ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 22 แตกหักในที่สุด (2)
ครานี้พวกเขาจึงมิมีเวลาพูดจากันแล้ว ต้องห้อมล้อมยงอ๋องเดินมาที่โถงด้านหน้าเป็นอย่างแรก ขุนนางชุดแดงถือราชโองการสีเหลืองทองเอาไว้พร้อมกับประกาศเสียงดัง “ข้ามีราชโองการให้ยงอ๋องหลี่จื้อรับผิดชอบพิธีบวงสรวง ณ นครฉางอันแทนรัชทายาท จบราชโองการ”
ในใจยงอ๋องปิติยินดีแต่สีหน้ากลับไม่แสดงออก เขาก้าวเข้าไปรับราชโองการ หลังจากเอ่ยขอบพระทัยจึงถามขึ้นว่า “ขอถามท่านผู้แทนพระองค์ ข้าเข้าวังเพื่อเอ่ยขอบพระทัยได้หรือไม่”
ขันทีผู้นั้นเอ่ยเสียงแหลม “ฝ่าบาทเสด็จไปยังหวงหลิงก่อนแล้ว รับสั่งให้องค์ชายหารือเรื่องพิธีบวงสรวงกับอัครมหาเสนาบดีเหวยกับเจิ้งซื่อจง จากที่ข้าทราบมา แม้เวลาจะกระชั้นชิดไปบ้าง แต่การถือศีลก่อนพิธีย่อมเลี่ยงมิได้ ฝ่าบาทออกราชโองการให้องค์ชายเสด็จตำหนักบำเพ็ญตนทันที บ่าวคิดว่าอีกประเดี๋ยวเจิ้งซื่อจงก็คงมาถึงแล้ว”
เขายังไม่ทันเอ่ยจบก็มีคนมาแจ้งว่า “องค์ชาย เจิ้งซื่อจงถือราชโองการมาเชิญองค์ชายตามเขาเข้าวังเพื่อถือศีลก่อนพิธี”
หลี่จื้อเอ่ยเสียงเข้ม “เชิญเจิ้งซื่อจงให้รอประเดี๋ยว ข้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จจะตามเขาเข้าวัง” หลี่จื้อส่งผู้แทนพระองค์ที่มาประกาศราชโองการเสร็จก็เอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อย “สุยอวิ๋น ท่านว่าจะมีเล่ห์ลวงหรือไม่”
แววตาข้าวูบไหวก่อนจะเอ่ยว่า “องค์ชาย แม้ตามหลักแล้วไม่มีปัญหาใด แต่องค์ชายเข้าวังเพียงลำพัง พวกกระหม่อมมิอาจวางใจได้ วรยุทธ์ของเสี่ยวซุ่นจื่อมิใช่ชั่ว ให้เขาเข้าวังเป็นเพื่อนองค์ชาย คิดว่าเจิ้งซื่อจงคงไม่ว่ากระไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที โพล่งออกมาว่า “คุณชาย ความปลอดภัยของท่าน…”
ข้าสะบัดเก็บพัดในมือแล้วเอ่ยเรียบเฉย “ขอองค์ชายโปรดออกคำสั่ง จนกว่าองค์ชายจะเสด็จกลับจวน เรื่องน้อยใหญ่ในจวนมอบให้เจียงเจ๋อดูแล”
หลี่จื้อเอ่ยทันที “ป้ายทองอยู่ในมือท่าน ย่อมเท่ากับตัวข้ามาด้วยตนเอง ผู้ใดกล้าไม่ฟังคำสั่งท่าน สังหารได้ทันที เสี่ยวซุ่นจื่อ ครั้งนี้ข้าคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว วางใจเถิด ซือเจินต้าซือก็อยู่ในจวนด้วย จะต้องปกป้องความปลอดภัยของสุยอวิ๋นได้แน่”
เสี่ยวซุ่นจื่อหันมามองข้าแล้วเอ่ยว่า “หลี่ซุ่นรับบัญชา ขอให้องค์ชายกับคุณชายโปรดวางใจ ต่อให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ลงมือเอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็จะสละชีวิตปกป้ององค์ชายให้ปลอดภัย”
