ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 6 บัณฑิตฮั่นหลิน (2)
ข้าคิดเหลวไหลพลางกล่าวตอบพวกเขาไปอย่างมิใคร่ใส่ใจนัก พวกเราเดินมาเช่นนี้กระทั่งถึงหอหมิงเยว่ เดิมทีหอหมิงเยว่เป็นเคหาสน์ของขุนนางระดับสูงผู้หนึ่ง บังเอิญอยู่ติดจวนรัชทายาทที่เพิ่งสร้างใหม่เมื่อหลายปีก่อน ภายหลังรัชทายาทจึงซื้อมันไว้เสียเลย เนื่องด้วยชอบความวิจิตรพิไลของมัน จึงมิได้สร้างให้เชื่อมกับจวนรัชทายาท กล่าวกันว่าเมื่อองค์หญิงฉางเล่อมาถึง ทรงโปรดปรานที่นี่มาก จึงใช้เป็นสถานที่สำหรับเสด็จมายามว่าง ยามเบื่อหน่าย เหลียงหวั่นจัดงานพิณที่นี่นับว่าเหมาะสมจนมิอาจเหมาะสมไปกว่านี้แล้วจริงๆ
พวกเราเดินผ่านประตูข้างสีดำมันปลาบ ข้าสำรวจอุทยานเล็กๆ แห่งนี้ บึงน้ำมรกต เหมยแดงมากมาย เมื่อผนวกกับหอน้อยอันงดงามวิจิตรสองชั้นที่สะท้อนในเกลียวคลื่นแล้ว ช่างงามราวแดนเซียนจริงๆ มิน่าเล่าองค์หญิงฉางเล่อจึงโปรดปรานนัก ข้าเดินพลางใคร่ครวญ หอเล็กๆ เช่นนี้จะรองรับคนได้กี่มากน้อยกันเชียว
กระทั่งพวกเราเดินอ้อมบึงมา จึงค่อยพบว่าหน้าหอเล็กๆ ปรากฏที่ว่างผืนหนึ่ง เดิมทีคงคิดปลูกต้นไม้ดอกไม้ ทว่าตอนนี้กลับถูกทำความสะอาดจนเรียบ ใช้กิ่งสนมาตัดแต่งเป็นเพิงบุปผา ด้านบนมุงด้วยหญ้าคา วางเตาไฟสีแดงไว้รอบๆ มีกลิ่นสุราโชยมาจากด้านใน ทั้งยังมีที่นั่งขนสัตว์วางปูไว้หลายตำแหน่ง
ฤดูเหมันต์ในหนานฉู่มิค่อยหนาวนัก วันนี้โชคดีมีหิมะโปรยปรายลงมา ทำให้ในเพิงเกิดความอบอุ่นสายหนึ่ง เหล่าคุณชายสวมอาภรณ์ขนสัตว์หลากสีสันนั่งอยู่ด้านใน ชมเหมย ชมหิมะพลางร่ำสุราเมรัย ช่างเป็นชีวิตที่สุขอุราดุจจักรพรรดิจริงๆ
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ข้าได้ยินเสียงพวกเขาสนทนาปราศรัย ที่แท้งานพิณขององค์หญิงฉางเล่อมิใช่ผู้ใดจักมาได้ ดังนั้นนอกจากขุนนางหนุ่มหน้าใหม่ทั้งหลายก็มีเพียงลูกหลานผู้มีฐานะที่กล้าเข้าร่วม ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินว่า แต่ละคนพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง มิเช่นนั้นมาแล้วจะมิทำให้ตนเองอับอายหรือ ดังนั้นผู้มาร่วมงานจึงไม่มากดั่งที่ข้าคิด แม้จะเสียใจอยู่บ้างที่ข้าจะมิมาก็ย่อมได้ แต่เมื่อเห็นการต้อนรับเช่นนี้ ยังมีอะไรให้ข้าไม่พอใจอีกเล่า จึงรีบเลือกนั่งลงบริเวณที่นั่งห่างไกลมุมหนึ่ง จากนั้นจึงรินสุราอุ่นร้อนถ้วยใหญ่ เตรียมเอ้อระเหยว่างๆ ไปครึ่งวัน
