ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 16 งานเลี้ยงปีใหม่ (2)
ข้ากล่าวเจือรอยยิ้ม “ที่แท้ยังมีเรื่องน่าสนใจเช่นนี้อยู่ด้วย ข้าอยากไปดูจริงๆ น่าเสียดายที่ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องการขี่ม้ายิงธนูหรือวรยุทธ์ใดๆ เช่นนี้คงเข้าร่วมการแข่งขันไม่ได้กระมัง”
สืออวี้ยิ้มตอบ “เรื่องนี้ถูกประกาศออกไปนานแล้ว ดูท่าทางหูทั้งสองของท่านคงไม่ยอมรับฟังข่าวจากนอกจวนเลยกระมัง คราวนี้ขุนนางทั้งเล็กใหญ่ในราชสำนัก รวมถึงเหล่าราษฎรในนครฉางอันเริ่มพนันขันต่อกันแล้ว รายนามผู้ร่วมการแข่งขันก็ถูกประกาศไปทั่วแผ่นดินแล้ว แม่ทัพเฉิง ซึ่งก็คือเว่ยกั๋วกงยังมานั่งเป็นเจ้ามือพนันด้วยตัวเองด้วย นับว่าเขาเป็นผู้ที่มีความยุติธรรมที่สุด แน่นอนว่าในเมืองฉางอันก็มีบ่อนพนันหลายแห่งที่เริ่มเปิดรับพนันแล้วด้วย”
ข้ายิ้มเจื่อนๆ “แม้จะมีเจ้ามือแต่ข้ากลับไม่เชี่ยวชาญเรื่องการขี่ม้ายิงธนูหรือวรยุทธ์ใดๆ ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับคนที่ร่วมประลองเหล่านั้นด้วย”
สืออวี้ยิ้มตอบ “ท่านจะกลัวอะไรเล่า หากกล่าวถึงความเข้าใจต่อบุคคลที่เข้าร่วมการแข่งขันเหล่านี้ เกรงว่าหากจวนยงอ๋องกล่าวว่าตนเองเป็นที่สองก็ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าตนเองเป็นที่หนึ่งแล้ว เพียงบอกกล่าวต่อท่านก็พอแล้วไม่ใช่หรือ
คราวนี้มีสามคนที่เป็นตัวเต็ง คนแรกคือเหวยอิง ซือจื่อของอัครมหาเสนาบดีเหวย ตอนนี้กินตำแหน่งองครักษ์ที่ปรึกษาสังกัดกรมมหาดไทย ว่ากันว่าปีนี้จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นองครักษ์ที่ปรึกษาประจำพระราชวังสังกัดกรมมหาดไทยด้วย แม้เขาจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นแต่ก็เชี่ยวชาญการขี่ม้า อีกทั้งในตระกูลของอัครมหาเสนาบดีเหวยก็มีม้าเหงื่อโลหิตอันล้ำค่าอยู่ด้วยตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะได้รับชัยชนะในการแข่งม้า
อีกคนหนึ่งคือฉินชิง ซือจื่อแห่งแม่ทัพใหญ่ฟู่หย่วน เขาก็คือแม่ทัพหู่เวยแห่งต้ายง ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดการขี่ม้ายิงธนูมาจากตระกูล นับว่าไม่เป็นสองรองใครในหมู่แม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ของต้ายง
สุดท้ายคือเซี่ยโหวเหยียนเฟิง บุตรชายของเซี่ยโหวหลันผู้เป็นราชเลขาประจำกรมพิธีการ คนผู้นี้ได้รับการขนานนามว่าบุรุษผู้งดงามเป็นอันดับหนึ่งในนครฉางอัน รูปงามดั่งพานอัน[1]ซ่งอวี้[2] วรยุทธ์ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เป็นองครักษ์ขั้นสอง เป็นรองผู้ดูแลสมุหราชองครักษ์ เป็นองครักษ์ที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิที่สุด กล่าวกันว่าวรยุทธ์ของคนผู้นี้สูงส่งไม่อาจคาดเดา เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่องครักษ์รุ่นเยาว์แห่งกลุ่มสมุหราชองครักษ์ ได้รับการสั่งสอนวรยุทธ์มาอย่างยอดเยี่ยม”
ข้ากล่าวตอบเรียบๆ “อัจฉริยะแห่งต้ายงมีไม่น้อยเลยจริงๆ”