ข้าเห็นทุกคนสีหน้าเคร่งเครียดจึงยิ้มละไมเอ่ยว่า “ทุกคนมิต้องกังวลเช่นนี้ ครั้งนี้พวกเรามิได้จะก่อการกบฏอันใดเสียหน่อย แค่ป้องกันหากมีคนร้อนรนจนเป็นสุนัขกระโดดกำแพงเท่านั้น ในเมื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้มาแล้วคงไม่ลงมือเหิมเกริมช่วงนี้ ถึงอย่างไรต้ายงแห่งนี้ก็ยังมีจักรพรรดิกับเหล่าเชื้อพระวงศ์อยู่”
ทุกคนจึงวางใจลงบ้าง ต่อจากนั้นยงอ๋องจึงไปด้านหน้าเพื่อพบเจิ้งซื่อจง เจิ้งเสียไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอันใดกับการที่เสี่ยวซุ่นจื่อติดตามไป ยงอ๋องจะระมัดระวังเช่นนี้ย่อมสมเหตุสมผล ไม่นานเขาก็เชิญยงอ๋องเข้าไปในตำหนักบำเพ็ญตน ถือศีลชำระร่างกาย ชี้แนะลำดับพิธีการ ยงอ๋องไม่ได้ว่างสักเพลา ระหว่างที่เขายุ่งวุ่นวายอยู่ที่นี่ คนฝ่ายรัชทายาทกลับร้อนใจดั่งไฟลน ไม่ว่าผู้ใดต่างทราบว่ารัชทายาทกับยงอ๋องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ฝั่งหนึ่งล้มอีกฝั่งย่อมขึ้นมา ต้นปีกลายรัชทายาทเซ่นไหว้บรรพบุรุษแทนองค์จักรพรรดิ นับแต่นั้นยงอ๋องก็วางธงหยุดลั่นกลองรบ ถึงขนาดที่เอาแต่วุ่นวายอยู่กับการเสริมกำลังโยวโจวให้แข็งแกร่ง วันนี้ยงอ๋องได้ทำพิธีบวงสรวงแทนรัชทายาท นั่นหมายความเช่นไร แม้มิต้องกล่าวก็ชัดแจ้ง คนฝ่ายรัชทายาทแตกเป็นฝักฝ่าย กระนั้นขุมอำนาจที่เป็นแกนหลักในกลุ่มก็มิยอมรามือ
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลี่หยวนก็เป็นจักรพรรดิมาหนึ่งยุคสมัย ไหนเลยจะมิคาดคิดถึงปัญหานี้ ครั้งนี้เขาออกจากเมืองหลวงจึงมอบกองทหารราชองครักษ์ในเมืองหลวงไว้กับฉินชิง หลี่หันโยวเป็นคนฝ่ายรัชทายาท ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ยงอ๋องลงมือทำร้ายรัชทายาท ส่วนฉินชิงแม้อายุน้อยบุ่มบ่าม แต่แม่ทัพใหญ่ฉินมิใช่คนเลินเล่อ เขาทิ้งฉินหย่งรองแม่ทัพคนสนิทของตนไว้เฝ้าดูฉินชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ รัชทายาทก็อย่าคิดฉวยโอกาสทำร้ายยงอ๋อง
อีกประการหนึ่ง อัครมหาเสนาบดีเหวยกับเจิ้งซื่อจงเป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนางฝ่ายปกครอง มีพวกเขาควบคุมอยู่ย่อมมิเกิดสิ่งใดผิดพลาด เจิ้งซื่อจงเป็นผู้ดูแลตำหนักบำเพ็ญตนที่ยงอ๋องถือศีลอยู่ด้วยตนเองเพื่อความปลอดภัย ส่วนตำหนักจิ่นอานที่รัชทายาทถูกกักบริเวณอยู่ อัครมหาเสนาบดีเหวยเสนอให้ส่งเหวยอิงบุตรชายของตนไปเฝ้าดู ยามนี้เหวยอิงเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมมหาดไทยแล้ว ทั้งยังเป็นราชบุตรเขยที่จักรพรรดิหมายตา แล้วยังวางตัวเป็นกลาง มีเขาคอยดูรัชทายาท ย่อมมิต้องกังวลว่าจะมีใครลอบทำร้ายรัชทายาท ทั้งยังมิต้องกังวลว่ารัชทายาทจะลอบติดต่อกับภายนอก ส่วนความเป็นบุรุษหน้าเหล็กมิเกรงกลัวอำนาจของเจิ้งเสียผู้ครองตำแหน่งซื่อจง ทุกคนต่างก็ทราบกันดี เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเท่ากับว่ารัชทายาทกับยงอ๋องสองฝ่ายล้วนถูกกักตัวไว้ กลับเป็นฉีอ๋องที่ค่อนข้างอิสระ ติดตามขบวนเสด็จไปทำพิธีบูชาที่เขาเฉียวซาน ไม่ต้องพลัดเข้ามาในพายุการเมืองครั้งนี้