ไม่นานประตูหอน้อยก็เปิดออก นางข้าหลวงน้อยแน่งประทินโฉมงดงามร่างเพรียวบางสิบสองคนเดินออกมา พวกนางติดม่านมุกหน้าประตู ไม่นานด้านในพลันแว่วเสียงหวนเพ่ย[1] ดังติงตัง ตามมาด้วยกลิ่นหอมจรุงใจ นางข้าหลวงผู้หนึ่งย่อตัวคารวะชดช้อย จากนั้นจึงหันมากล่าวด้วยเสียงกระจ่างใส “องค์หญิงทรงมีรับสั่ง คุณหนูเหลียงหวั่นบรรเลงเพลงอยู่ด้านใน หากผู้ใดทำให้คุณหนูเหลียงหวั่นประทับใจ มิว่าจะด้วยคำกลอน บทกวี พิณ หมาก หรือพู่กันภาพ เช่นนั้นคุณหนูเหลียงหวั่นจะออกมาพบทุกท่านเจ้าค่ะ”
ทุกคนนั่งนิ่ง กลั้นใจเงี่ยหูฟัง ไม่นานเสียงพิณของเหลียงหวั่นพลันดั่งแว่วมาจากในหอ แรกเริ่มเสียงพิณดั่งคลอไร้พลังพาให้ผู้คนต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ต่อมาจึงค่อยผกผันดุจผีเสื้อคลอเคล้าบินโบยออกจากบุหงันงาม เสียงพิณแปรเปลี่ยนไปมา ดังต่อเนื่องมิขาดสาย ประหนึ่งธารน้ำใสไหลจากสิงขรแลดูสดชื่นบริสุทธิ์ ทำให้ผู้สดับรู้สึกเคลิบเคลิ้มอารมณ์ไหลแกว่งไปมา
เมื่อถึงตรงนี้ข้าก็หาวออกมาเล็กน้อย ช่างน่าเบื่อเสียจริง ข้ายังคิดว่าปรมาจารย์พิณจากต้ายงจะมีฝีมือสูงส่งอันใด ทว่าก็เพียงเท่านี้เอง ฝีมือพิณเช่นนี้มิใช่ว่าหนานฉู่ไม่มีเสียหน่อย
ตอนนี้เองเสียงพิณเริ่มต่ำลง ชวนให้ผู้คนรู้สึกง่วงงุน ทว่าจู่ๆ ราวกับขวดเงินแตกกระจาย ประหนึ่งทหารม้าในเกราะเหล็กพุ่งกระโจน เสียงกระชั้นถี่ราวม้าศึกพันตัวโถมโจมตีโดยไร้ผู้ต่อต้าน หลังเสียงพิณปะทุพลันผกผันเป็นลึกล้ำแฝงไอสังหาร องอาจผึ่งผายเจือแววโศกา คล้ายปรากฏทิวทัศน์ทหารหาญในสนามรบ ข้าสดับฟังอย่างจดจ่อ นี่จึงควรค่าให้เรียกขานว่าเป็นเสียงพิณอันยอดเยี่ยม เสียงพิณต่อมาเริ่มคืนสู่ความสงบนิ่ง ดังท่วงทำนองร้องรำหลังศึกใหญ่ มอมเมาให้ผู้ฟังสุขอุรา
เมื่อเสียงบรรเลงสิ้นสุดลง เสียงปรบมือพลันดังกระหึ่มดุจอสนีบาต จากนั้นทุกคนจึงพากันแสดงผลงานอันน่าภาคภูมิใจของตน คิดทำให้เหลียงหวั่นพึงใจยอมออกมาพบหน้าสักครั้ง ทว่าเหลียงหวั่นผู้นั้นมีปณิธานสูงยิ่ง กระทั่งตอนนี้ก็ยังมิยอมออกมาพบ
ภายหลัง สายตาของเหล่าผู้ไร้สมองบางคนกลับเบนมาหยุดอยู่บนร่างข้า คุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งกล่าวกับข้ากึ่งขอร้องกึ่งออกคำสั่งว่า “ได้ยินมานานว่าเจียงจ้วงหยวนมีความสามารถสูงส่ง บท ‘คะนึงหาใต้ศศิธร’ ทำเอาผู้คนตกตะลึงทั้งใต้หล้า เชิญพี่เจียงแต่งกลอนสักบทเถิด จะได้มิขายหน้าบัณฑิตแห่งหนานฉู่ของพวกเรา”
