ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 62 พฆัคฆ์ปะมังกร (2)
หลี่เสี่ยนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป เมื่อออกจากประตูจวนก็ไม่ยอมขึ้นรถม้า กลับเดินผ่านไปจูงม้าของราชองครักษ์นายหนึ่ง สะบัดแส้ใส่มันอย่างโหดเหี้ยม ม้าหนุ่มตัวนั้นส่งเสียงร้องออกมาก่อนวิ่งทะยานไป หลี่เสี่ยนไม่สนใจเสียงเรียกด้านหลัง ควบม้าทะยานไปด้วยความโกรธเกรี้ยวเช่นนั้นเอง
ข้าที่อยู่ในเรือนฉีเฟิ่งให้เสี่ยวซุ่นจื่อคลายสกัดจุดบนตัวข้า กล่าวด้วยรอยยิ้มพรายว่า “ตัวข้าทั้งหนาวทั้งเต็มไปด้วยกลิ่นสุราแล้ว เร็ว ข้าอยากอาบน้ำ”
เสี่ยวซุ่นจื่อพูดยิ้มๆ ว่า “เตรียมไว้นานแล้ว นิสัยของคุณชายข้าจะไม่ทราบได้อย่างไร”
ข้ามองเขา “เจ้าไม่ถามข้าหรือว่าเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเฉยเมยว่า “ห่างกันเพียงไม่กี่สิบจั้งข้าย่อมได้ยินชัดเจน แต่ไหนแต่ไรข้าเสี่ยวซุ่นจื่อไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของคุณชาย ดังนั้นคุณชายวางใจเถิด ขอเพียงมีเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ ใครก็ทำร้ายคุณชายไม่ได้”
น้ำเสียงในคำพูดของเขาราบเรียบปานนั้น ทั้งยังเต็มไปด้วยความเด็ดขาด ทำเอาข้าอบอุ่นไปทั้งใจ “นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าต้องฝึกวรยุทธ์ให้ดี แม้ข้าจะใช้ปัญญาคุ้มครองตนเองได้เมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่ขุนนาง ทว่าใต้หล้านี้ยังมีโลกอีกใบหนึ่งอยู่ หากยอดฝีมือต้องการสังหารข้า เช่นนั้นก็ต้องดูทางเจ้าแล้ว”
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อมีประกายฮึกเหิมวาบผ่าน ทว่าปากกลับกล่าวไปอย่างเย็นชาว่า “คุณชายโปรดวางใจ ข้าฝึกวิชากระบี่ที่คุณชายมอบให้ตอนนั้นจนเชี่ยวชาญแล้ว แม้จะมีบางคนที่ข้าไม่อาจเอาชนะ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าคิดจะผ่านด่านข้าไปง่ายๆ เชียว”
ข้าผงกศีรษะรับ ที่ผ่านมาเสี่ยวซุ่นจื่อไม่เคยใช้วาจาโอ้อวด ทว่าข้ายังคงถามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ข้าจำได้ เจ้าเคยบอกว่าวิชากระบี่บางอย่างต้องการปราณหยาง เหตุใดตอนนี้จึงใช้ได้แล้วเล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะเสียงเรียบ “คุณชายเชี่ยวชาญหลักเหตุผลเพียงนี้ ไม่รู้หรือว่าสูงสุดของหยินคือหยาง”
ข้ามองสีหน้ายินดีจนปกปิดไม่มิดของเสี่ยวซุ่นจื่อ แม้ข้าจะไม่รู้ชัดแต่ก็พอทราบว่าวรยุทธ์ของเสี่ยวซุ่นจื่อพัฒนาไปถึงขอบเขตใหม่แล้ว ในใจคิดไปว่า ข้าเคยได้ยินคนพูดว่าการฝึกวรยุทธ์จำเป็นต้องใช้เวลายี่สิบกว่าปีจึงจะเรียกได้ว่าถึงขั้นเชี่ยวชาญ เหตุใดเสี่ยวซุ่นจื่อเพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ก็ร้ายกาจเพียงนี้แล้วเล่า หรือเขาเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกยุทธ์จริงๆ