ในสถานการณ์เช่นนี้ การวางแผนของทั้งสองฝ่ายสำคัญยิ่ง ทั้งมิอาจกระโตกกระตากให้ขุนนางและแม่ทัพที่จักรพรรดิทิ้งไว้พิทักษ์ฉางอันรู้ แล้วยังต้องรักษาสถานการณ์ไม่ให้นายของตนล้ม ดังนั้นจวนรัชทายาทกับจวนยงอ๋องจึงร่วมกันขอร้องให้ฉางอันเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด อัครมหาเสนาบดีเหวยกวนก็เห็นด้วย หลังจากนั้นฉินชิงก็จับกุมบุคคลต้องสงสัยที่ตัวตนไม่แน่ชัดได้ทันควัน ส่วนที่จับกุมก็จับกุม ส่วนที่ไล่ออกจากฉางอันก็ไล่ออกจากฉางอัน
จวนยงอ๋องก็ไม่อ่อนข้อ สามยอดอัจฉริยะใต้บัญชาของยงอ๋อง กวนซิวรับผิดชอบจัดการเรื่องภายในจวนยงอ๋อง โก่วเหลียนรับผิดชอบประสานงานกับพวกอัครมหาเสนาบดีเหวย ส่วนต่งจื้อพาจิงฉือกลับไปประจำอยู่ที่ค่ายกองทัพองครักษ์นอกนครฉางอัน กำลังพลทั้งหมดเตรียมพร้อมรบ ซือหม่าสยงคุมองครักษ์ประจำจวนยงอ๋องคอยรอรับบัญชาตลอดเวลา ส่วนเจียงเจ๋อผู้บัญชาการทุกสิ่งนี้กลับไม่ออกห่างจากสวนเหมันต์แม้แต่ก้าวเดียว ซือเจินต้าซือเองก็ไม่ผละห่างจากข้างกายเขาสักก้าว
แม้เผยอวิ๋นเสียอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จเหนือกองราชองครักษ์แห่งค่ายอุดรไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังคุมกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ได้ มีเขาประจำการอยู่ เซี่ยโหวหยวนเฟิงย่อมมิอาจเคลื่อนทหารราชองครักษ์ส่วนนี้ได้ตามใจ ทำได้เพียงพยายามใช้งานองครักษ์ในราชวังเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุมกำลังของทั้งสองฝ่ายพัวพันกันวุ่นวาย ผู้ใดก็มิกล้าลงมือก่อน มิหนำซ้ำทุกคนล้วนรู้ว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้มาเยือนฉางอันแล้ว
ท่ามกลางคลื่นลม กลับมีคนผู้หนึ่งเอ้อระเหยอย่างสบายใจ คนผู้นั้นก็คือข้าเอง แม้ข้าจะระมัดระวังมิกล้าออกไปด้านนอก อยู่ในสวนเหมันต์ทุกวัน แต่ก็มิได้ทำการใหญ่อันใด ข่าวสารแต่ละวัน ข้าอ่านเสร็จรอบเดียวก็เก็บเข้าชั้น หนทางรับมือเฉพาะหน้าต่างๆ นานาปล่อยให้พวกเขาวางแผนกันเอาเอง ข้าเพียงรับผิดชอบสั่งการสองสามอย่างเท่านั้น กล่าวไปแล้วก็แปลก การกระทำเช่นนี้ของข้าเรียกได้ว่าไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่แต่กลับทำให้พวกเขาสงบใจได้อย่างชะงัดนัก ดูท่าภาพลักษณ์ของข้าในยามปกติที่พวกเขาจดจำได้จะดีเกินไป จึงทำให้พวกเขาเชื่อถือข้าอย่างไม่รู้ตัว
