ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 1 ดรุณีสีเพลิง (1)
ภาค 4 ตอนที่ 1 ดรุณีสีเพลิง (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบเจ็ด ณ ชายแดนเป่ยฮั่น สายลมสารทพัดซู่ซ่า บนถนนใหญ่จากด่านเยี่ยนเหมินมองไปยังไต้โจว มีคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีแดงควบอาชาวิ่งทะยานจนฝุ่นควันฟุ้งตลบ เห็นเพียงเลือนรางว่าอาชาตัวนั้นเป็นอาชาสีชาด ขนทั่วร่างคล้ายโลหิต แผงคอสีแดงสดดุจเปลวเพลิง แม้ร่างบนหลังอาชาสวมผ้าคลุมผืนใหญ่กับหมวกปิดบังไว้จนมองไม่เห็นหน้าตาและรูปร่าง แต่ก็พอมองเห็นชุดจอมยุทธ์สีแดงทั้งตัวของคนผู้นั้นอยู่เลือนราง ชั้นนอกคลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่สีเดียวกัน คันศรไม้มะเกลือสะพายพาดอยู่บนแผ่นหลัง ข้างแส้ม้ามีลูกธนูขนสีขาวถุงหนึ่งห้อยอยู่ ตรงเอวด้ามดาบทองคำฝังหยกเผยออกมาวับแวม ตัวดาบถูกผ้าคลุมผืนใหญ่ปิดไว้จึงมองไม่เห็นฝักดาบว่าลักษณะเป็นเช่นไร แต่เพียงมองด้ามดาบก็ทราบแล้วว่านั่นเป็นดาบล้ำค่าที่พันตำลึงทองก็ยากซื้อหาเล่มหนึ่ง
บุคคลอาภรณ์แดงผู้นั้นกำลังควบอาชาวิ่งเต็มฝีเท้า ทันใดนั้นนักรบบนหลังม้าห้าคนก็ถลันออกมาจากสองฝั่งแล้วพุ่งเข้าใส่คนชุดแดงผู้นั้น พวกเขาล้วนเป็นนักรบจากเผ่าคนเถื่อนผู้ปล่อยผมสยายและคาดชายเสื้อทับทางซ้าย ตอนที่สองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน คนชุดแดงผู้นั้นพลันง้างศรอย่างว่องไว ลูกศรขนขาวประหนึ่งแสงสายฟ้าแลบ ยิงครั้งหนึ่งสามดอก
เสียงสายธนูดีดผึง นักรบบนหลังม้าสองคนคิดไม่ถึงว่าคนชุดแดงผู้นี้จะง้างศรยิงระหว่างระยะทางสั้นๆ เช่นนี้ได้จึงหงายหลังร่วงจากหลังม้าไป ทว่ายิงครั้งหนึ่งสามดอกก็ดูเหมือนจะฝืนคนชุดแดงผู้นี้อยู่บ้าง ศรดอกที่สามจึงอ่อนแรงจนถูกนักรบบนหลังม้าคนหนึ่งใช้ดาบปัดออก นับรบอีกสามคนที่เหลือร้องตะโกนเสียงดังพลางบุกเข้ามาอย่างดุร้าย
คนชุดแดงผู้นั้นยิงศรอีกมิทันจึงต้องชักดาบล้ำค่าขึ้นต้านรับ ทั้งสี่ล้วนเป็นผู้ชำนาญการต่อสู้บนหลังอาชาจึงสู้รบดุเดือดดั่งเปลวเพลิงลุกโหม แม้ดาบล้ำค่าของคนชุดแดงผู้นั้นคมกริบ ฝีมือขี่อาชาก็สูงส่ง แต่นักรบเผ่าคนเถื่อนสามคนนั้นก็เป็นทหารม้าผู้แกล้วกล้าเช่นกัน เวลาผ่านไป คนชุดแดงจึงเริ่มต้านไม่อยู่