ข้ารู้สึกไร้ซึ่งคำพูดจริงๆ เจ้าพวกนี้นี่ ทำราวกับว่าหากข้าแต่งกลอนดีๆ อันใดไม่ออก จะขายหน้าไปทั้งแคว้นเสียอย่างนั้น ช่างเถิด เจ้าหมอนี่เป็นบุตรโทนของซั่งเหวยจวิน ผู้กินตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ข้าไม่อยากล่วงเกินเขา ผนวกกับเมื่อครู่ได้สดับเพลงพิณยอดเยี่ยมเช่นนั้น ใจข้าจึงคันยุบยิบ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิเรียกหาพู่กันหมึกกระดาษหรือจานฝนหมึก เพียงเอ่ยไปด้วยเสียงดัง
“เสียงหนุ่มสาวกระซิบกระซาบ เอ่ยร่ำลาแก้วตาชวนเศร้าหมอง ผกผันพลันเปลี่ยนไปฮึกเหิมลำพอง โถมสู้ศัตรูขจรเปล่งเสียงลำพองไกล สรรพสิ่งฟุ้งตลบสลายกลายเป็นหมอก ล่องลอยดุจต้นหลิวไร้ราก สัญจรทั่วเวหาสมิทราบเหนือใต้ เสียงสกุณาร้องขาน พานพบหงส์ทะยานแลโดดเดี่ยว หวังปีนป่ายเพียงน้อยกลับมิสมหวัง พลาดพลั้งตกลงมานับพันจั้ง ละอายยิ่งมีหูเพียงคู่ มิค่อยสดับฟังงานชั้นสูง ยินยอดปรมาจารย์บรรเลงพิณ พลันให้ผุดลุกซวนเซ อสุชลรินไหลจนอาภรณ์ชื้น ท่านช่างเก่งกาจโดยแท้ อย่านำเปลวเพลิงและวารีมาสุมข้าอีกเลย”
ในงานเลี้ยงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมีเสียงโห่ร้องดังขึ้น หลายคนรีบสั่งกำชับให้นำพู่กันและหมึกเข้ามา ต้องการบันทึกบทประพันธ์ของข้าลงไป ขณะที่บริเวณนี้กำลังโกลาหล กลับยินเสียงม่านมุกแหวกออก ดรุณีนางหนึ่งในชุดหลัวอี[2] สีเหลืองคลุมด้วยต้าฉ่าง[3] สีเขียวอ่อนเดินออกมา
ข้ามองไป ดรุณีนางนี้อายุประมาณยี่สิบปี ร่างสูงเพรียวได้สัดส่วน ปรากฏส่วนโค้งเว้างดงามเพริศพราย ดูแตกต่างจากสตรีหนานฉู่จริงๆ แม้จะสวมอาภรณ์หนาเนื่องจากอากาศหนาว อีกทั้งยังคลุมด้วยต้าฉ่างทำให้เห็นไม่ชัดเจน ทว่าความรู้สึกงดงามวิลาสที่ปรากฏออกมาอย่างคลุมเครือเช่นนั้นกลับทำให้ผู้คนยิ่งปรารถนา ข้ามองไปยังใบหน้าของนาง แม้นางไม่ได้ผัดแป้งประทินโฉมแต่ผิวกลับกระจ่างใสดุจหิมะ คิ้วทั้งสองเฉียงสู่ขมับ เมื่อรวมกับดวงตากระจ่างใสราวน้ำพุแล้ว ช่างเป็นสตรีงามโดดเด่นจริงๆ
เหลียงหวั่นมองมาที่ข้า ยิ้มบางๆ พลางคารวะแช่มช้อย “ท่านผู้นี้คงเป็นผู้ยอดเยี่ยมแห่งหนานฉู่ จ้วงหยวนของการสอบคราวนี้กระมัง บทกวีของท่านยอดเยี่ยมนัก”