ความจริงแล้วเดิมทีก็ไม่จำต้องเป็นร้อนรน สำหรับข้า เป้าหมายเพียงประการเดียวในครั้งนี้ก็คือทำให้มองเห็นขุมกำลังของรัชทายาท ข้ารู้ชัดเจนยิ่งว่าครั้งนี้มิใช่โอกาสลงแรงกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก หากจักรพรรดิต้ายงผิดหวังกับรัชทายทอย่างสิ้นเชิงจริงก็คงปลดเขานานแล้ว มิใช่กักบริเวณเขาไว้ก็จบเรื่อง ครั้งนี้จักรพรรดิต้ายงคิดหยั่งเชิงยงอ๋อง หากครานี้พวกเราร้อนใจดั่งไฟลนคิดกำจัดรัชทายาท ย่อมทำให้จักรพรรดิต้ายงคิดว่าองค์ชายโหดเหี้ยมอำมหิต แต่หากมิเตรียมพร้อมแม้แต่น้อยก็จะทำให้จักรพรดิต้ายงรู้สึกว่าพวกเราเสแสร้งเกินไป ดังนั้นข้าจึงปล่อยให้ภายนอกตึงเครียด ภายในผ่อนคลายเช่นนี้ ทั้งข่มขวัญอำนาจฝั่งรัชทายาทให้พวกเขามิกล้าฉวยโอกาสก่อการ แล้วยังทำให้จักรพรรดิต้ายงเข้าใจด้วยว่าองค์ชายมิมีใจคิดกบฏ
อีกประการหนึ่ง ตำแหน่งรัชทายาทก็ง่อนแง่นอยู่แล้ว หากพวกเราราดน้ำมันเข้ากองเพลิง เกรงว่ากลับจะทำให้จักรพรรดิต้ายงเกิดความสงสารเวทนา พวกเราเพียงต้องซื่อตรงไม่เอนเอียง เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีการที่สำนักเฟิงอี้วิ่งเต้นใช้ส่งเสริมรัชทายาทย่อมเด่นชัดขึ้นมา บุญคุณใดก็มิอาจกดคนได้ทั้งชีวิต ครั้งนี้เจ้าสำนักเฟิงอี้อาศัยบุญคุณเก่าก่อนโน้มน้าวให้จักรพรรดิต้ายงคืนเกียรติยศให้รัชทายาทได้ ถ้าเช่นนั้นครั้งหน้าเล่า อีกอย่างหนึ่ง รัชทายาทสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้คนไปแล้ว แม้ครองอำนาจมากมายก็เป็นเพียงเสือกระดาษ ดังนั้นเรื่องในครานี้ เป้าหมายของข้าจึงเป็นการผลาญเวลาอย่างปลอดภัยเท่านั้น ก้าวต่อไปจึงจะลงมือวางแผนการแย่งชิงบัลลังก์ที่แท้จริง
แต่ระหว่างที่ข้าลอยชายอย่างสบายใจอยู่นั้นเอง ข้าก็ได้รับข่าวที่ทำให้ข้าคิดไม่ถึงเรื่องหนึ่ง กล่าวไปแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่กลับทำให้ข้านึกเสียใจที่คิดได้เมื่อสาย วันนี้พระชายารัชทายาทจัดพิธีศพให้แก่ซิ่วชุนหญิงรับใช้คนสนิท ซิ่วชุนผูกคอฆ่าตัวตาย ได้ยินว่าก่อนตายนางตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว ข่าวนี้ทำให้ข้าเสียใจอย่างยิ่ง เดิมทีข้ามิได้สนใจเรื่องรักใคร่ของเซี่ยจินอี้ แต่สตรีนางนี้กลับตายตามคนรัก แม้ข้ามิได้สังหารปั๋วเหริน แต่ปั๋วเหรินตายเพราะข้า[1] ข้าถอนหายใจ ตัดสินใจว่าจะส่งข่าวนี้ให้เซี่ยจินอี้ ให้เขารู้สักหน่อยว่ามีสตรีที่รักเขาลึกซึ้งถึงปานนี้ น่าเสียดายก็แต่เด็กน้อยที่ไม่ทันได้เกิดมาดูโลกคนนั้น