ข้าไม่รู้เลยว่าความคิดเหลวไหลของข้าถูกไปกว่าครึ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อมีพรสวรรค์และสติปัญญาล้ำเลิศ ทั้งยังมีความมานะบากบั่น วรยุทธ์ที่ฝึกก็เหมาะสมกับสภาพร่างกาย กอปรกับที่ติดตามเข้ามาหลายปี ทำให้เขาประสบความสำเร็จด้านความรู้และอักษรไม่น้อย ดังนั้นจึงมีผลสำเร็จเช่นทุกวันนี้ หากเทียบกับปรามาจารย์ทั้งสาม แม้จะยังห่างชั้นอีกไกล แต่ฝีมือของเขาก็ห่างจากยอดฝีมือชั้นสูงธรรมดาไปมากเช่นเดียวกัน
หลังจากข้าเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีเขียวเรียบร้อยแล้วก็เดินตามสืออวี้ไปยังห้องหนังสือลับในจวนยงอ๋องด้วยใจที่อัดแน่นไปด้วยความสุข ที่นี่อยู่ทางขวามือของจวน มีองครักษ์คุ้มครองแน่นหนา ในห้องหนังสือมีเอกสารลับทั้งหมดของจวนอ๋องซ่อนเอาไว้ นอกจากยงอ๋องและสืออวี้แล้ว คนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าไปได้ตามใจ
ผู้ดูแลห้องหนังสือคือเด็กรับใช้อายุราวสิบแปดสิบเก้ารวมสี่คน พวกเขาแต่ละต่างคนวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง เห็นได้ว่าเป็นผู้ติดตามคนสนิทของยงอ๋อง หากเปลี่ยนแปลงยุคสมัยแล้วเพียงมีราชโองการลงมา พวกเขาก็จะกลายเป็นลูกน้องมากความสามารถของยงอ๋องได้ทันที ข้าแอบชื่นชมยงอ๋องในใจว่าอีกฝ่ายไม่สามัญจริงๆ
เมื่อข้าเข้าไปยังห้องหนังสือแล้วก็เริ่มถามถึงรายงานที่ต้องการทันที แม้เสี่ยวซุ่นจื่อจะรายงานข้อมูลที่ได้มาจากเฉินเจิ่นแล้ว แต่จะเทียบกับข่าวกรองที่ยงอ๋องรวบรวมมาทั้งหมดได้อย่างไร เด็กรับใช้ที่อยู่ปรนนิบัติข้ามีความสามารถยิ่งนัก เมื่อข้าคัดเลือกหนังสือตามรายการเสร็จแล้ว เขาก็รีบไปหยิบมาทันที แม้การไม่มีเสี่ยวซุ่นจื่อปรนนิบัติอยู่ข้างกายจะทำให้ข้าไม่คุ้นชินไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นไร หลังจากนี้ข้าจะไปทำงานที่ห้องหนังสือของตน ของในนี้ข้าอ่านเพียงรอบเดียวก็พอแล้ว
หลี่ซิ่นลอบมองบุรุษหล่อเหลาอายุยี่สิบกว่าปีผู้นั้นอีกครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น บิดาของหลี่ซิ่นคือองครักษ์คนสนิทของยงอ๋องที่ตกตายไปเพราะถูกลอบสังหารระหว่างเดินทาง เหลือเพียงเขาที่เป็นเด็กกำพร้า หลี่จื้อเห็นเขาอยู่ลำพังไร้ที่พึ่งพิงจึงรับเขามาดูแลอยู่ในจวนอ๋อง ผ่านไปหลายปี ความขยัน ความช่างสงสัย รวมไปถึงความซื่อสัตย์ภักดีและความเฉลียวฉลาดของเขาก็ได้รับความชื่นชมจากหลี่จื้อจนมอบหมายให้เขาเข้ามาทำงานในห้องหนังสือลับ แม้การทำงานที่นี่จะเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างจำกัดและมีกฎเคร่งครัด แต่ก็ได้มีส่วนร่วมในงานที่เป็นความลับ ได้ติดตามอยู่ข้างกายยงอ๋อง ทั้งยังได้ผลประโยชน์ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยงอ๋องเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อพวกเขาบรรลุนิติภาวะแล้วจะให้พวกเขาออกไปเป็นขุนนาง
หลี่ซิ่นกระจ่างแจ้งดีว่านี่เป็นหนทางแห่งความรุ่งโรจน์ แน่นอนว่าข้อแลกเปลี่ยนย่อมเป็นความซื่อสัตย์ภักดีชั่วนิรันดร์ของตนและความระมัดระวังพยามไม่ทำเกินกว่าเหตุ ดังนั้นความช่างสงสัยจึงเป็นข้อด้อยอันยิ่งใหญ่ของเขา ก่อนหน้านี้มีเด็กรับใช้คนหนึ่งเกิดความสงสัยขึ้นมาชั่วขณะ จึงฝ่าฝืนกฎโดยการแอบดูเอกสาร เมื่อถูกยงอ๋องพบ องค์ชายผู้ใจดีมาตลอดถึงกับบันดาลโทสะครั้งใหญ่ สั่งให้นำตัวไปประหารทันที หลี่ซิ่นยังจดจำภาพอันน่าสังเวชในคราวนั้นได้ไม่มีวันลืม ดังนั้นเขาจึงไม่เคยทำเกินหน้าที่ เขารู้แจ้งแก่ใจว่าไม่ควรคาดเดาฐานะของชายหนุ่มผู้นี้ แต่ในตอนที่เขาพบว่ายงอ๋องรอชายหนุ่มผู้นี้อยู่ที่ห้องหนังสืออีกห้องหนึ่งก็ยังอดสงสัยไม่ได้