สืออวี้เห็นข้ามีท่าทีไม่ดีจึงหยุดปากตนเองด้วยความฉงนงงงวย เมื่อย้อนคิดดูอีกครั้งจึงทราบว่าข้านึกถึงเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊แห่งหนานฉู่ เขาทราบดีว่าไม่อาจกล่าวเรื่องนี้ออกมาอีกจึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยการแนะนำขุนนางคนอื่นๆ ให้ข้ารู้จัก
ขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยสนทนากันเป็นการส่วนตัวนั้นเอง ด้านข้างก็มีเสียงกล่าวเตือนดังขึ้นเบาๆ ข้าเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าฉีอ๋องและขุนนางหนุ่มอีกคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ข้าและสืออวี้รีบลุกขึ้นยืน หลี่เสี่ยนเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเราสองคนก่อนกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เหล่าขุนนางล้วนสนุกสนานกับงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ทุกคนต่างกำลังแลกเปลี่ยนจอกสุราแก่กัน เหตุใดท่านทั้งสองกลับเอาแต่สนทนาลับๆ ล่อๆ กันอยู่ที่นี่เล่า”
สืออวี้ตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ “องค์ชาย เจียงซือหม่าเพิ่งมาต้ายงเป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยกระจ่างแจ้งเรื่องในราชสำนัก ดังนั้นกระหม่อมจึงแนะนำให้เขารู้คร่าวๆ ตอนนี้พวกเราเป็นขุนนางต่ำต้อย จะกล้ากระทำการโอหังได้อย่างไร ใต้เท้าเหวย ท่านนี้คือเจียงเจ๋อ เจียงสุยอวิ๋น ซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อ สุยอวิ๋น ท่านนี้คือใต้เท้าเหวย เหวยอิง เป็นจ้วงหยวนปีที่ยี่สิบเอ็ด ตอนนี้เป็นองครักษ์ที่ปรึกษาแห่งกรมมหาดไทย”
ข้าคารวะด้วยท่าทีสบายๆ เหวยอิงมีอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปีซึ่งใกล้เคียงกับข้า คนผู้นี้มีหน้าตากระจ่างใส ท่วงท่าสง่างาม กริยาท่าทางเจือบรรยากาศสูงส่งอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่และเป็นขุนนางหนุ่ม แต่กลับไม่มีท่าทีโอหังอวดดีแม้แต่น้อย ทำให้ผู้ที่ได้พบเจอเกิดความรู้สึกดี
เดิมทีเหวยอิงได้ยินฉีอ๋องกล่าวว่าเจียงเจ๋อเจียงสุยอวิ๋นยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายงแล้ว อีกทั้งยังมีใจเอนเอียงมาทางองค์ชาย ทำให้เขารู้สึกดีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงขอให้ฉีอ๋องพาตนมาพบอีกฝ่าย เขาเป็นจ้วงหยวนเมื่อสามปีก่อนย่อมต้องรู้สึกยินดียิ่ง เขามักได้ยินผู้คนกล่าวกันว่า หากจะกล่าวถึงเรื่องบทกวีอันยอดเยี่ยมตนยังไม่สู้คนของเจียงหนาน และในหมู่คนเหล่านั้น เจียงเจ๋อผู้เป็นจ้วงหยวนแห่งหนานฉู่ในปีรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหก (ต้ายงรัชศกอู่เวยปีที่สิบเจ็ด) เป็นผู้ยอดเยี่ยมที่สุด คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะทางบทกวีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหนานฉู่ กวีบท ‘คะนึงหาใต้ศศิธร’ โด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้า กวีบท ‘แตกสลายเพียงครู่’ ใช้บีบสู่อ๋องจนตาย อีกฝ่ายถูกเรียกขานเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของหนานฉู่ไปนานแล้ว เพียงแต่หลังการโจมตีแคว้นสู่ก็คล้ายจะนอนป่วยไม่หาย ภายนอกจึงค่อยเห็นค่างานกวีของเขา
