ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 19 ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น (2)
ตอนที่ 19 ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่น (2)
ข้าหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “เจินเอ๋อร์ เคยบอกท่านแล้วว่าเส้นผมของข้าเป็นเรื่องช่วยมิได้ แม้ยามนั้นโอสถพิทักษ์หัวใจเก้าสกัดช่วยรักษาชีวิตข้าจนมาถึงตงไห่ แต่ฤทธิ์ยารุนแรงนัก ถึงท่านหมอซังช่วยปรับร่างกายข้าอย่างพิถีพิถันแล้วก็ยังทำให้เส้นผมของข้ากลายเป็นสภาพเช่นนี้ หลายปีนี้ข้าจิตใจสงบปลอดโปร่ง ตั้งใจพักรักษาร่างกายจริงๆ ส่วนเรื่องวุ่นวายระหว่างตระกูลไห่ ตระกูลเย่ว์อะไรเหล่านั้นก็เป็นการเล่นสนุกเพราะข้าว่างจนเบื่อหน่ายเท่านั้น ท่านไม่เคยเห็นข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่เล่า”
องค์หญิงฉางเล่อกลอกตาใส่เจียงเจ๋อ “ก็ได้ ข้าเชื่อท่าน หากยามนั้นมิช่วยพี่รอง ท่านก็คงไม่หวิดสิ้นชีพอยู่ที่ฉางอัน หลังจากนี้ห้ามท่านเอาชีวิตเข้าแลกเช่นนั้นอีก ท่านคิดว่าข้ามิทราบหรือ หลายวันก่อนพอจดหมายของพี่รองมาถึง ท่านก็เริ่มยุ่ง ดูท่าวันเวลาอันแสนสบายเช่นนี้คงใกล้จบลงแล้ว ข้ามิขัดขวางท่านทำงาน แต่ทุกสิ่งย่อมต้องตึงหย่อนให้พอดี อย่าทุ่มเทจนรากเลือดเช่นก่อนหน้าอีกเป็นดี”
ข้ารีบตอบว่า “แน่นอน บัญชาของภรรยามิอาจไม่ทำตาม เอาอย่างนี้ ข้าตามไปดูเซิ่นเอ๋อร์ด้วยกันกับท่านดีหรือไม่”
องค์หญิงฉางเล่อกลั้นยิ้ม “อย่าก่อเรื่อง คิดว่าข้ามิรู้หรือ หากปล่อยให้ท่านไปดูเขา ท่านก็คงแกล้งเขาเล่นอีก เขากำลังอยู่ในช่วงที่ชอบนอน มิรู้ว่านิสัยนี้ของท่านมันอย่างไรกัน ก่อนนี้เคยฟังพี่สะใภ้รองเล่าว่าท่านมักแอบรังแกหยอกหลันเอ๋อร์เล่น วันนี้แม้แต่เซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่ละเว้น ช่างไม่เหมือนคนเป็นบิดาจริงๆ”
ข้าหดคออย่างช่วยไม่ได้ เรื่องนี้ข้ามิกล้าโต้แย้ง เพราะกลั่นแกล้งบุตรชายจนร้องไห้ถูกองค์หญิงจับได้คาหนังคาเขาอยู่หลายครั้งจริงๆ
หลังจากร่างขององค์หญิงหายลับไป ข้าก็รั้งสายตาอาลัยอาวรณ์กลับมา แล้วก้าวไปมองผ้าปักที่องค์หญิงทิ้งเอาไว้ชิ้นนั้น เมื่อเห็นรอยเลือดด้านบนดังคาด จิตใจก็พลันหม่นหมองอย่างมิอาจห้าม หลายปีนี้แม้ข้ากับองค์หญิงรักใคร่ปรองดอง แต่ในใจข้ากลับรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ยามนั้นองค์หญิงกับข้าหนีตามกันมายังตงไห่แล้วแต่งงานกันด้วยการสนับสนุนของท่านหมอซัง มิต้องพูดถึงพิธีการยิบย่อยของพิธีอภิเษกองค์หญิงอันใดเหล่านั้น แม้แต่หกพิธีการอันเป็นขั้นพื้นฐานก็ยังไม่ได้ตระเตรียม ผู้ที่เข้าร่วมพิธีน้อยนิดไม่กี่คน นอกจากคนใกล้ชิดสองสามคน คนนอกสักคนก็ไม่มี
