ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 15 พี่น้องพบหน้า (1)
ตอนที่ 15 พี่น้องพบหน้า (1)
ไห่หลี นายท่านรุ่นที่สองแห่งกิจการเดินเรือตระกูลไห่ หลานชายของไห่จ้งอิง อายุยังไม่ถึงวัยสวมกวานก็ติดตามจ้งอิงเดินทางไปยังแผ่นดินต่างๆ ในทะเลหนานไห่ ต่อมาจ้งอิงไม่มีเวลาว่าง ไห่หลีจึงนำขบวนเรือลงใต้แล้วล่องไปทางตะวันตก การที่ตระกูลไห่ผงาดขึ้นมาได้ ไห่หลีมีส่วนช่วยอยู่ไม่น้อย ไห่หลีชำนาญการวาดลายเส้นจึงวาดแผนที่ทะเลสิบสองฉบับขึ้นมาด้วยตนเอง ละเอียดและถูกต้องแม่นยำ จนวันนี้ก็ยังใช้อยู่
ต้ายง รัชศกหลงเซิ่งปีที่สิบเจ็ด ไท่จงให้ไห่หลีแผ่ขยายอำนาจแว่นแคว้นไปยังโพ้นทะเล พระราชทานบรรดาศักดิ์โหวให้ แม้ไห่หลีได้รับบรรดาศักดิ์แล้ว แต่ยังดำรงตนดุจเดิม อายุเจ็ดสิบปีก็ยังคงล่องทะเล ต้ายงรัชสมัยจักรพรรดิเหวินจง รัชศกเจาหนิงปีที่สิบห้า ไห่หลีพักผ่อนอยู่บนลำเรือ จู่ๆ ก็ฝันถึงสหายเก่า เขาผุดลุกขึ้นมาคลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า ‘ถึงเวลาตายของข้าแล้วกระมัง’ เขาจุดกำยานดีดพิณ ดนตรีบรรเลงยังมิทนจบก็สิ้นใจ มรณาในวัยเจ็ดสิบเอ็ดปี
ไห่หลีแม้ภายนอกแลดูเป็นมิตร แต่ความจริงแล้วภายในเย็นชา ทว่าเนื้อแท้เป็นคนซื่อสัตย์ ยามจ้งอิงสิ้นชีวา บุตรหลายคนของเขาต้องสืบทอดกิจการตั้งแต่ยังเยาว์ ผู้คนล้วนกล่าวว่าไห่หลีต้องแย่งชิงกิจการไปเป็นแน่แท้ ทว่าไห่หลีกลับสอนน้องทุกคนดั่งบุตรตน สิบห้าปีต่อมาเลือกคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเป็นทายาท ผู้คนจึงได้ประจักษ์คุณธรรมของเขา
ไห่หลีชมชอบอ่านตำรา อาศัยอยู่ลำพัง ไม่แต่งงาน ไร้ทายาท ผู้คนต่างแปลกใจนัก
…พงศาวดารต้ายง บทตำนานวาณิช
หลังจากชื่อจี้เดินเหม่อลอยดั่งสูญเสียสิ่งสำคัญเข้ามาในห้องพักของตนก็เห็นเต้าหลีมองตนอยู่เงียบๆ เต้าหลีเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ดรุณีน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงเก็บมาใส่ใจ ไม่นานเจ้าก็จะลืมเลือนนาง ส่วนนางก็จะลืมเลือนเจ้า”
ดวงใจของชื่อจี้ปวดร้าว ตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เพราะเหตุใด เดิมข้ามองนางเป็นเพียงน้องสาวจอมวุ่นวายคนหนึ่ง ทว่าเมื่อวันก่อนยามข้าเห็นนางก้าวออกมาจากห้องขององค์หญิงจยาผิง นางกลับเปล่งประกายเจิดจ้า งดงามสะกดตาจนข้าปวดใจ ดั่งพญาหงส์กลางเปลวเพลิง แม้งามพิลาส แต่ยามเข้าใกล้กลับเจ็บปวดยากทานทน ในห้วงเวลานั้นข้าเพิ่งเข้าใจ ตลอดทางที่ข้ารักษาะระยะห่างกับนาง หรือแม้แต่การที่คิดว่านางเอาแต่ใจและดื้อรั้นล้วนเป็นเพราะข้ารู้ว่าสุดท้ายต้องมีวันที่พวกเราแยกจากไปตามทางของตน ดังนั้นจึงมิยอมรู้สึกชอบนาง ข้าไม่เคยต้องการทำร้ายนางเลยจริงๆ แต่วันนี้นางก็ยังเจ็บหนัก ส่วนข้ากลับมิอาจทำสิ่งใด เต้าหลี เจ้าคงไม่เข้าใจ”