ในห้องหนังสืออีกห้องหนึ่ง แม้หลี่จื้อจะอ่านตำราทางการทหารอยู่ ทว่าในใจยังคงรู้สึกไม่สงบ เขามองไปยังสืออวี้ก่อนกล่าวว่า “จื่อโยว เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ารอเขาคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าอย่าทำให้ตนเองเหนื่อยเกินไปนักเลย”
สืออวี้ตอบยิ้มๆ ว่า “วันนี้เจียงสุยอวิ๋นยอมสวามิภักดิ์กับองค์ชายแล้ว ทั้งยังกระทำการเด็ดเดี่ยว แรกเริ่มทำให้ฉีอ๋องวางมือ จากนั้นทำให้เสนาธิการวางใจ จื่อโยวรู้สึกชื่นชมนัก จึงอยากรู้ว่าเขาจะวางแผนการเช่นไรให้องค์ชาย ดังนั้นในเรื่องความร้อนใจของกระหม่อมย่อมไม่แพ้องค์ชายแน่นอน”
หลี่จื้อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว ข้าคาดหวังกับแผนการของเขาจริงๆ เจ้าก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดี ข้าคล้ายกับตกอยู่ในตาข่ายที่พันรัด ยิ่งดิ้นตาข่ายก็ยิ่งรัดแน่น ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเขามีวิธีการอันใดที่จะทำให้ข้าสะบัดตัวออกจากวงล้อมนี้ได้ พอคิดดูแล้วก็ทำให้ข้าตื่นตะลึงจนหนาวเหน็บไปทั้งร่างจริงๆ หาข้าวางยาพิษสังหารเจียงเจ๋อจริงๆ เกรงว่าคงมิอาจย้อนคืนได้อีก”
สืออวี้กล่าวตอบ “ใช่แล้ว โชคดีที่องค์ชายมีคุณธรรม มิเช่นนั้นเจียงเจ๋อจะยอมรับใช้อย่างซื่อสัตย์จริงใจได้อย่างไร กระหม่อมคิดดูแล้วเกรงว่าความคิดของพวกเราคงอยู่ในกำมือเขามาตลอด สุราพิษจอกนั้นคงเป็นบททดสอบที่เจียงเจ๋อมอบให้องค์ชายกระมัง”
หลี่จื้อกล่าวอย่างถามอย่างสงสัย “หากข้าไม่หยุดกะทันหัน เขาจะดื่มสุราพิษจอกนั้นจริงๆ หรือ”
สืออวี้ยิ้มเจื่อน “กระหม่อมก็ไม่ทราบแผนการของเขาจริงๆ แต่ในเมื่อเรื่องไม่ได้ดำเนินไปถึงขั้นนั้น องค์ชายก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดกับมันอีก”
หลี่จื้อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ข้ายังต้องรู้สึกผิดอะไรให้มากมายอีกเล่า จื่อโยว เกรงว่าเขาคงไม่ออกมาเร็วนัก พวกเราวางหมากฆ่าเวลากันเถิด”
สืออวี้กล่าว “ในเมื่อองค์ชายประสงค์เช่นนี้ กระหม่อมย่อมทำตาม องค์ชายโปรดออมมือด้วย”
ทั้งสองสบตากันยิ้มๆ จากนั้นจึงจัดเรียงกระดานหมากเพื่อประลองหมากกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กรับใช้นามหลี่จงก็เดินมากล่าวรายงานว่า “องค์ชาย ตอนที่กระหม่อมไปส่งชา เห็นท่านเจียงคล้ายรำคาญใจ ทั้งยังถามด้วยว่าบ่าวของเขาอยู่ที่ใด”
หลี่จื้อชะงักก่อนมองไปทางสืออวี้ สืออวี้รีบคิดใคร่ครวญจากนั้นจึงกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมเห็นว่าเจียงเจ๋อให้ความสำคัญกับหลี่ซุ่นที่อยู่ข้างกายเขายิ่งนัก คล้ายจะอยู่ห่างกันไม่ได้แม้เพียงเค่อเดียว อีกทั้งหลี่ซุ่นผู้นั้นก็ซื่อสัตย์จริงใจต่อเจียงเจ๋อยิ่ง มิสู้ให้หลี่ซุ่นเข้าไปปรนนิบัติเขาเป็นอย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายหลังหลี่ซุ่นย่อมต้องช่วยเก็บความลับอย่างไม่อาจเลี่ยง”