หลังแต่งงาน ข้าใช้เวลาเกือบครึ่งปีไปกับการกินยาและพักรักษาตัว องค์หญิงจึงเป็นได้เพียงภรรยาในนาม ทว่าองค์หญิงกลับไม่ตัดพ้อสักนิด กลับดูแลปรนนิบัติสุดกำลัง ทั้งยังรับผิดชอบงานในบ้านและหน้าที่ดูแลโหรวหลันอีก แม้มีต่งเชวียกับโจวซั่งอี๋ช่วยเหลือ แต่บุตรีผู้เป็นที่รักของฟ้าคนหนึ่ง จะจัดการเรื่องราวยิบย่อยเหล่านี้ในบ้านให้ดีก็คงต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
ต่อให้สองปีนี้ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเป็นไปด้วยดี แต่เรื่องในห้องหอก็ยังมิกล้าผ่อนคลายข้อละเว้น องค์หญิงกลับเป็นดังเดิม ดูแลการกินอยู่ของข้าอย่างใส่ใจ เพื่อรักษาร่างกายของข้า นางถึงขั้นนำตำราลับภักษาโอสถที่ราชวงศ์ซ่อนไว้มาขอคำแนะนำจากท่านหมอซัง อาหารของข้าในตอนนี้ องค์หญิงเป็นผู้ปรุงทั้งหมด แม้แต่ท่านหมอซังก็ยังต้องนับถือความฉลาดในด้านนี้ขององค์หญิง นึกถึงขนมชิ้นน้อยที่องค์หญิงลงครัวทำเองเป็นบางครั้ง ข้าก็กลืนน้ำลายอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ รสชาติอร่อยล้ำเช่นนั้นทำให้คนยากลืมเลือนทั้งชีวิต
องค์หญิงมอบความรักลึกซึ้งให้เช่นนี้ เดิมทีข้าสมควรใช้ชีวิตดั่งกระเรียนล่องเมฆาเช่นนี้กับนางต่อไป แต่ยามนี้ข้ากลับมิอาจไม่หวนคืนโลก แม้มิอยากละทิ้งชีวิตสงบสุขเช่นนี้กลับไปยังโลกีย์โลกอันวุ่นวายและอันตราย แต่นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
หลายวันก่อนหลี่จื้อให้หัวหลิวส่งจดหมายมาอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วขอร้องอย่างอ้อมๆ ให้ข้าออกไปช่วยเหลือ มิต้องพูดถึงบุญคุณก่อนหน้านี้ของหลี่จื้อ เพียงเห็นแก่หน้าองค์หญิงฉางเล่อ ข้าก็มิอาจไม่ยุ่ง หากราชวงศ์ต้ายงเกิดเภทภัยน่าสลดอันใดขึ้นอีก เกรงว่าฉางเล่อคงรับมิไหว
อีกประการหนึ่ง นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะให้องค์หญิงฉางเล่อได้กลับไปหาอดีตองค์จักรพรรดิ มิว่าอย่างไรครั้งนั้นที่องค์หญิงฉางเล่อหนีมาก็ทำให้หลี่หยวนโกรธจัด วันนี้หากตนรับบัญชาองค์จักรพรรดิกลับไปอีกครั้ง พวกเขาบิดากับบุตรสาวก็จะได้คืนดีกัน องค์หญิงต้องดีใจแน่ แล้วข้าก็รู้อยู่แก่ใจดี ยามนี้ตัวข้ากลายเป็นพระราชบุตรเขยของราชวงศ์ต้ายงแล้ว โชคชะตาข้าเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับต้ายง หากต้ายงมิอาจรวมใต้หล้า ถ้าเช่นนั้นตัวข้าเองก็อย่าคิดได้ใช้ชีวิตสงบสุข
ข้ามองรายงานที่กองตั้งบนโต๊ะแล้วเริ่มเปิดอ่านอีกครั้ง ใบหน้าข้าเผยรอยยิ้มเย็นชาพลางพึมพำแผ่วเบา “ตงไห่ ตระกูลเย่ว์ เป่ยฮั่น หนานฉู่!” น้ำเสียงแฝงความเย็นยะเยือกอยู่จางๆ
ในเวลาเดียวกัน ณ ท่าเรือบนเกาะที่ตงไห่โหวจัดงานมลคลให้บุตรชายสุดรัก ภายในห้องพักปิดมิดชิดห้องหนึ่งบนเรือส่งตัวเจ้าสาวของตระกูลเย่ว์แห่งหนานไห่ ชายหนุ่มรูปงาม ท่วงท่าสง่าคนหนึ่งกำลังพลิกอ่านจดหมายอยู่ ภายในห้องไร้หน้าต่าง โคมสีเงินดวงหนึ่งทอแสงสลัวกระทบใบหน้าของชายหนุ่มอายุเกือบสามสิบปีผู้นี้ อาจเป็นเพราะแสงโคม ดวงหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มจึงแลดูชั่วร้ายและเหี้ยมเกรียม