เต้าหลีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ ข้าเข้าใจดียิ่ง ในอดีตข้าเคยทำงานให้คุณชาย ไปอยู่ในพรรคเล็กๆ แห่งหนึ่ง ข้าได้รู้จักแม่นางน้อยผู้ดีงามและไร้เดียงสาคนหนึ่ง นางชอบข้า ข้าเองก็ตกหลุมรักนาง ทว่าสุดท้ายข้าก็สังหารพ่อกับพี่ชายของนางด้วยมือตนเอง”
ชื่อจี้หัวใจกระตุก จำได้ว่าเต้าหลีเคยไปทำงานใหญ่ครั้งหนึ่ง หลังจากกลับมาก็ไม่พูดไม่จาอยู่หลายวันราวกับตายไปแล้ว ยามนั้นเขาก็เคยไปปลอบใจ แต่กลับรู้สึกว่าดวงตาของเต้าหลีไร้ประกายชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งคุณชายเรียกเต้าหลีไปพบเป็นการลับ เขาจึงกลับมาดูมีชีวิตอีกครั้ง นับจากนั้นไห่หลีก็ถูกส่งมาอยู่ตงไห่
เขาถามอย่างลังเล “แม่นางผู้นั้น นาง นางก็ตายแล้วหรือ”
ความโศกเศร้าที่เก็บกลั้นมิอยู่ปรากฏในดวงตาของเต้าหลีวูบหนึ่ง แล้วตอบว่า “ยามนั้นข้าก็เคยคิดปล่อยให้นางมีชีวิตรอด ให้นางหลบไปอยู่ชนบทอันห่างไกลสักแห่งคงไม่ส่งผลต่อแผนการของคุณชาย แต่ข้ารู้ดียิ่งนัก หากนางมีชีวิตอยู่ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น กลายเป็นอาวุธร้ายให้ผู้อื่นจัดการพวกเรา อีกทั้งนางเห็นข้าสังหารบิดากับพี่ชายของนางกับตา ความแค้นลึกล้ำเช่นนี้ ข้ามิรู้ว่านางจะทำสิ่งใดบ้าง ดังนั้นข้าจึงสังหารนางด้วยมือตนเอง
แต่เดิมข้าก็มาด้วยเจตนาร้าย ตั้งแต่แรกเริ่มก็ทราบว่าจุดจบต้องเป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังเผลอไผลไปกับความรักของนาง นี่คือความผิดของข้า ดังนั้นข้าจำต้องจบความผิดด้วยมือตนเอง เจ้าก็เช่นกัน เจ้าต้องสังหารนางด้วยมือเจ้าเท่านั้น จึงจะขจัดเนื้อร้ายในหัวใจได้ ฉะนั้นเจ้าต้องไปเป่ยฮั่น มิเช่นนั้นทั้งชีวิตเจ้าจะไม่มีวันเป็นสุข”
ชื่อจี้เงียบงันครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เจ้าสังหารคนรักกับมือเพราะไม่ต้องการเคียดแค้นคุณชายกับสหายร่วมเป็นร่วมตาย เจ้ากล่าวไม่ผิด นางก็เหมือนกับพี่สาวของนาง ล้วนเป็นวีรสตรีในหมู่อิสตรี ยามนางหล่นร่วงคงเหมือนดาวตก จากไปในห้วงเวลาอันเจิดจ้าที่สุด หากมิได้เห็นกับตา ข้าคงเสียใจไปชั่วชีวิต ข้าจะขอร้องคุณชายขอร่วมทัพไปแดนเหนือ แต่ข้าจะไม่ให้นางล่วงรู้ว่าข้าอยู่บนสนามรบด้วย ความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ข้าประสบคนเดียวก็เพียงพอ”
เต้าหลีเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าเข้าใจก็ดี ยามนี้ฐานะของเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว วันพรุ่งเจ้าจงติดตามอยู่ข้างกายฉีอ๋อง คุณชายมีเรื่องบางอย่างจะสั่ง” กล่าวจบก็ส่งยาลูกกลอนเคลือบขี้ผึ้งเม็ดหนึ่งให้เขา ชื่อจี้รับยาลูกกลอนมา หลังจากเปิดออกอ่านคำสั่งบนกระดาษสาด้านในก็ใช้กระบอกจุดไฟเผามันเสีย ขี้เถ้าลอยตกลงบนพื้น ชื่อจี้พลันเผยรอยยิ้มแน่วแน่
