ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 9 ตัวหมากวิจิตร (1)
ข้าถือคำสารภาพเดินมุ่งไปยังเรือนชีเฟิ่งเพราะอยากพบโหรวหลันบุตรีบุญธรรมของข้าเสียหน่อย ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่านางคือบุตรีที่วิญญาณของเพียวเซียงซึ่งอยู่ในปรโลกส่งมาให้ข้า ข้าเร่งรุดเดินก้าวกลับไปที่เรือนชีเฟิ่ง เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นยงอ๋องกำลังนั่งหยอกล้อกับโหรวหลันตัวน้อยอยู่ที่นั่น
ข้าเดินเข้าไปกล่าวคารวะอย่างนอบน้อม ปล่อยให้องค์ชายรอนานแล้ว ข้าเพิ่งไต่สวนนักโทษเสร็จ ไม่ทราบว่าองค์ชายรออยู่ที่นี่
หลี่จื้อกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้ม ข้าได้ยินว่าท่านรับบุตรบุญธรรมคนหนึ่งจึงมาดูโดยเฉพาะ สถานการณ์เป็นเช่นไรหรือ
ข้ายิ้มตอบ องค์ชาย กระหม่อมทราบเรื่องกองกำลังกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วในต้ายงโดยบังเอิญจึงไต่สวนให้ชัดเจน แม้ผ่านไปคืนหนึ่งแล้วอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมิอาจเลี่ยง ทว่าหากคิดจัดการให้สิ้นในคราวเดียวก็ยังง่ายดาย
หลี่จื้อมองข้าด้วยความลังเล ข้าจึงกล่าวต่อไปอย่างกระจ่างแจ้ง เจตนาขององค์ชายกระหม่อมย่อมทราบดี ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเพียงขุ่นเคืองเรื่องระหว่างสู่จงและหนานฉู่ เห็นต้ายงเป็นเพียงสถานที่พักฟื้นแห่งหนึ่ง ดังนั้นองค์ชายจึงต้องการเก็บกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไว้ก่อน
หลี่จื้อคลี่ยิ้ม ปิดบังท่านไม่ได้เลยจริงๆ ข้ารู้เรื่องการมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วนานแล้วแต่ไม่ได้สืบสวนเรื่องนี้ชั่วคราว ทว่ายามนี้พวกเขากระทำการกำเริบเสิบสาน ต่อไปหากมีข่าวลือออกไปว่าต้ายงเคยสนับสนุนพวกเขา เกรงว่าต้ายงคงมิอาจครองใจประชาชนในตงชวนและสู่จงได้แล้ว
ข้าโค้งตัวตอบ องค์ชายโปรดวางพระทัย กระหม่อมมีแผนการที่จะทำให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วยอมปล่อยมือจากอำนาจไปส่วนหนึ่ง แต่จะต้องกำจัดกองกำลังทั้งหมดของพวกเขาที่อยู่ในนครฉางอันไปเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพวกเขาคิดดึงต้ายงเข้าไปพัวพันในอนาคตก็จะทำไม่ได้อีก
ยงอ๋องกล่าวต่อ เช่นนี้ก็ดี จะได้เลี่ยงไม่ให้พวกเขาฉวยโอกาสยามฉางอันวุ่นวายสร้างปัญหา จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นศัตรูคู่แค้นกับต้ายง ข้าพอจะมีข่าวกรองอยู่ในมือบ้างแล้ว หากนำไปรวมกับคำสารภาพที่ท่านได้มาสมควรเพียงพอแล้ว ข้าจะออกคำสั่งล้อมปราบทันที
ข้าส่ายหน้าก่อนบอก เพียงกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ต่อให้องค์ชายปราบปรามสำเร็จจะมีผลงานอันใดเล่า หากองค์ชายวางใจโปรดให้กระหม่อมคิดแผนการเกิด กระหม่อมมีแผนที่จะกำจัดกองกำลังกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วในฉางอันได้ ทั้งยังทำให้กลยุทธ์คว้านใจของกระหม่อมเป็นจริงได้อีกด้วย
ยงอ๋องดวงตาเปล่งประกาย ในเมื่อข้ามอบอำนาจให้ท่านเต็มที่แล้ว เช่นนั้นท่านก็เป็นผู้รับผิดชอบไปเถิด หากต้องการการสนับสนุนจากข้าก็รีบบอกกล่าวมาได้เลย