แม้ข้าจะรู้สึกสะลึมสะลืออยู่บ้าง ทว่าในใจกับกระจ่างแจ้งยิ่ง รีบตอบไปว่า “ผลงานต่ำต้อยเช่นนี้ถูกคุณหนูชื่นชมนับเป็นวาสนาของสุยอวิ๋นแล้ว ความจริง ผู้มีความสามารถแห่งหนานฉู่ของเรามีมากมายดุจปุยเมฆ เพียงแต่ผู้แซ่เจียงได้เปรียบที่มีไหวพริบ คิดได้ว่องไวเท่านั้น หากคุณหนูสนใจ มิสู้สนทนากับทุกท่านเป็นอย่างไร” ดวงตางามของเหลียงหวั่นเบนมองไปยังทุกคน ยามนี้ทุกคนรู้สึกราวได้รับการอภัยโทษ รีบห้อมล้อมเข้าไปโดยพลัน
ข้ามิพูดจามากความ ถือโอกาสตอนที่เหลียงหวั่นสนทนาปราศรัยกับทุกคนค่อยๆ ถอยออกไปอย่างแช่มช้า ขณะข้าเดินไปจนถึงประตูข้างก็หันกลับไปโดยไม่รู้ตัว เห็นหน้าต่างหลังหอน้อยเปิดออกครึ่งหนึ่ง ดวงตางดงามกระจ่างคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ข้า ข้ารีบผลักประตูเดินออกไปทันที ผู้ใดกัน
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงรู้สึกว่าอาจเป็นองค์หญิงฉางเล่อ
ภายหลังข้าได้ยินว่า องค์หญิงฉางเล่อพระราชทานหอหมิงเยว่ให้เหลียงหวั่นพำนัก เหลียงหวั่นมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา หากผู้ใดต้องการเยี่ยมเยียนเข้าพบ ขอเพียงแต่งบทเพลงบทกวีหรือแสดงทักษะพิณ หมาก พู่กันภาพอันยอดเยี่ยมวิจิตรออกมาได้ก็มักให้เข้าพบบ่อยครั้ง เหล่าคุณชายที่พิสมัยในตัวเหลียงหวั่นไม่น้อยต่างคิดทำทุกวิถีทางเพื่อได้พบหน้านางสักครั้ง แม้จะมีคนไม่น้อยถูกใจนาง ทว่าเพราะมีองค์หญิงฉางเล่ออยู่ จึงไม่กล้าใช้กำลัง อีกทั้งนับวันเหลียงหวั่นยิ่งมีชื่อเสียงขจรขจาย เช่นนั้นยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินนาง สุดท้ายแม้แต่จ้าวเซิ่งผู้ครองแคว้นยังรับนางเป็นธิดาบุญธรรม แม้มิได้รับเข้าสู่ผังราชวงศ์ แต่ทุกคนเริ่มเรียกขานนางเป็นองค์หญิงหมิงเยว่แล้ว ชื่อเสียงโด่งดังขจรไกล
บัณฑิตฮั่นหลินตัวเล็กๆ อย่างข้าย่อมไม่วิ่งโร่ไปหาเรื่องวุ่นวาย แม้เหลียงหวั่นส่งเทียบเชิญมาให้ข้าหลายครั้ง ข้าก็ใช้ข้ออ้างต่างๆ นานาปฏิเสธไป มีคนถามข้าเรื่องนี้ ข้ากล่าวไปว่า ในหนังสือมีสิ่งล้ำค่าน่าสนใจมากมาย แม้ผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าข้าหัวโบราณ ทว่ายังยินดีที่มีศัตรูแกร่งน้อยลงหนึ่งคน และเพื่อไม่ให้ดูมากเกินไป ข้าจึงกระโจนตัวเองเข้าสู่หอตำราของสำนักฮั่นหลินอย่างกระตือรือร้น เช่นนี้แล้ว ข้าทั้งได้เสพสมหาความสุขใส่ตัว ทั้งได้เลี่ยงสายตาผู้อื่น ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ข้ายินดีจนแทบคลั่ง