ทันใดนั้นเสียงหวานของคนชุดแดงผู้นั้นก็ตวาดลั่น “ระวังผงพิษ” จากนั้นยกมือซ้ายขึ้น หมอกควันสีชมพูโถมเข้าใส่นักรบเผ่าคนเถื่อนสองคน บุรุษสองคนนั้นแหวกออกซ้ายขวาจนเกิดช่องว่าง คนชุดแดงฉวยโอกาสควบอาชาทะลวงฝ่าวงล้อม พุ่งย้อนไปยังทางมา นักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งหลายกลับอาชาหมายจะไล่ตาม แต่ผู้ใดจะคิดว่าคนชุดแดงที่เพิ่งฝ่าวงล้อมไปผู้นั้นกลับรั้งบังเหียน อาชาสีชาดยกขาตะกุยอากาศ แล้วหันหัวกลับ ควบทะยานไปยังเมืองไต้โจวประหนึ่งเมฆคล้อยสายน้ำไหลโดยไม่ลดความเร็วลงสักนิด นักรบเผ่าคนเถื่อนหลายคนนั้นคาดไม่ถึงว่าฝีมือขี่อาชาของคนชุดแดงผู้นั้นจะร้ายกาจเช่นนี้จึงชะงักครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อพวกเขากลับลำไล่ตามก็ถูกทิ้งอยู่ด้านหลังมากแล้ว
คนชุดแดงหันกลับไปมองอย่างกลัดกลุ้ม พวกนักรบเผ่าคนเถื่อนยังไล่ตามไม่เลิกรา คนชุดแดงขบฟันขาวแน่น นางมิได้กังวลเรื่องความปลอดภัย มุ่งหน้าไปอีกยี่สิบลี้ก็เป็นเมืองไต้โจวแล้ว นักรบเผ่าคนเถื่อนที่ไม่รู้ว่าลักลอบเข้ามาได้อย่างไรเหล่านี้ไม่กล้าตามไม่เลิกแน่นอน แต่หากคนอื่นล่วงรู้ว่าตนเดินทางมาลำพังแล้วถูกซุ่มโจมตี อีกหลายเดือนนับจากนี้ตนอย่าคิดมีอิสระเช่นนี้อีกเลย
ตอนนี้เอง ดวงตาของนางพลันทอประกาย ด้านหน้ามีบุรุษสวมอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งกำลังขี่อาชาเหยาะย่างไปข้างหน้า อาชาตัวนั้นเป็นยอดอาชาจากหนึ่งในร้อยเช่นกัน ส่วนผู้ที่ขี่อาชาอยู่ก็สะพายคันศรไว้ แถบไต้โจวแห่งนี้มิว่าบุรุษหรือสตรีล้วนเป็นนักรบผู้ชำนาญวิชายิงธนูบนหลังม้า บุรุษผู้นี้แม้ใช้การไม่ได้สักเท่าใดก็คงพอขวางไว้ได้สักครู่ สองคนร่วมมือกัน บางทีอาจสังหารพวกคนเถื่อนเหล่านั้นได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ คนชุดแดงผู้นั้นพลันตะโกนเสียงดัง “พี่ชาย ยิงธนูเร็วเข้า”
บุรุษชุดเทาผู้นั้นหันกลับมาอย่างงุนงง ทันใดนั้น ดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ หันอาชากลับหลังควบทะยานเข้ามา อาชาสีน้ำตาลแต้มขาวตัวนั้นวิ่งสวนผ่านคนชุดแดง จากนั้นคนชุดแดงก็ได้ยินเสียงสายธนูดีดผึงดังข้างหู เพียงฟังจากเสียงสายธนู คนชุดแดงก็ทราบแล้วว่าศรคันนี้กำลังไม่มาก แถบไต้โจวมีแต่สตรีที่ใช้ แต่เมื่อได้ยินเสียงลูกศรแหวกอากาศ คนชุดแดงกลับตกตะลึงอย่างห้ามไม่ได้ นั่นเป็นการยิงครั้งหนึ่งห้าดอกชัดๆ