เหวยอิงเคยคัดลอกบทกวีของอีกฝ่ายเท่าที่รวบรวมได้ พบว่ากวีทุกบทเมื่อได้อ่านแล้วกลับวางไม่ลงจริงๆ วันนี้เมื่อได้พบเจียงเจ๋อ เหวยอิงรู้สึกว่าช่างสมคำร่ำลือจริงๆ ชายหนุ่มผู้นี้อายุมากกว่าตนราวหนึ่งถึงสองปี แม้รูปร่างจะผ่ายผอมไปบ้าง รูปโฉมก็มิได้หล่อเหลาเท่าตน ทว่าบรรยากาศสบายๆ ที่เจือไปด้วยความอบอุ่นและเย็นชาจางๆ กลับทำให้เหวยอิงเกิดความรู้สึกเข้าอกเข้าใจอย่างประหลาด
เหวยอิงเดินเข้ามาคารวะ “ได้ยินมานานว่าพี่เจียงเป็นอัจฉริยะแห่งยุค วันนี้ได้พบนับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ ผู้น้อยเหวยอิงขอคารวะท่านเจียง”
ข้ารู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าคุณชายของท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้จะถ่อมเนื้อถ่อมตัวเช่นรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ ดังนั้นจึงคารวะกลับไปอีกครั้ง “ข้าเป็นเพียงคนเดินดิน มิกล้ารับคารวะจากใต้เท้าเหวยหรอกขอรับ ใต้เท้าเป็นจ้วงหยวนแห่งต้ายง เช่นนั้นเรื่องอัจฉริยภาพย่อมไม่ธรรมดาสามัญแน่นอน หากมีโอกาส เจียงเจ๋อยังอยากขอคำชี้แนะจากใต้เท้า”
เหวยอิงกล่าวอย่างยินดี “หากพี่เจียงยินดีสั่งสอนจริงๆ เหวยอิงย่อมรู้สึกตื่นเต้นยิ่ง วันหน้าหากมีโอกาส เหวยอิงย่อมไปคารวะถึงประตูเป็นแน่”
พวกเรากล่าวถ่อมตัวคนละประโยคสองประโยค หลี่เสี่ยนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกทนไม่ไหว เดิมทีเขาคิดชักนำสองบัณฑิตมาพบกัน คิดว่าหากเหวยอิงมาย่อมต้องค่อนแคะเจียงเจ๋อไปสักหลายประโยคอย่างมิอาจเลี่ยง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะทำราวกับเป็นสหายเก่าพบพาน เช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ เขาคบคิดในใจอย่างเฉียบแหลมก่อนร้องเรียกทันควัน “ฉินชิง เจ้ามานี่หน่อย”
แม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งส่งเสียงตอบรับพลางเดินเข้ามา ข้ามองสำรวจอย่างละเอียด พบว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้มีรูปโฉมคล้ายฉินอี๋อยู่บ้าง เพียงแต่ไหล่กว้างขายาวกว่า อีกทั้งยังมีร่างกายสูงใหญ่ ไม่มีลักษณะบัณฑิตดั่งบิดา ดูท่าทางเขาจะสนิทสนมกับฉีอ๋องเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “องค์ชายทรงเรียกหากระหม่อม มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีอ๋องชี้มาที่ข้าพลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านนี้คือเจียงเจ๋อ เจียงสุยอวิ๋น ผู้ที่บีบสู่อ๋องจนตาย เจ้ากล่าวว่าอยากพบเสียหน่อยไม่ใช่หรือ”
ฉินชิงมองมาที่ข้าครู่หนึ่ง ในดวงตาปรากฏแววเย้ยหยัน กล่าวเสียงดังกระจ่างขึ้นโดยพลัน “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าเจียงใช้กวีบทแตกสลายเพียงครู่บีบสู่อ๋องจนตาย คงคิดไม่ถึงกระมังว่าวันนี้ตนเองจะต้องคุกเข่ายอมแพ้เช่นนี้” เสียงของเขาดังกระจ่างยิ่ง ทำให้ตำหนักกานลู่เงียบสงัดลงโดยพลัน สายตาทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่พวกเรา