เมื่อเรือต้อนรับแขกที่พวกหลี่เสี่ยนกับหลินปี้โดยสารล่องมาถึงฐานทัพใหญ่ของตงไห่โหวบนเกาะน้อยไร้นามแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือล้วนตาเป็นประกาย มองจากไกลๆ เกาะน้อยแห่งนี้ราวกับมีสองแขนโอบกอดอยู่ สองฝั่งต่างเป็นโขดผาสูงชันตั้งตระหง่านและเรียบลื่นมิอาจปีน ทั้งยังไม่มีต้นไม้อำพราง ทำให้ผู้สังเกตการณ์ด้านบนมองเห็นศัตรูได้ในปราดเดียว ส่วนตรงกลางของเกาะน้อยกลับเป็นอ่าวชั้นเยี่ยมแห่งหนึ่งที่ให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาหลบลมพายุได้
ตงไห่โหวเป็นเจ้าแห่งทะเล ผู้ที่เดินทางมาร่วมอวยพรงานมลคลสมรสของท่านโหวน้อย หากมิใช่ทูตจากขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ก็เป็นพ่อค้าผู้อาศัยออกทะเลหาเลี้ยงชีพและโจรสลัดผู้ปล้นชิงเรือเดินทะเล ดังนั้นภายในอ่าวจึงแบ่งแยกชัดเจน แต่ละกลุ่มอำนาจต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระวังกันเองอย่างยิ่ง เรือรบของตงไห่โหวลอยลำล้อมเกาะน้อยไว้จนน้ำยังมิอาจลอดผ่าน ถ้ำเสือรังมังกรเช่นนี้ ต่อให้จิงอู๋จี๋กับปรมาจารย์ซือเจินมาเยือนก็ยากกระทำการตามอำเภอใจ
บนท่าเรือ ชายฉกรรจ์หลายสิบคนสวมชุดแดงประดับไหมสีสันสดใสทำหน้าที่คนต้อนรับแขกเหรื่อ ท่านโหวน้อยผู้สวมชุดมงคลสีแดงยืนอยู่ด้านหน้าสุด รูปร่างองอาจสง่างาม ใบหน้าเปี่ยมสุข
หลังจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังหายสนิท สองปีมานี้เจียงไห่เทาท่องทั่วตงไห่ไร้คู่ต่อกร มิทราบถล่มกลุ่มโจรสลัดให้ยอมจำนนไปแล้วมิรู้เท่าใด ก่อนหน้านี้ตงไห่โหวเป็นเพียงกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดบนผืนทะเล แต่มาวันนี้ได้กลายเป็นผู้บัญชาการของโจรสลัดทั้งหมดแล้ว การที่ประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ ความดีความชอบของเจียงไห่เทามีส่วนอย่างมาก
ไม่เพียงเจียงหย่งผู้เป็นบิดาปลาบปลื้มยิ่งนัก แม้แต่อดีตจักรพรรดิผู้อยู่ไกลโพ้นถึงต้ายงก็ปลื้มปีติเพราะเรื่องนี้เช่นกัน สองปีที่ผ่านมาเมื่อได้อยู่อย่างผ่อนคลาย หลี่หยวนก็นึกเสียใจยิ่งนักที่ในอดีตบีบคั้นพี่เขยให้จนตรอกเกินไป
เจียงไห่เทาเห็นเรือนร่างอรชรบนหัวเรือพลันเอ่ยเสียงกังวาน “เจียงไห่เทารับบัญชาบิดามาต้อนรับองค์หญิงจยาผิงราชทูตจากเป่ยฮั่น”
หลินปี้ยิ้มละไม ตอบเสียงดัง “ท่านโหวน้อยมิต้องมากพิธี”
กล่าวจบก็กระโดดจากดาดฟ้าเดินขึ้นมายังท่าเรือบนฝั่ง หลังจากสองฝ่ายคำนับตามมารยาท สายตาของเจียงไห่เทาก็จับบนร่างของหลี่เสี่ยนผู้ลงจากเรือตามมา จากนั้นใบหน้าพลันเผยสีหน้ายินดีอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วตะโกนเรียก “ท่านอาหก”
เขาโผเข้าไปหาอย่างลิงโลด คว้าแขนของหลี่เสี่ยนได้ก็หัวเราะร่า “ท่านอาหกมาร่วมงานแต่งงานของหลาน เหตุใดจึงไม่บอกก่อนสักคำ”