ข้ายิ้มขอบคุณ ขณะนั้นเอง ยงอ๋องมองไปยังโหรวหลันก่อนกล่าวว่า ท่านอยู่ตัวคนเดียว บุตรีของท่านก็อายุน้อยเช่นนี้ ไม่มีมารดาคอยดูแลคงไม่เหมาะสมนัก ช่วงนี้ชายาของข้ากำลังเสียใจที่ซื่อจื่อต้องเดินทางไปโยวโจวจนรู้สึกว่างเปล่า หากท่านไม่รังเกียจ มิสู้ให้พระชายาคอยดูแลโหรวหลันเป็นอย่างไร ท่านจะได้ไม่ต้องกังวลด้วย
ข้าคิดครู่หนึ่งแล้วค่อยตอบไปว่า แต่หากเป็นเช่นนี้กระหม่อมคงไม่สะดวกไปเยี่ยมเด็กสาวตัวน้อยกระมัง
ยงอ๋องแย้มยิ้ม ไม่เป็นไร หากท่านคิดถึงบุตรีก็ให้เสี่ยวซุ่นจื่อไปรับตัวนางกับพระชายาได้
ข้าคิดใคร่ควญ ด้วยฐานะของเสี่ยวซุ่นจื่อ หากจะเข้าออกเรือนในย่อมไม่เคร่งครัดนัก นี่นับว่าเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง จึงตอบไปว่า เช่นนั้นกระหม่อมต้องขอบพระทัยองค์ชายแล้ว พระชายาต้องเลี้ยงดูบุตรตรีกระหม่อมให้เป็นกุลสตรียอดเยี่ยมได้แน่ องค์ชายโปรดขอบพระทัยพระชายาแทนกระหม่อมด้วย
ยงอ๋องมองข้าครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า ปีนี้ท่านก็อายุยี่สิบแล้ว เหตุใดยังอยู่ตัวคนเดียวเล่า สมควรแต่งงานได้แล้วกระมัง
คำพูดของยงอ๋องกระตุ้นความเจ็บปวดในใจข้าอีกครั้ง ข้าเงียบไปนานก่อนบอกไปว่า เดิมทีข้ามีภรรยาที่ยังไม่ได้ตบแต่งอยู่ผู้หนึ่ง เพียงแต่งานแต่งงานยังไม่สมบูรณ์ นางก็จากไปก่อน
ยงอ๋องถึงกับตะลึงพรึงเพริด ข้าไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ แต่การตบแต่งภรรยาและให้กำเนิดบุตรชายเป็นความกตัญญูที่พึงกระทำ ท่านมิอาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้ หากท่านต้องการข้าจะขอให้พระชายาเลือกสตรีดีงามให้ท่านคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร
ข้ายิ้มอย่างปลงอนิจจัง นิสัยของกระหม่อมเป็นพวกรักอิสระ เพียงแค่ยังไม่ได้สันโดษขั้นตัดขาดจากโลกเท่านั้น กระหม่อมมิอยากทำให้สตรีดีๆ ต้องผิดหวัง ดังนั้นเรื่องนี้องค์ชายไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ
ยงอ๋องสายหน้าพลางทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เรื่องนี้ภายหลังค่อยว่ากัน ท่านไปทำงานเถิด ข้าเชื่อว่าท่านต้องสร้างผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจให้ข้าได้แน่
ข้าโค้งคารวะ องค์ชายโปรดวางพระทัย อีกไม่นานองค์ชายจะวางคนสนิทไว้ข้างกายรัชทายาทได้แน่
เซี่ยจินอี้คิดว่าตนไม่เคยพบกับความหวาดกลัวเพียงนี้มาก่อน ตัวเขามีนิสัยเสเพลและบางครั้งก็บุ่มบ่ามเกินไปบ้าง จึงไปล่วงเกินผู้อาวุโสในสำนักจนกระทั่งถูกขับออกจากสำนัก ต่อมาคิดเข้าร่วมกับสมาพันธ์กวนจงทว่าก็ยังไปล่วงเกินคุณหนูเจียงเสียได้ ด้วยความสิ้นไร้หนทางจึงได้แต่ไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์น้องคนหนึ่ง
ศิษย์น้องของเขาผู้นี้มีนิสัยเถรตรงแต่มีความสัมพันธ์กันไม่เลว ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นองครักษ์ผู้ดูแลระดับสูงอยู่ที่จวนรัชทายาท ด้วยความสิ้นไร้หนทางเขาจึงได้แต่ขอร้องให้ศิษย์น้องช่วยแนะนำงาน มิเช่นนั้นเขาที่ไม่มีความสามารถในการสอบเคอจวี่และไม่มีความสามารถในการสังหารศัตรูจะอาศัยสิ่งใดทำให้ตนโดดเด่นได้เล่า