นางรั้งอาชาหันกลับก็เห็นขบวนลูกศรห้าดอกเรียงหน้าสามหลังสอง ศรดอกหนึ่งในนั้นปักลงบนลำคอของเผ่าคนเถื่อนคนหนึ่ง ส่วนธนูอีกสองดอกเพิ่งถูกอีกสองคนปัดป้องได้ ลูกศรสองดอกหลังก็มาถึง แม้ทั้งสองพยายามหลีกหลบแต่กลับหลบพ้นจุดสำคัญเท่านั้น พวกเขาต่างถูกลูกธนูทำให้บาดเจ็บทั้งคู่ ทั้งสองสบตากันแล้วชักม้าหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหนีจากยังนำศพสหายที่สิ้นใจกับอาชาศึกที่ไร้เจ้าของไปด้วย
คนชุดแดงผ่อนลมหายใจแล้วบังคับอาชาเข้าไปประสานมือเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยชีวิต หลินถงขอคารวะขอบคุณ”
บุรุษชุดเทาผู้นั้นหันกลับมา เมื่อเห็นวคนชุดแดงผู้นั้น ดวงตพลันทอประกายวูบหนึ่ง นางมัดผมมวยสามลูก ข้างไหมแดงที่มัดผมปักปิ่นทองเล่มหนึ่ง อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี ผิวขาวประหนึ่งหิมะ สองคิ้วโก่ง ดวงตาดำขลับทั้งคู่สุกใสแวววาว ริมฝีปากนุ่มนิ่มสีชมพูคลี่ยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก แลดูงดงามและซุกซน
ดรุณีชุดแดงผู้นั้นก็มองตาค้างเช่นกัน บุรุษชุดเทาผู้นั้นเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาแฝงความนุ่มนวลอยู่หลายส่วน แต่สีหน้ากลับแฝงความลุ่มลึกดั่งมองทะลุเรื่องราวบนโลกและท่าทางมิแยแสดุจเหยียดหยามโลกอยู่ในที บุรุษที่ดรุณีน้อยอาภรณ์แดงผู้นี้พานพบยามปกติมากกว่าครึ่งล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำ แม้ในบรรดาพวกเขาจะมีบุรุษหน้าตาดีอยู่บ้าง แต่เกินกว่าครึ่งล้วนเป็นจำพวกคมเข้มผึ่งผาย ไหนจะเคยพบบุรุษรูปงามผู้มีกลิ่นอายนุ่มนวลเช่นนี้ นางหน้าแดงอย่างห้ามไม่ได้ ถามขึ้นว่า “ท่านเป็นผู้ใด ข้าดูแล้วท่านไม่เหมือนชาวเป่ยฮั่นเรา คงมิใช่สายลับกระมัง”
บุรุษชุดเทาผู้นั้นสงบสติได้แล้ว จึงคลี่ยิ้มตอบว่า “คุณหนูท่านนี้ นี่คงมิใช่วิธีตอบแทนบุญคุณกระมัง ไฉนมองผู้มีพระคุณเป็นสายลับไปได้เล่า”
หลินถงดรุณีน้อยชุดแดงหน้าแดงอีกหนแล้วเถียงว่า “ท่านช่วยชีวิตข้าเป็นเรื่องหนึ่ง เป็นสายลับหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากท่านไม่ชี้แจง ข้าคงต้องส่งท่านให้ทางการ”
บุรุษชุดเทาผู้นั้นจงใจแสร้งเอ่ยอย่างเกินจริง “โธ่ ท่านหญิงหงสยาช่างสุดยอดนัก ดูท่าข้าจะช่วยคนผิดเสียแล้วสิ”
ดรุณีน้อยอาภรณ์แดงตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ นางเป็นถึงบุตรีคนรองของแม่ทัพอิงหยางหลินหย่วนถิงผู้พิทักษ์แถบไต้โจวและเยี่ยนเหมิน หลินหย่วนถิงเป็นถึงหัวหน้าตระกูลดังแห่งไต้โจวและเป็นขุนนางคนสำคัญของเป่ยฮั่น เขาตบแต่งองค์หญิงใหญ่อันชิ่งเป็นภรรยา องค์หญิงใหญ่ให้กำเนิดบุตรสี่คน ธิดาสองคน บุตรชายทั้งสี่ล้วนเป็นแม่ทัพผู้แกล้วกล้าชื่อเสียงโด่งดัง บุตรีคนโตหลินปี้ได้หลิวโย่วเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นองค์ปัจจุบันรับเลี้ยงเป็นธิดาบุญธรรม พระราชทานยศองค์หญิงจยาผิง ปีนี้อายุยี่สิบสามปี
