม่มีธุระใด ทางที่ดีที่สุดย่อมต้องกลับบ้าน รับประทานอาหารกลางวันที่ช่วยบำรุงร่างกายตามฤดูกาลอย่างเหมาะสมมื้อหนึ่ง หากจะให้ดีควรกินสายเสียหน่อย
หลังจากนอนกลางวันแล้วอยากทำอะไรก็ไปทำเสีย ตอนกลางคืนหากต้องออกไปคบค้าสมาคมกับผู้อื่นก็กินให้น้อยดื่มให้น้อย เมื่อกลับมาถึงบ้านให้ดื่มเหล้าสมุนไพรที่กลั่นเองเพื่อล้างกระเพาะและลำไส้ก่อนนอน ตอนนี้ตำแหน่งของข้ายังต่ำต้อย ทำให้มิอาจรักษาวันเวลาเช่นนี้เอาไว้ได้ ทว่านี่เป็นเป้าหมายที่ข้าพยายามทำเต็มที่ ส่วนเรื่องวรยุทธ์นั้น ข้าไม่ฝึกแน่ ไม่เคยได้ยินหรือว่า คนว่ายน้ำเป็น ยังจมน้ำตายได้ หากข้าเป็นวรยุทธ์คงเข้าไปพัวพันกับเรื่องไม่คาดคิดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ถ้าจัดการไม่ดียังต้องตายตั้งแต่หนุ่มๆ ข้าปรารถนาเพียงอยู่ให้ถึงอายุเจ็ดสิบเท่านั้นเอง
ข้ายืนหยัดทำเช่นนี้อยู่สองเดือน พบว่าสภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีจริงๆ อาการป่วยเล็กน้อยที่มักปรากฏก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่า ความคิดชัดเจนขึ้นด้วย ยามอ่านตำราเขียนอักษรก็มีสมาธิในการจรดพู่กันมากขึ้น
วันนี้ข้าเดินออกมาจากคลังหนังสือ เตรียมไปรับประทานอาหารเที่ยงอร่อยๆ สักมื้อ เฮ้อ ข้ามิอาจจ้างพ่อครัวเก่งๆ จึงได้แต่ทำอาหารกินเองแล้ว ขณะที่ข้ากำลังใคร่ครวญว่าจะกินอะไรเป็นมื้อกลางวันนั้นเอง หลิวขุยสหายรุ่นราวคราวเดียวกับข้า ซึ่งก็คือปั้งเหยี่ยนผู้นั้นพลันเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“ท่านเจียง เป็นอย่างไรบ้าง พวกเราไปหอหมิงเยว่ด้วยกันดีหรือไม่”
“หอหมิงเยว่หรือ ไปทำอันใด” ข้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลิวขุยกล่าวอย่างแปลกใจ “ทำไม ท่านมิรู้หรือ ไปชมงานพิณขององค์หญิงฉางเล่ออย่างไรเล่า!”
“งานพิณ องค์หญิงฉางเล่อ” ข้ายิ่งรู้สึกสับสน
หลิวขุยกล่าวต่อ “ใช่แล้ว ผู้คนทั้งบนล่างในเจี้ยนเย่มีผู้ใดไม่ทราบบ้างเล่า องค์หญิงฉางเล่อแต่งงานมาไกลถึงแคว้นเรา ย่อมคิดถึงบ้านเกิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อบรรเทาความเปล่าเปลี่ยวจึงจัดงานพิณขึ้นมา ได้ยินว่าองค์หญิงอยากเห็นความสามารถของบัณฑิตแห่งหนานฉู่เสียหน่อย ทั้งยังได้ยินมาว่าสหายหญิงที่ติดตามองค์หญิงฉางเล่อมาตบแต่งด้วยคือเหลียงหวั่น เซียนพิณแห่งต้ายง ว่ากันว่า เสียงพิณของเหลียงหวั่นบันเทิงใจกระจ่างไร้กังวล สูงส่งเหนือธรรมดา หากมิใช่ว่าองค์หญิงฉางเล่อเป็นสหายสนิทของนาง คงไม่ยอมแต่งมาไกลถึงหนานฉู่เป็นเพื่อนองค์หญิงแน่ ข้ายังได้ยินมาอีกว่า เหลียงหวั่นมีเจตนาเลือกเจ้าบ่าวที่หนานฉู่ ท่านว่าบุรุษยอดเยี่ยมที่ยังไม่แต่งภรรยาคนใดบ้างไม่อยากลองดูเสียหน่อย”
ข้ากล่าวด้วยท่าทีตื่นตะลึง “แต่…มิใช่ว่าเหลียงหวั่นแต่งเป็นเพื่อนองค์หญิงไปแล้วหรือ”
ข้างๆ มีคนกล่าวเจือเสียงหัวเราะ “นั่นเป็นเพียงคำเรียกเท่านั้น ได้ยินว่าองค์หญิงทูลเรื่องนี้กับรัชทายาทนานแล้ว เหลียงหวั่นเป็นดั่งพี่น้องที่ดีขององค์หญิง จะต้องแต่งเป็นภรรยาเอกให้บุรุษยอดเยี่ยมที่เป็นสหายในเส้นทางเดียวกันเท่านั้น”
ข้าหันไปมอง ที่แท้เป็นทั่นฮวา ฝูอวี้หลุนนี่เอง พบว่าเขาเปลี่ยนไปสวมใส่อาภรณ์หรูหรางดงาม บริเวณเอวยังแขวนหยกพกไว้ชิ้นหนึ่ง เชื่อว่าคงมีใจหมายคว้าหงส์มาครองด้วยกระมัง เขามีพื้นเพอยู่ที่ไหวหยาง สมควรเป็นผู้ดีมีฐานะคนหนึ่ง