สืออวี้และเหวยอิงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนก็มิอาจกล่าววาจาช่วยเหลืออันใดได้ ส่วนข้ากลับมีท่าทีสบายๆ ตอบไปด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด “สู่อ๋องสิ้นชาติสิ้นศักดิ์ฐานะ จะคิดฆ่าตัวตายก็นับว่าสมควรแล้ว ส่วนเจียงเจ๋อแม้จะขับกวีส่งสู่อ๋องสู่ควายตาย ทว่าเป็นสู่อ๋องที่รู้สึกอัปยศไปเองจึงมีคำเยินยอเช่นนี้ออกมาได้ กลับกัน เจ้าแคว้นหนานฉู่เป็นเขยของฝ่าบาท มีความสัมพันธ์ดุจบิดาและบุตร ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีบิดาคนใดทำโทษให้บุตรชายฆ่าตัวตาย ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ขุนนางที่กล่าวชี้แนะอย่างจริงใจหลายครั้งแต่กลับถูกตำหนิซ้ำๆ เช่นนี้ คงมีแต่ชวีหยวนเพียงผู้เดียวที่คิดตายเพราะรู้สึกอัปยศต่อการตายของเจ้าแคว้น ตอนนี้เจ้าแคว้นของหนานฉู่ยังอยู่ แม้เจ้าแคว้นจะพบความยากลำบาก แต่หากคิดให้เจียงเจ๋อสละชีวิต เช่นนั้นคงมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในประวัติศาสตร์แล้ว ทว่าคนรุ่นหลังคงมองว่าเจ้าแคว้นของข้าเป็นทรราชย์เสียมากกว่า นี่เป็นความอัปยศของเจ้าแคว้นและขุนนางซึ่งขัดต่อคุณธรรมของขุนนาง ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะกระทำแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าแคว้นแห่งข้าเป็นทรราชย์ มิใช่ว่าท่านแม่ทัพต้องการเห็นฝ่าบาทสละชีพเพื่อฉินฮุ่ยอ๋อง หรือพระเจ้าฉินที่สองเช่นกันหรือไร เช่นนี้ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพหวังให้ต้ายงสืบต่อไปกี่รุ่นกัน”
เมื่อฉินชิงได้ยินคำพูดนี้ของข้า สีหน้าพลันเขียวคล้ำไปโดยพลัน เหวยอิงมีความประหลาดใจเต็มหน้า ส่วนสืออวี้ทำเพียงก้มหน้าแอบซ่อนรอยยิ้ม ในดวงตาของหลี่เสี่ยนปรากฏความอิจฉาและริษยา พวกเราทางด้านนี้หยุดชะงักไปชั่วขณะ ไม่นานก็มีเสียงคนปรบมือและเสียงร้องว่าดีดังขึ้น
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง พบว่าเป็นหลี่หยวนที่กำลังปรบมือชมเชย ดังนั้นจึงวางใจลงได้ ยงอ๋องที่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉินชิง ท่านเสียเปรียบแล้ว เสด็จพ่อ คนผู้นี้คือเจียงเจ๋อ อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่ เจียงเจ๋อ ยังไม่รีบมาถวายพระพรฝ่าบาทอีก”
ข้าเดินเข้าไปถวายพระพรด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ถ่อมตัวไม่โอหัง หลี่หยวนแย้มสรวลออกมา “ดี เจิ้นได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ท่านละทิ้งหนทางมืดมิดเข้าสู่เส้นทางสว่างเช่นนี้ได้ทำให้เจิ้นรู้สึกยินดีจริงๆ ได้ยินยงอ๋องกล่าวว่าท่านสุขภาพไม่ดี มักนอนป่วยติดเตียงอยู่บ่อยๆ หากมิใช่เช่นนี้ เจิ้นยังอยากให้ท่านมาทำงานในสำนักตรวจฎีกากลางจริงๆ จะได้คัดลอกฎีกาให้เจิ้น”
ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ตอนเด็กกระหม่อมมีสุขภาพอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งในกาลก่อนยังเคยเจ็บไข้ระหว่างเดินทัพ แม้จะรักษาหายแล้วแต่ต้นตอของโรคยังคงอยู่ ยงอ๋องเห็นแก่ที่กระหม่อมมีร่างกายอ่อนแอจึงอนุญาตให้กระหม่อมอยู่ข้างกายเพื่อรักษาตัว นี่นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณขององค์ชาย และเป็นเกียรติของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หยวนรู้สึกยินดียิ่งขึ้น “ดี นี่ก็นับเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง ท่านอย่าได้ท้อแท้หดหู่เพราะคำพูดของแม่ทัพฉินเชียว จัดการงานไปให้ดีเล่า ต้ายงของพวกเราไม่ปฏิบัติต่อผู้ทรงความรู้ทั่วหล้าอย่างย่ำแย่แน่นอน”