น่าเสียดาย ยังไม่ทันพบศิษย์น้อง เขาก็ถูกสมาพันธ์กวนจงปิดล้อมเสียก่อนจึงได้แต่คิดแผนการหนีออกมาอย่างจนใจ ผู้ใดจะทราบว่าคนที่ตนใส่ร้ายจะเป็นถึงซือหม่าแห่งจวนยงอ๋อง เดิมทีเรื่องนี้ทำให้เขาท้อแท้ยิ่งนัก แต่ศิษย์น้องบอกเขาว่าหากรัชทายาททราบเรื่องจะต้องรั้งเขาไว้เพื่อใช้หักหน้าจวนยงอ๋องเป็นแน่ เขายินดีจนแทบคลั่งถึงขั้นจิบสุราไปหลายจอก
อย่างไรก็ตาม ความสุขสุดขีดมักทำให้เกิดความทุกข์ตรม ขณะที่เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็ถูกคนลอบโจมตี คนเหล่านั้นไม่ทราบว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงกับจับเขามัดอย่างแน่นหนาโดยใช้โซ่เหล็กพันธนาการมือทั้งสองอย่างพิถีพิถันพร้อมอุดปากของเสียแน่น จากนั้นจึงจับเขาโยนเข้าไปในกล่องแล้วแบกไปเช่นนั้น
เมื่อเขาไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงแล้วกลับยังไม่มีผู้ใดมาปล่อยเขาออกจากกล่อง กลับถูกพันธนาการอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานจนเซี่ยจินอี้รู้สึกชาแขนชาขาไปหมดเพราะเลือดมิอาจไหลเวียน ส่วนที่ย่ำแย่ที่สุดก็คือร่างกายของเขาทำได้เพียงขดตัว อยากยืดแขนยืดขาก็มิอาจทำได้ นี่ทำให้เขาทรมานสุดเปรียบ หากยืดตัวได้ จะให้เขาจ่ายเท่าใดก็ยอมทั้งสิ้น กล่าวคือตอนนี้จิตใจอันแน่วแน่ของเขาเริ่มพังทลายเสียแล้ว
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหู ไม่นานก็มีคนเปิดกล่องออก คนผู้นั้นถือตะเกียงน้ำมันไว้ในมือ แสงตะเกียงสาดส่องเข้ามาบนใบหน้าของเซี่ยจินอี้ เซี่ยจินอี้หลับตาตามสัญชาตญาณเพื่อมิให้ดวงตาที่อยู่ในความมืดเป็นเวลานานถูกแสงกระทบจนเสียหาย ผ่านไปครู่หนึ่งเซี่ยจินอี้จึงค่อยลืมตาขึ้น พบว่าเบื้องหน้ามีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านผู้หนึ่งยืนอยู่ ดูผิวเผินอายุไม่เกินสิบห้าสิบหกปี คล้ายกำลังมองมาที่ตนด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ
ในดวงตาของเซี่ยจินอี้เต็มไปด้วยความร้องขอและสอบถาม ผู้เยาว์คนนั้นจึงกล่าวเสียงเรียบว่า ผู้น้อยชื่อจี้ ได้รับคำสั่งให้มาจัดการคุณชายเซี่ย หากคุณชายเซี่ยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้น้อยก็จะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ หากโชคดีผ่านด่านผู้น้อยไปได้ก็จะได้พบนายท่านของข้า คุณชายเซี่ย หากท่านตะโกนเสียงดัง ผู้น้อยคงทำได้เพียงสังหารท่านทันที ดังนั้นหวังว่าคุณชายให้ความสำคัญกับตนเองให้มากนะขอรับ
กล่าวจบผู้เยาว์ก็วางตะเกียงน้ำมันลงบนโต๊ะในห้อง จากนั้นจึงเดินมาปลดผ้าปิดปากของเซี่ยจินอี้ออก เซี่ยจินอี้สูดหายใจลึกก่อนกล่าวว่า พี่ชายตัวน้อย ช่วยปล่อยข้าออกไปก่อนเถิด หากยังไม่ยืดตัวอีก ผู้แซ่เซี่ยคงพิการเป็นแน่
เมื่อมองเห็นศัตรู แววตาฉลาดเฉลียวของเซี่ยจินอี้ก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา เขาเตรียมต่อสู้กับศัตรูผู้นี้แล้ว แม้ศัตรูของตนจะเป็นเพียงผู้เยาว์แปลกประหลาด ทว่าเซี่ยจินอี้เข้าใจดีว่าสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในยุทธภพก็คือพระ สตรีและเด็ก ดังนั้นในใจเขาจึงไม่มีความคิดดูถูก