หลินปี้ไม่เพียงงดงามและเฉลียวฉลาด สิ่งที่หายากยิ่งกว่าก็คือวรยุทธ์กับกลยุทธ์ทางการทหารอันโดดเด่น นางเคยรับมือการบุกโจมตีของเผ่าคนเถื่อนหลายครั้งและสร้างผลงานทางการศึกอันลือลั่น การได้แต่งงานกับหลินปี้คือเป้าหมายที่ทหารกล้าเป่ยฮั่นเฝ้าฝันถึง ทว่าหลินปี้กลับลั่นวาจาสาบานหากมิใช่ยอดวีรบุรุษผู้มีปณิธานเดียวกันจะมิยินยอมแต่งงานชั่วชีวิต สตรีเช่นนี้ มีใครสักกี่คนคู่ควรเล่า
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน ภรรยาคนแรกของแม่ทัพเวยหย่วนหลงถิงเฟยตายจากไป หลินปี้จึงได้ผูกวาสนากับสกุลหลง ยามนั้นหลงถิงเฟยอายุเพิ่งจะยี่สิบสามสิบปี ทั้งหล่อเหลาน่าเกรงขาม แล้วยังตำแหน่งสูงมากอำนาจ ผลงานในการรบเป็นที่เลื่องลือ เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นทั้งไว้วางใจเขา แต่ในขณะเดียวกันก็หวั่นเกรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อซื้อใจขุนนางคนสำคัญ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ย่อมเป็นหนทางดีที่สุด หลินปี้ทั้งรูปโฉมงดงามความสามารถเพียบพร้อม ทั้งยังมีชาติกำเนิดจากเชื้อพระวงศ์ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น หลงถิงเฟยก็เหมาะสมคู่ควรกับความองอาจของหลินปี้ การแต่งงานครั้งนี้กลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่เพราะภรรยาของหลงถิงเฟยเพิ่งจากไป และเขากำลังยุ่งกับการทำศึกกับต้ายง ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันว่าจะยังไม่จัดงานแต่งตอนนี้
ดรุณีน้อยอาภรณ์แดงผู้นี้ก็มีพื้นเพครอบครัวดังนี้ แม้ยามปกติถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจ ทว่านางก็มิใช่คุณหนูสูงศักดิ์ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น หากกล่าวถึงท่านหญิงหงสยา แถบไต้โจวแห่งนี้เพียงเห็นอาชาสีชาดกับอาภรณ์สีแดงของนาง ไม่มีผู้ใดมิรู้จัก ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่คนพื้นที่แท้ๆ แต่เห็นครั้งเดียวกลับทราบตัวตนของตน จึงทำให้นางระแวงอย่างห้ามมิได้
เมื่อความระแวงเกิดขึ้นแล้ว น้ำเสียงของนางจึงเย็นชาดุดันขึ้นหลายส่วน “ท่านคือผู้ใดกันแน่ หากมิกล่าวความจริง อย่าโทษว่าดาบข้าไร้ไมตรี” นางพูดพลางกำด้ามดาบ