หลี่จื้อคิดใคร่ครวญก่อนตอบ “ไม่เลว หลี่ซุ่นผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งระหว่างพวกเขานายบ่าวก็มีมิตรภาพลึกซึ้ง หลี่จง เจ้าส่งคนไปที่เรือนฉีเฟิ่ง เรียกหลี่ซุ่นไปปรนนิบัติรับใช้ที่ห้องหนังสือ”
ผ่านไปครู่หนึ่งหลี่จงก็กลับมารายงานอีกครั้ง “องค์ชาย ท่านสือ ท่านเจียงเบิกบานใจยิ่งนัก หลี่ซิ่นรายงานว่า หลี่ซุ่นผู้นั้นรักษากฎอย่างเคร่งครัด ใส่ใจเพียงเรื่องปรนนิบัติรับใช้ ไม่สนใจเนื้อหาในเอกสารเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จื้อจึงค่อยวางใจลงได้ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว จื่อโยว ตาเจ้าแล้ว”
สืออวี้มองไปบนกระดานหมากก่อนกล่าวยิ้มๆ ว่า “องค์ชายไม่มีสมาธิ ท่าทางหมากกระดานนี้กระหม่อมจะชนะแล้ว”
หลี่จื้อมองไปยังหมากสีขาวที่ถูกล้อมด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน “ใช่ ข้าแพ้แล้ว”
สืออวี้กล่าวต่อ “นี่เป็นเพราะกระหม่อมใส่ใจ แต่องค์ชายกลับสนใจเรื่องทางโน้น กระดานต่อไปอย่าปล่อยให้กระหม่อมชนะได้เชียว”
หลี่จื้อแยกหมากพลางกล่าวว่า “อืม ดูเถิด ประเดี๋ยวข้าจะสังหารเจ้าให้โลหิตไหลนองเต็มสายธารเลยเชียว”
ทั้งสองค่อยๆ จมจ่ออยู่กับกระดานหมาก เมื่อจบหมากกระดานที่สาม สืออวี้ก็ยืดตัวขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง ยามนี้เป็นช่วงรุ่งอรุณพอดี นอกหน้าต่างยังคงมืดมิด ส่วนหลี่จื้อมองไปที่กระดานหมากพลางกล่าวว่า “ข้าชนะครึ่งตา”
สืออวี้ยิ้ม “ฝีมือการวางหมากขององค์ชายไม่ธรรมดาจริงๆ ขอเพียงตั้งใจ กระหม่อมย่อมพ่ายแพ้”
ตอนนี้เองหลี่จงเดินเข้ามารายงานอีกครั้ง “องค์ชาย ท่านสือ ท่านเจียงขอเข้าเฝ้าองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ไม่สนใจแยกหมากอีก รีบลุกขึ้นยืนพลางกล่าวว่า “ท่าทีของเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่จงตอบ “สีหน้าของท่านเจียงดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ดูท่าทางนิ่งสงบ ทั้งยังกล่าวหยอกล้อบ่าวด้วย บอกให้บ่าวไปลากองค์ชายออกมาจากตำหนักบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดความกังวลตลอดคืนของหลี่จื้อก็สลายไป เขาทอดถอนใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ยังดี ยังดี”
สืออวี้มองออกไปนอกหน้าต่างเก่าด้วยท่าทีดีอกดีใจ “องค์ชาย ท่านดู”
หลี่จื้อเงยหน้าขึ้นมองไป พบว่านอกหน้าต่างมีแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณสาดส่องผ่านชั้นเมฆลงมา ท้องฟ้าทางบูรพาทิศมีแสงขาวระยิบระยับ หลี่จื้อกล่าวด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “เป็นแสงแรกที่ดีจริงๆ ไป พวกเราไปพบเจียงเจ๋อกันเถิด”
กล่าวจบก็เดินออกไปข้างนอก สืออวี้พิจารณาท่าทีดุจมังกรปะพยัคฆ์ของหลี่จื้อ คล้ายปลดเปลื้องหินใหญ่ที่กดทับอยู่ในใจออกไปได้ ค่อยๆ เดินตามอีกฝ่ายไป