“ตงไห่ ตระกูลเย่ว์!” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา ดวงตาทอประกายเย็นเยียบอย่างดูแคลน เขาวางจดหมายในมือลงแล้วหยิบโคมสีเงินเดินไปยังมุมห้อง ตรงนั้นแขวนแผนที่อันประณีตไว้แผ่นหนึ่ง สิ่งที่วาดอยู่บนนั้นคืออาณาเขตเดิมของราชวงศ์ตงจิ้น ดินแดนที่ต้ายง เป่ยฮั่นกับหนานฉู่ครอบครองอยู่ตอนนี้ใช้สีคนละสีระบายไว้
สายตาของชายหนุ่มจับจ้องเมืองปินโจวทางเหนือกับเมืองเฉวียนโจวทางใต้ แล้วเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือก หลังจากนั้นสายตาของเขาจึงเลื่อนไปมองแถบชิ่นโจวกับเจ๋อโจวซึ่งเป่ยฮั่นกับต้ายงกำลังประจันหน้ากันอยู่ เขาเอ่ยกับตนเอง “เป่ยฮั่นสมควรฉวยโอกาสบุกตีต้ายง โอกาสดีเช่นนี้พวกเขาไม่สมควรพลาด แม้การเสียตงไห่ สำหรับต้ายงจะมิร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็เสียหายถึงกระดูก ยิ่งไปกว่านั้น การควบคุมตงไห่ก็ยังมีข้อดีประการหนึ่ง บางทีข้าอาจได้ตัวคนผู้นั้น”
เมื่อคิดถึงคนผู้นั้น ใบหน้าของชายหนุ่มพลันปรากฏสีหน้าเจ็บแค้นล้ำลึก เขาเอ่ยอย่างเคียดแค้น “เจียงเจ๋อ หลี่เจิน ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าแน่ หลี่เจิน เจ้าอ้างว่าครองตัวบริสุทธิ์ ดื้อดึงสารพัดมิยอมแต่งงานกับข้า เรื่องนั้นยังมิเท่าไร แต่เจ้ากลับหนีตามเจียงเจ๋อ ทำเรื่องมิบริสุทธิ์มีมลทินเช่นนี้ ยังมีหน้าอันใดมีชีวิตอยู่บนโลกอีก”
ขณะที่ใบหน้าของชายหนุ่มเผยสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต ก็มีคนเอ่ยขึ้นจากด้านนอก “ท่านเจ้าตำหนัก ทุกสิ่งตระเตรียมพร้อมแล้ว เย่ว์อู๋จิวส่งข่าวมาแจ้งว่าหากไม่เกิดเรื่องผิดแผน ขอท่านเจ้าตำหนักโปรดอย่าลงมือ”
ใบหน้าของชายหนุ่มเผยสีหน้าเย้นหยันจางๆ แล้วเอ่ยว่า “เข้ามาเถิด”
ประตูห้องเปิดออก ชายวัยกลางคนใบหน้าซูบผอมคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านเจ้าตำหนัก เจ้าตำหนักอี๋หวงกับเจ้าตำหนักเฟิ่งอู่ต่างส่งจดหมายมาขอคำสั่งท่านว่าจะเคลื่อนไหวเมื่อใด”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ “รีบร้อนไปไย เมื่อพวกเขาสองฝั่งต่างบาดเจ็บค่อยลงมือมิดีกว่าหรือ”
ชายวัยกลางคนยิ้มละไมเอ่ยว่า “เย่ว์อู๋จิวก็นับเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง แต่ครานี้กลับตกลงมาในกับดักของท่านเจ้าตำหนัก ชื่อเสียงมลายหมดสิ้นโดยแท้ ท่านเจ้าตำหนักช่างปรีชาชาญ พ่อค้าวาณิชเหล่านั้นไฉนเลยจะเป็นคู่ต่อกรได้”