เด็กหนุ่มผู้นั้นตกตะลึง รีบประสานมือเอ่ยว่า “ท่านหญิงโปรดอย่าเพิ่งมีโทสะ ผู้น้อยแซ่หวัง มีนามคำเดียวว่าจี้ มิใช่สายลับ”
ดวงหน้างามของหลินถงผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วมองสำรวจเด็กหนุ่มจากหัวจรดเท้าครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามว่า “ดูท่านไม่เหมือนชาวเป่ยฮั่น ท่านจงรีบบอกชาติกำเนิดความเป็นมาเป็นไปมาให้ชัด”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน แล้วจึงเอ่ยปากเล่า “ท่านหญิง ผู้น้อยเป็นบัณฑิตจากหนานฉู่ ต่อมาเดินทางไปทั่ว เมื่อปีกลายผู้น้อยระหกระเหินมาถึงแดนเหนือ เพราะชำนาญการรักษาอาชาและสัตว์เลี้ยงจึงเดินทางผ่านถิ่นคนเถื่อนเป็นส่วนใหญ่
เมื่อหลายวันก่อนได้ยินว่าสารทฤดูปีนี้ไต้โจวจะเปิดตลาดชายแดนจึงตั้งใจเดินทางมาไต้โจว เพราะอยากชมดูความรุ่งเรืองของตลาดชายแดน คิดไม่ถึงจะพบท่านหญิงเข้า ผู้น้อยได้ยินมานานแล้ววว่าอาชาสีชาดตัวนี้ของท่านหญิงเป็นอาชาล้ำค่าอันโด่งดังของไต้โจว จึงทราบตัวตนของท่านหญิง สิ่งที่ผู้น้อยกล่าวล้วนเป็นความจริง ขอท่านหญิงพิจารณาด้วย”
หลินถงมองเด็กหนุ่มอย่างประหลาดใจอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หวังจี้ ท่านคงมิใช่ ‘หมอเทวดาปั๋วเล่อ’ ที่พวกคนเถื่อนเล่าลือกันกระมัง ได้ยินว่าท่านไม่เพียงชำนาญการรักษาสัตว์ แต่ยังชำนาญการดูม้าอีกด้วย”
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม “ไม่กล้ารับคำชมจากท่านหญิง ผู้น้อยพอมีชื่อเสียงในแดนคนเถื่อนอยู่บ้างก็จริง แต่คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงจะเคยได้ยินด้วย”
หลินถงกล่าวว่า “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ไต้โจวของข้าอยู่ใกล้กับอาณาเขตของคนเถื่อน ทุกวันทุกห้วงขณะมิกล้าละเลยข่าวสารของแดนคนเถื่อน น่าเสียดายแดนคนเถื่อนกว้างใหญ่ ผู้คนอาศัยอยู่กระจัดกระจาย แต่ละเผ่าย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ข่าวสารแต่ละอย่างมักละเอียดไม่พอ แต่เดิมข้าคิดว่า ‘หมอเทวดาปั๋วเล่อ’ ที่ผู้คนเรียกขานกันต้องเป็นผู้เฒ่าผู้มีคุณธรรมสูงส่งสักคนเป็นแน่ คิดไม่ถึงกลับกลายเป็นคนหนุ่มเช่นนี้
หวังจี้ ข้าขอถามท่าน เดิมทีท่านเป็นคนหนานฉู่ แล้วไปร่ำเรียนวิชารักษาสัตว์กับการดูม้ามาจากที่ใด แล้วเหตุใดจึงเดินทางมาถึงแดนคนเถื่อน”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนอีกครั้ง “ท่านหญิง จะกล่าวเช่นนี้มิได้กระมัง อีกอย่างขวางทางก็คงมิค่อยดีกระมัง”