ข้าโค้งตัวคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณอีกครั้ง หลี่หยวนโบกมือให้ข้าถอยออกไป ส่วนยงอ๋องก็กล่าวอำลาเช่นกัน ยงอ๋องพาข้ามาข้างกายฉินชิงก่อนกล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพฉิน เจียงซือหม่า พวกท่านล้วนเป็นคนหนุ่มอัจฉริยะ อย่าได้บาดหมางใจกันเลย ให้ข้าเป็นคนกลางประสานรอยร้าวระหว่างพวกท่านเถิด”
เดิมทีฉินชิงโกรธจนหน้าแดงหูแดง เมื่อเห็นยงอ๋องกล่าวโน้มน้าวเช่นนี้จึงถือโอกาสหาทางลงให้ตนเองโดยการกล่าวขออภัยข้า ข้าก็ปฏิบัติตามมารยาทอันควรกลับไป
ตอนนี้เองมีเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหลังข้า “ดี ในที่สุดก็มีคนทำให้ข้าได้เห็นพี่ฉินพบความลำบากแล้ว”
ข้าหันกลับไปมอง พบว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลางดงามสวมใส่อาภรณ์ที่ทำจากผ้าไหมทั้งร่างผู้หนึ่ง ชายหนุ่มท่านนี้อายุไม่เกินยี่สิบสองปี ใบหน้างดงามหล่อเหลาเป็นเอกดั่งซ่งอวี้ พานอัน มีร่างกายสูงโปร่ง ท่วงท่าสง่างามดุจหยกชั้นดี ดูผิวเผินราวกับรูปปั้นหยกที่ถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างประณีต
คนผู้นี้หัวเราะออกมาก่อน จากนั้นจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “อัจฉริยะแห่งหนานฉู่ทำให้ข้าเซี่ยโหวเหยียนเฟิงนับถือจริงๆ” กล่าวจบก็เดินเข้ามาคารวะ ข้าจึงคารวะตอบ ไม่ถ่อมตัวไม่โอหัง ทั้งยังแย้มยิ้มโดยไม่กล่าววาจาใด
ขณะนี้คล้ายว่าสายตาของทุกคนกำลังไหลมารวมกันอยู่ที่นี่ ทั้งยงอ๋อง ฉีอ๋อง เหวยอิง ฉินชิงและเซี่ยโหวเหยียนเฟิง พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่ดึงดูดสายตาผู้คนได้ดีจริงๆ เมื่อยืนรวมกันเช่นนี้ทำให้รู้สึกราวกับรัศมีทั้งหมดในตำหนักกานลู่มารวมศูนย์กันอยู่ที่นี่ ดึงความสนใจของขุนนางทุกคน ส่วนเจียงเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างกายเหล่าอัจฉริยะแห่งต้ายงเหล่านี้ แม้จะมีฐานะไม่โดดเด่นทั้งยังมีรูปโฉมสามัญและมิได้มีกลิ่นอายน่าเกรงขามอันใด แต่กลับสร้างร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจพวกเขาได้อย่างน่าประหลาด ประหนึ่งตัวตนของบรรพตเขียวธาราใส ไม่ว่ารัศมีของผู้อื่นจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจปิดบังความสง่างามที่คละเคล้าไปด้วยความเย็นสบายดุจน้ำพุท่ามกลางป่าเขาเช่นนั้นไปได้เลย
[1] พานอัน เป็นนักกวีในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออกที่ขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลา
[2] ซ่งอวี้ เป็นนักปราชญ์นักกวีผู้เป็นศิษย์ของชวีหยวนกวีเอกผู้โด่งดังในสมัยฉู่ คนผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลาถึงขั้นถูกฮ่องเต้ในสมัยนั้นขับออกจากวัง
ตอนต่อไป