ชายหนุ่มกลับมิได้มีสีหน้าภาคภูมิแม้แต่น้อย กลับเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพ่ายแพ้ยับเยินมาแล้ว เสียท่าครั้งหนึ่ง ฉลาดขึ้นครั้งหนึ่ง ข้าเรียนรู้มาสองสิ่ง สิ่งแรกใต้หล้าไม่มีผู้ใดไร้จุดอ่อน อีกสิ่งหนึ่งก็คือหากงานยังไม่สำเร็จมิอาจวางใจ เย่ว์อู๋จิวมิใช่คนเขลา แต่จุดอ่อนของเขาเด่นชัดเกินไป จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเพราะวิธีการสืบทอดตระกูลของตระกูลเย่ว์มอบความทะเยอทะยานให้เขามากไป
กล่าวไปแล้วต้นตระกูลเย่ว์ในอดีตเป็นผู้มองการณ์ไกลทีเดียว เขาทราบหลักการที่กล่าวว่าความมั่งคั่งคงอยู่มิพ้นสามรุ่น ทายาทที่ถูกเลี้ยงดูอย่างสุขสบายยากจะรับผิดชอบภาระใหญ่ แต่เขาก็มิต้องการให้ลูกหลานตระกูลสายหลักถูกตระกูลสายรองมาแทนที่ ดังนั้นจึงกำหนดกฎประหลาดเช่นนั้นขึ้นมา
เจ้าตระกูลทุกรุ่นมิสิทธิ์เลือกผู้มีความสามารถคนหนึ่งในหมู่ลูกหลานมาเป็นเจ้าตระกูลรุ่นต่อไป หากผู้สืบทอดทั้งหมดล้วนใช้การมิได้ เจ้าตระกูลมีสิทธิ์เลือกคนหนึ่งในนั้นตามความเห็นของตนมาเป็นเจ้าตระกูลชั่วคราว หลังจากนั้นมอบหมายให้ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในตระกูลเป็นผู้ดูแลใหญ่ อำนาจหลักในตระกูลจะตกอยู่ในการควบคุมของผู้ดูแลใหญ่
แต่ในเวลาเดียวกัน เจ้าตระกูลจะแต่งตั้งคนสนิทคนหนึ่งให้เป็นผู้พิทักษ์กฎ เมื่อในหมู่ทายาทของเจ้าตระกูลชั่วคราวมีคนเก่ง เขาก็จะดึงอำนาจเจ้าตระกูลกลับมาจากมือผู้ดูแลใหญ่ได้อย่างราบรื่นด้วยการช่วยเหลือของผู้พิทักษ์กฎ หากรุ่นที่สามยังไม่มีผู้สืบทอดที่โดดเด่น ผู้ดูแลใหญ่จึงจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นทั้งการมอบโอกาสให้ลูกหลานสายรองในตระกูลแย่งชิงอำนาจ แล้วยังเป็นการรับประกันลูกหลานสายหลักอย่างดีที่สุด ลองคิดดูว่าหากเจ้าตระกูลชั่วคราวผู้ถูกช่วงชิงอำนาจส่วนใหญ่ไปยังมิรู้จักสั่งสอนลูกให้ดีเพื่อแย่งชิงอำนาจกลับมา เช่นนั้นการที่ลูกหลานสายนี้จะถูกแทนที่ย่อมเป็นเรื่องสมควร ดังนั้นหลังตั้งกฎข้อนี้ ตระกูลเย่ว์สืบทอดต่อกันมาสิบเจ็ดรุ่น แม้ตระกูลสายหลักจะเคยสูญเสียอำนาจไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ช่วงชิงกลับมาได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เย่ว์อู๋จิวกระวนกระวายใจจนต้องร่วมมือกับพวกเรา
แม้เย่ว์อู๋หลิงเจ้าตระกูลเย่ว์ในตอนนี้จะมีความสามารถไม่โดดเด่น แต่ก็มิใช่คนเขลา เขาให้น้องสาวแท้ๆ แต่งงานกับตงไห่โหวเจียงหย่ง เสริมความแข็งแกร่งให้อำนาจของตนสำเร็จ วันนี้ยังจะให้บุตรสาวแสนรักเย่ว์ชิงเยียนแต่งงานกับท่านโหวน้อยเจียงไห่เทาอีก บุตรชายคนโตของเขาเย่ว์เหวินฮั่นเก่งกาจใจกล้า เจ้าคิดว่าเย่ว์อู๋จิวผู้นี้เห็นอำนาจในมือกำลังจะหลุดลอยไปอีกครั้งจะยินยอมได้เช่นไร พวกเราจึงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เพื่ออำนาจกับตำแหน่ง เย่ว์อู๋จิวไฉนเลยจะไม่ฮุบเหยื่อ”
ตอนต่อไป