หลี่เสี่ยนยิ้มละไมตอบ “ข้ามาเป็นการส่วนตัว องค์จักรพรรดิไม่ทราบเรื่อง เจ้าอย่าได้โหวกเหวกไป”
เจียงไห่เทาเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ท่านอาหกมีบุญคุณเคยยื่นมือช่วยเหลือ หลานซาบซึ้งจดจำจารอยู่ในใจ วันนี้ท่านอาหกเดินทางมาร่วมงานฉลอง ท่านพ่อคงดีใจเป็นยิ่งนัก ท่านอาหก รีบไปพบท่านพ่อกันเถิด”
หลี่เสี่ยนขยับยิ้ม “ได้ ข้ากับท่านพี่ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี สมควรพูดคุยเรื่องเก่ากันสักหน่อย นี่คือหลินเอ๋อร์ บุตรชายของข้า เจ้าไม่รู้จักสินะ”
เจียงไห่เทาเห็นหลี่หลินก็ฉุกคิดขึ้นมาโดยพลัน เขาทราบสถาการณ์ในยามนี้ของหลี่เสี่ยนมาบ้าง เด็กคนนี้คงเป็นบุตรที่ฉินเจิงให้กำเนิดเป็นแน่ แต่เขาเป็นผู้จิตใจกว้างขวาง ในเมื่อมารดาของเด็กคนนี้ตายแล้ว เขาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก จึงเอ่ยว่า “ที่แท้ก็น้องชายนี่เอง ให้เขาไปพบท่านแม่ข้าที่ด้านหลังเถอะ”
เวลานี้เอง เสียงใสของเด็กน้อยก็เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “หลันหลันก็อยู่ด้วยนะ”
เจียงไห่เทาเพิ่งพบว่าข้างกายหลี่หลินยังมีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งอยู่ด้วย เมื่อเห็นก็ยินดีเป็นยิ่งนัก เขาก้าวเข้าไปอุ้มโหรวหลันแล้วเอ่ยว่า “หลันเอ๋อร์ก็มาด้วย ถ้าเช่นนั้นท่านอาจารย์มาด้วยหรือไม่ ท่านพ่อส่งเทียบเชิญไปหลายครั้ง แต่ท่านอาจารย์ล้วนบอกว่ามามิได้”
โหรวหลันเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ข้ามากับอาไห่ ท่านพ่ออนุญาตแล้ว”
ดวงตาของเจียงไห่เทาฉายแววผิดหวังวูบหนึ่ง เขาเอ่ยทักทายไห่อู๋หยากับไห่หลีที่อยู่ด้านหลังฉีอ๋อง แล้วจึงวางโหรวหลันลง จากนั้นนำทางแขกสูงศักดิ์ทุกคนมุ่งไปยังโถงงานเลี้ยงที่อยู่ไกลๆ
เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งตงไห่โหวมักจะพำนักอยู่ในช่วงหลายปีนี้ จากท่าเรือขึ้นไปด้านบนมีอาคารสร้างลดหลั่นเป็นชั้นๆ อาคารหลังใหญ่กว้างขวางโอ่อ่าที่สุดตรงไหล่เขา วันวานคือห้องโถงประชุม ส่วนวันนี้คือห้องโถงฉลองงานมงคล ห้องด้านข้างสองฝั่งของห้องโถงใหญ่จัดอาหารสุรานับร้อยโต๊ะไว้ต้อนรับแขกธรรมดา ส่วนภายในห้องโถงใหญ่ตรงกลาง นอกจากตรงกลางที่ปูพรมแดงเป็นโถงพิธี สองฟากต่างจัดโต๊ะอาหารไว้สิบแปดโต๊ะสำหรับต้อนรับแขกสำคัญ
เล่ากันว่าฮูหยินของตงไห่โหวร่างกายอ่อนแอป่วยออดแอด วันนี้จึงไม่ร่วมพิธี มีเพียงตงไห่โหวพาลูกน้องและแม่ทัพคนสนิทมาต้อนรับแขกเหรื่อด้วยสีหน้าเบิกบานอยู่ในห้องโถงใหญ่ คนพบพานเรื่องมงคลย่อมสดใส ตงไห่โหวผู้อายุสี่สิบห้าปีจึงร่าเริงยิ่งนัก ยังไม่ทันเริ่มงานเลี้ยงก็ดื่มไปแล้วหลายจอก
แขกในห้องโถงแห่งนี้ หากกล่าวถึงความสูงศักดิ์ ย่อมต้องนับราชทูตจากต้ายงกับหนานฉู่
ตอนต่อไป