ข้าแอบขำในใจ หากแม่นางเหลียงหวั่นผู้นั้นโดดเด่นเพียงนี้จริงๆ เชื่อว่าองค์รัชทายาทคงกำมือทอดถอนใจด้วยความเสียดายไปแล้ว ทว่าพระองค์ย่อมต้องไว้หน้าองค์หญิงฉางเล่อ อย่างไรเสีย ภายภาคหน้าหากพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ยังคงเลือกสนมเข้าสามวังหกตำหนัก[7] ได้ตามใจ ส่วนตอนนี้ต้องพยายามเสียหน่อย เพราะจะอย่างไรองค์หญิงฉางเล่อก็มีฐานะแตกต่างกัน
เดิมที ข้ามิได้มีความสนใจอันใด ข้ากระจ่างแจ้งในตัวเองดี ลักษณะหน้าตาของข้าแม้นับว่าไม่เลว ทว่าก็อยู่ในระดับกลางเท่านั้น ความสามารถของข้าแม้นับว่าไม่เลว แต่มีเพียงความสามารถ ไม่มีพื้นเพ โอกาสจะได้บินขึ้นที่สูงย่อมมีไม่มาก ช่วงปีนี้การทหารค่อนข้างคุกรุ่น เหล่าแม่ทัพย่อมเป็นผู้นำการทหารได้ดีกว่าบัณฑิตอย่างพวกเรามาก หนานฉู่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิ ดังนั้นกองกำลังของแว่นแคว้นจึงมิค่อยแข็งแกร่งนัก ในด้านความปลอดภัยยังสู้ไม่ได้กระทั่งแคว้นสู่ในสู่จง หากมิใช่ว่ามีทหารเรือเก่งกาจ ต้ายงคงข้ามแม่น้ำมานานแล้ว
กล่าวโดยสรุปคือ ข้าเจียงเจ๋อ มิใช่เป้าหมายที่ควรค่าให้แย่งชิงอันใด ทั้งยังไม่มีความสามารถในการป้องกันตัวที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องกล่าวว่าเหลียงหวั่นจะต้องตาข้าหรือไม่เลย ต่อให้ต้องตาข้า แล้วข้าจะกล้าแต่งหรือ
ทว่าจะไม่ไปก็ดูไม่ดี ประเดี๋ยวจะทำให้ผู้อื่นคิดว่า ข้าไม่ไว้หน้าองค์รัชทายาทและองค์หญิงฉางเล่อ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจไปสักครั้ง อย่างไรเสีย ข้าก็มิได้เชี่ยวชาญเรื่องพิณ หมาก อักษร ภาพวาดเหล่านั้นนัก เพลงพิณยังสดับได้ การหมากยังวางได้ ทว่ายากจะคว้าชัย การเขียนพู่กันหรือก็นับว่าไม่เลว แต่มิอาจเรียกว่าเป็นนักพู่กันเลื่องชื่อ การวาดภาพน่ะหรือ ข้าก็ฝืนใจวาดลวกๆ ได้เช่นกัน
สิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญที่สุดคือการประเมินค่างานศิลปะและวัตถุโบราณ ข้ามีญาติฝ่ายแม่อยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นเจ้าของโรงรับจำนำที่มีชื่อเสียง เครื่องประดับของล้ำค่าผ่านมือมาไม่น้อย อักษรภาพสมัยโบราณก็ผ่านมือมานับไม่ถ้วน เมื่อปีนั้นข้าเคยติดตามเรียนรู้จากเขา หลายปีนั้นยังอ่านตำราไปมากมาย เชื่อว่าข้าใช้ฝีมือทางด้านนี้หาเลี้ยงชีพได้เลยทีเดียว หากมิใช่เพราะท่านพ่อพาข้าออกไป ข้าล่ะอยากเป็นเจ้าของโรงรับจำนำจริงๆ
[1] เปียวซิว ผู้ที่รับหน้าที่แก้ไขและเรียบเรียงประวัติศาสตร์
[2] ซิวจ้วน ที่รับหน้าที่บันทึกและแก้ไขประวัติศาสตร์
[3] คัมภีร์ทานตะวัน เป็นคัมภีร์สุดยอดวรยุทธ์ที่ปรากฏในนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ปรากฏครั้งแรกในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร
[4] จวงจื่อ นักปราชญ์ในสมัยฮั่น
[5] พลังชี่ คือ ต้นธารของพลังที่ขับเคลื่อนระบบต่างๆ ในร่างกาย
[6] อู่ฉินซี่ เป็นวิธีการเคลื่อนไหวโดยเลียนแบบท่วงท่าของสัตว์ห้าชนิด ใช้เป็นท่าออกกำลังกาย
[7] สามวังหกตำหนัก หมายถึงวังหลัง ซึ่งประกอบไปด้วยพระตำหนักทั้งสามที่มีขนาดใหญ่อันเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิและมเหสี จึงเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าสามวัง และหกตำหนักจะเป็นที่ประทับของนางสนม
ตอนต่อไป