ผู้เยาว์แย้มยิ้มบาง ดึงตัวเซี่ยจินอี้ออกมาจากกล่องลงสู่พื้น เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เซี่ยจินอี้จะถูกมัดแน่นแต่ก็ยังยืดตัวได้ตามสบาย เขาส่งเสียงครางออกมาจากปากอย่างสุขอุราก่อนหลับตาลงคล้ายต้องการนอนหลับพักผ่อน
ผู้เยาว์แย้มยิ้ม ถีบเซี่ยจินอี้ไปครั้งหนึ่งก่อนกล่าว พี่ชาย ท่านลืมสิ่งใดไปหรือไม่ ความเป็นความตายของท่านยังอยู่ในกำมือข้า
เซี่ยจินอี้เบิกตาโพลง กล่าวด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความสบายใจยิ่ง พี่ชายตัวน้อย ผู้แซ่เซี่ยเป็นเพียงคนเสเพลในยุทธภพเท่านั้น หากผู้สูงศักดิ์ไม่เห็นว่าข้ามีประโยชน์ เหตุใดต้องเสียเวลาจับข้ามัดด้วยเล่า หากพี่ชายตัวน้อยลงมือสังหารข้าตามใจอาจถูกลงโทษก็เป็นได้
ผู้เยาว์นั่งลงกับพื้นทันควัน บอกต่อเซี่ยจินอี้ว่า ท่านกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ น่าเสียดายที่นายท่านของข้ามีนิสัยหยิ่งทะนง หากเป็นของไร้ราคาเขาย่อมไม่ใช้ประโยชน์ ดังนั้นท่านคงต้องเกลี่ยกล่อมให้ข้าพาท่านไปพบนายท่านให้ได้ หากไม่ทำให้ข้าสบายใจ แม้จะสังหารท่านก็ไม่เป็นอะไร จะอย่างไรท่านก็มิใช่ตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียว
เซี่ยจินอี้ใจสั่นขึ้นมาโดยพลัน เขามองไปยังผู้เยาว์เบื้องหน้า แม้อีกฝ่ายจะอายุน้อย แต่คำพูดคำจากลับฉะฉานยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังกล่าวถึงเรื่องการสังหารผู้คนคล้ายกับเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง เมื่อคิดได้ดังนี้จึงรีบกล่าวหยั่งเชิง พี่ชายตัวน้อยอายุน้อยเพียงนี้แต่สังหารคนมามากแล้วหรือ
ชื่อจี้ยิ้มตอบ ข้าไม่กล้าปิดบัง แรกเริ่มเดิมทีเพื่อปกป้องชีวิตตนเองจึงสังหารคนไปแปดเก้าคน ต่อมาได้มารับใช้นายท่าน ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี ไม่ว่าเด็กหรือคนชราล้วนเคยสังหารมาแล้วทั้งสิ้น ที่น่าสงสารที่สุดก็คือมีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราจำเป็นต้องสังหารผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน ในนั้นมีสตรีและเด็กอยู่หลายคน กล่าวตามตรงตอนนั้นข้าไม่อยากสังหารจริงๆ แต่ผู้ใดใช้ให้พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ไม่ควรอยู่เล่า ทั้งยังมีอยู่ครั้งหนึ่ง แม้ผู้น้อยจะไม่ได้สังหารแม้แต่คนเดียว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังไม่รอด
ชื่อจี้กล่าวอย่างคลุมเครือโดยไม่มีความเท็จแม้แต่ประโยคเดียว ตอนฝึกฝนกับค่ายลับ พวกเขาต้องสู้กันเองอยู่บ่อยๆ หากแพ้หลายครั้งก็จะถูกลบความทรงจำแล้วส่งออกไป ต่อมาพวกเขาล้วนกล่าวกันว่าคนเหล่านี้ตายไปแล้ว สำหรับพวกเขา การสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับค่ายลับเรียกว่าอยู่ไม่สู้ตายจริงๆ และเมื่อได้เข้าทำงานกับหอกลไกสวรรค์แล้วย่อมเลี่ยงการสังหารผู้อื่นได้ยาก มีเพียงเรื่องของเหลียงหวั่นเท่านั้นที่เขาไม่ได้ลงมือสังหารผู้ใด แต่สุดท้ายยังคงมีเพียงองค์หญิงฉางเล่อและเหลียงหวั่นที่สติเลอะเลือนหนีรอดไปได้เท่านั้น ไม่นับเป็นเรื่องเมตตาอันใด
ตอนต่อไป