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเจ็ด ข้าได้รับราชโองการให้เข้าร่วมการก่อตั้งตำหนักฉงเหวิน ข้าซึ่งเป็นคนหนุ่มผู้มีความสามารถอ่านผ่านตามิลืมเลือน เพียงไม่นานก็กลายเป็นกำลังหลัก นี่ไม่น่าแปลกใจอันใด ข้าทั้งมีความสามารถในการประเมินค่าและชื่นชมอักษรภาพโบราณ ทั้งมีความจําเป็นเลิศ ทำงานในกระบวนการจัดการตำราและอักษรภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และข้ายังหนุ่มแน่นอายุน้อย ไม่ใช้ข้าแล้วจะใช้ผู้ใดเล่า
นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตข้า ตั้งแต่มีราชโองการลงมาจนกระทั่งก่อตั้งตำหนักฉงเหวินเสร็จสิ้น กินเวลาไปทั้งสิ้นสามปี ข้าอยู่ในนั้นตลอด สุขใจจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
แน่นอน ในยามที่ข้าจมอยู่กับทะเลหนังสือ มีเรื่องหนึ่งที่ข้ารู้สึกลางๆ ว่าอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งก็คือความขัดแย้งระหว่างหนานฉู่และแคว้นสู่ที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าข้าไม่มีโอกาสเข้าร่วมและไม่สนใจใคร่รู้อันใด นอกจากนี้ หากจะมีเรื่องที่ค่อนข้างพิเศษคงเป็นเรื่องที่องค์หญิงฉางเล่อทรงพระครรภ์แล้ว ทว่าโชคร้ายแท้งบุตร ว่ากันว่า เป็นเพราะยังเยาว์และไม่คุ้นเคยกับสภาพดินฟ้าอากาศ หลังจากนั้น องค์หญิงฉางเล่อก็สุขภาพไม่ดีมาตลอด ด้วยเหตุนี้ จึงเสด็จไปประทับที่ราชนิเวศน์ริมทะเลสาบโม่โฉวบริเวณชานเมืองของเจี้ยนเย่
ส่วนทางรัชทายาทย่อมมิเปล่าเปลี่ยวแน่นอน นางข้าหลวงที่ตบแต่งมาเป็นเพื่อนองค์หญิงฉางเล่อล้วนเป็นสตรีงามแห่งต้ายง แต่ละนางเชี่ยวชาญศาสตร์ในห้องหอ พวกนางกลายเป็นอนุชายาขององค์รัชทายาทไปนานแล้ว ผู้ที่กล่าวให้ข้าฟังมีสีหน้าอัดแน่นไปด้วยความริษยาในวาสนาของรัชทายาท แต่ข้ากลับหัวเราะเสียงขืน ในความคิดของข้า เกรงว่าองค์หญิงฉางเล่อคงมิโปรดปรานรัชทายาทนัก มิเช่นนั้นเหตุใดจึงย้ายไปพำนักที่ราชนิเวศน์เล่า ก็ถูก ผู้อื่นเป็นถึงองค์หญิงแห่งต้ายงผู้สูงศักดิ์ กลับต้องมาตบแต่งถึงหนานฉู่ เกรงว่าคงไม่มีกะจิตกะใจประจบประแจงรัชทายาทหนานฉู่ผู้ดาษดื่นกระมัง ข้าแอบคิดร้ายในใจว่า ต้ายงให้สตรีงามมากมายตบแต่งเป็นเพื่อนองค์หญิงเช่นนี้เพราะต้องการมอมเมารัชทายาท มิให้องค์หญิงต้องกล้ำกลืนใช่หรือไม่
[1] หวนเพ่ย คือพิณจีนประเภทหนึ่ง
[2] ชุดหลัวอี ชุดของสตรีที่ทำจากผ้าไหม มีลักษณะนุ่ม เบา พลิ้ว
[3] ต้าฉ่าง เสื้อตัวนอกแบบบัณฑิตที่บุรุษนิยมสวมใส่
ตอนต่อไป