หลินถงเพิ่งรู้สึกตัวว่าบนถนนเริ่มมีคนสัญจรไปมาแล้ว จึงเอ่ยว่า “ข้ากำลังจะไปเที่ยวตลาดชายแดนของไต้โจว ท่านก็ไปด้วยกันกับข้าเถิด ระหว่างทางค่อยๆ เล่าให้ข้าฟัง ห้ามท่านหนี มิฉะนั้นข้าจะให้บิดาส่งกองทัพออกตามจับท่าน”
เด็กหนุ่มยิ้ม “ผู้น้อยมิกล้า เชิญท่านหญิง”
ทั้งสองคนบังคับอาชามุ่งไปทางไต้โจว เพราะสาเหตุประหลาดบางประการ ทั้งสองจึงมิได้ควบอาชาเต็มฝีเท้า แต่เหยาะย่างอย่างเชื่องช้า เดินทางไปพลางพูดคุยต่อไปด้วย
หลินถงถามว่า “หวังจี้ ท่านยังไม่เล่าเลยว่าร่ำเรียนวิชามาจากผู้ใด” แม้เป็นคำถามเดียวกัน แต่ความคลางแคลงในแววตาลดน้อยลงไปหลายส่วน ความสงสัยใคร่รู้เพิ่มเข้ามาแทน
เด็กหนุ่มคล้ายจมสู่ห้วงภวังค์ จนกระทั่งหลินถงถามย้ำอีกครั้งจึงได้สติกลับมา เขายิ้มน้อยๆ แล้วเล่าว่า “กล่าวถึงอาจารย์ของผู้น้อย เขาเป็นยอดคนที่หาได้ยากในใต้หล้า สิ่งที่เขาร่ำเรียนมาน่าอัศจรรย์และหยั่งไม่ถึงก้น เดิมผู้น้อยเป็นเพียงเด็กรับใช้ข้างกายนายท่าน แต่โชคดีได้ร่ำเรียนวิชามาเล็กน้อยก็เท่านั้น
หลายปีก่อนนายท่านปล่อยคนรับใช้จำนวนมากเป็นอิสระ ผู้น้อยก็เป็นคนหนึ่งในนั้น แม้ผู้น้อยได้รับเงินทองเป็นรางวัลมาไม่น้อย แต่จะนั่งกินสมบัติจนหมดก็มิได้ คิดมาคิดไป ผู้น้อยก็ไม่มีความสามารถอื่นใด จึงอาศัยวิชารักษาสัตว์หาเลี้ยงตัว ทว่าวิชารักษาสัตว์นี้หากอยู่ในหนานฉู่กับต้ายงก็ทำได้เพียงหาข้าวกินเท่านั้น
ผู้น้อยมีนิสัยไม่ชอบล้าหลังผู้อื่นเป็นที่สุด หลังจากขบคิดแล้วก็คิดว่าชีวิตคนชาติหนึ่ง มิอาจอยู่อย่างธรรมดาสามัญไปวันๆ ดังนั้นจึงมายังแดนคนเถื่อน ที่นั่นเลี้ยงสัตว์มากที่สุด มิหนำซ้ำก็มีโรคร้ายหายากนานาชนิดมากที่สุดด้วย หากผู้น้อยสร้างชื่อที่นั่น ย่อมมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า อนาคตมิจำเป็นต้องกังวลเรื่องปากท้อง นับว่าผู้น้อยโชคดีไม่เลว เป็นหมอมาหลายปีไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาด
แม้คนเถื่อนจะห้าวหาญชอบเข่นฆ่า แต่นับถือหมอรักษาสัตว์เป็นที่สุด ผู้น้อยจึงตระเวนในแดนคนเถื่อนได้อย่างสบายใจ ส่วนนามปั๋วเล่อที่กล่าวก็ได้มาจากการที่ผู้น้อยมองยอดอาชาอันหายากไม่กี่ตัวออกเท่านั้น แต่ข่าวลือยิ่งเล่ายิ่งเพี้ยน ผลสุดท้ายเมื่อมาถึงหูของท่านหญิงจึงช่วยมิได้ที่เกินจริงไปอยู่บ้าง”
ตอนต่อไป