เวลาเดียวกัน ภายในตำหนักบำเพ็ญตนในพระราชวัง หลี่จื้อกำลังจดจ่อตั้งใจสวดพระคัมภีร์ เสี่ยวซุ่นจื่อที่นั่งฝึกพลังภายในเงียบๆ อยู่ที่มุมห้องพลันลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววนับถือจางๆ แม้เขาติดตามเจียงเจ๋อมาเข้าฝ่ายยงอ๋อง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามีความรู้สึกเป็นอริต่อยงอ๋องอยู่เสมอ เหตุผลประการหนึ่งเพราะก่อนหน้านี้ยงอ๋องเคยคิดใช้สุราพิษสังหารเจียงเจ๋อ อีกสาเหตุหนึ่งเพราะการที่เจียงเจ๋อทำงานให้ยงอ๋อง ไม่เพียงทำให้เจียงเจ๋อถูกลอบสังหารจนเกือบตาย แต่ยังต้องฝืนร่างกายอันเจ็บป่วยคอยวางแผนให้เขาอีกด้วย ฉะนั้นแม้ซาบซึ้งกับความโปรดปรานที่ยงอ๋องมอบให้เจียงเจ๋ออย่างยิ่ง ทว่าเสี่ยวซุ่นจื่อก็ยังไม่ใคร่จะสนใจยงอ๋องนัก แต่วันนี้เสี่ยวซุ่นจื่อกลับนับถือองค์ชายผู้นี้อย่างแท้จริง
เสี่ยวซุ่นจื่อมิใช่คนเขลา เขารู้ความสามารถและฐานะของตนเองดี เขาเป็นบ่าวรับใช้เจียงเจ๋ออย่างยินยอมพร้อมใจ แต่มิได้หมายความว่าเขาไม่รู้จักคุณค่าของตนเอง เขาลองถามใจตนเอง หากตนเป็นยงอ๋องจักต้องอดใจไม่ไหว ต้องชักชวนยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นนี้เป็นพวกแน่ ต่อให้ไม่คาดหวังว่าตนจะจงรักภักดีเต็มร้อย แต่ทำให้ตนเกิดความรู้สึกแง่ดีก็นับว่าเป็นของมีค่าแล้ว เขาเคยคิดว่าครั้งนี้อยู่ในตำหนักบำเพ็ญตนเพียงลำพังกับยงอ๋อง ยงอ๋องอาจใช้วิธีบางอย่างชักชวนตน แต่กลับผิดจากที่เขาคาด ตั้งแต่ต้นจนจบ ยงอ๋องเพียงตั้งอกตั้งใจเรียนรู้ลำดับพิธีการ ก้มหน้าก้มตาสวดพระคัมภีร์เท่านั้น แม้เขาจะทำตัวมีมารยาทกับตน แต่กลับมิได้มีเจตนาจะซื้อใจแม้แต่น้อย เสี่ยวซุ่นจื่ออยู่ในจวนยงอ๋องมาหลายปี เขาเห็นวิธีที่ยงอ๋องปฏิบัติต่อผู้อื่นมิใช่แค่หนึ่งครั้ง กล่าวด้วยใจเป็นธรรม หากยงอ๋องใช้มันกับเขา เขาก็ยากจะมองผ่าน แต่ยงอ๋องกลับไม่เอ่ยวาจาเกินจำเป็นกับเขาสักประโยค
เสี่ยวซุ่นจื่อเข้าใจดี นี่ไม่ใช่เพราะยงอ๋องดูแคลนตน แต่ในใจยงอ๋อง ตนคือคนที่ยึดถือความภักดี การเคารพกันเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้เสี่ยวซุ่นจือยอมรับยงอ๋องเป็นนายของเจียงเจ๋ออย่างแท้จริง
มิใช่ว่าหลี่จื้อไม่เคยคิดซื้อใจเสี่ยวซุ่นจื่อ ถึงอย่างไรยอดฝีมือทางด้นวรยุทธ์เช่นนี้ย่อมควรค่าเก็บไว้ข้างกาย แต่ยงอ๋องมิใช่ผู้ที่จักต้องกำยอดคนทั้งใต้หล้าไว้ในฝ่ามือให้จงได้ เขาเห็นแล้วว่าเสี่ยวซุ่นจื่อภักดีต่อเจียงเจ๋อ ถ้าเช่นนั้นขอเพียงตนคว้าเจียงเจ๋อไว้ได้ ย่อมมิต้องกังวลเรื่องเสี่ยวซุ่นจื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่จิตใจสูงส่งเช่นนี้ เขาจะใช้การซื้อใจมาหยามหมิ่นได้เช่นไรเล่า หลี่จื้อในยามนี้คงคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า สิ่งนี้จะเป็นสาเหตุให้เสี่ยวซุ่นจื่อคลายความเป็นอริต่อเขาลงได้ในที่สุด
[1]ประโยคที่หวังเต่า ขุนนางสมัยตงจิ้นเอ่ยหลังจากทราบความจริงว่าตนปล่อยให้ปั๋วเหริน สหายที่คอยช่วยเหลือตนมาตลอดต้องตาย เพราะอีกฝ่ายมักเสแสร้งทำตัวเป็นศัตรูต่อหน้าเขาจนเขาเข้าใจผิดมาตลอด
ตอนต่อไป