ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 2 ดรุณีสีเพลิง (2)
ตอนที่ 2 ดรุณีสีเพลิง (2)
หลินถงกลอกตาไปมาแล้วถามว่า “ดูแล้วแม้ท่านอายุน้อยแต่ก็เคยเดินทางไปหลายที่นัก ข้ามีเรื่องอยากถามท่านสักหน่อย”
หวังจี้ค้อมกายบนหลังม้าแล้วเอ่ยว่า “เชิญท่านหญิงถาม หากผู้น้อยทราบย่อมมิกล้าปิดบังแน่นอน”
หลินถงกล่าวว่า “แม้แต่ตัวข้า ท่านก็รู้จัก ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับองค์หญิงจยาผิงหลินปี้พี่สาวของข้าสินะ”
หวังจี้พยักหน้า “ผู้น้อยย่อมเคยได้ยิน องค์หญิงจยาผิงเป็นถึงวีรสตรีในหมู่สตรี นำทัพโจมตีคนเถื่อนจนล่าถอยหลายครั้ง ในเป่ยฮั่นมีผู้ใดมิรู้จักชื่อเสียงเกรียงไกรขององค์หญิงบ้าง ได้ยินว่าองค์หญิงหมั้นหมายอยู่กับแม่ทัพหลง ช่างเป็นคู่ครองที่เหมาะกันยิ่งนัก ใต้หล้าผู้ใดมิอิจฉาบ้าง”
หลินถงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ใช่แล้ว พี่เขยของข้าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ใต้หล้ามีแต่เขาที่คู่ควรกับพี่สาวของข้า แต่ว่าข้ามักได้ยินผู้อื่นยกองค์หญิงฉางเล่ออันใดสักอย่างมาเทียบเคียงกับพี่สาว ใต้หล้ายังมีสตรีใดเทียบพี่สาวข้าได้หรือ ข้าไม่เชื่อหรอก แต่ไม่มีผู้ใดยอมเล่าเรื่ององค์หญิงฉางเล่อผู้นี้ให้ข้าฟัง ท่านคงจะไม่บอกว่าท่านเองก็ไม่รู้หรอกนะ”
หวังจี้มองดวงตาทรงเมล็ดซิ่งที่เบิกจนกลมแล้วอดหัวเราะออกมาดังพรืดไม่ได้ จนกระทั่งเห็นว่าหลินถงสีหน้าขุ่นเคืองขึ้นทุกทีจึงหยุดหัวเราะแล้วตอบว่า “ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่ยอมบอกท่าน องค์หญิงฉางเล่อผู้นี้ชีวิตระหกระเหิน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนต้ายง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมเล่าให้ท่านฟัง”
หลินถงเอ่ยอย่างสนอกสนใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านคงรู้สินะ รีบเล่าให้ข้าฟังเร็ว”
หวังจี้นึกครู่หนึ่งก็เริ่มเล่า “ความจริงแล้วพระราชทินนนามขององค์หญิงฉางเล่อผู้นี้คือองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ นางเป็นองค์หญิงองค์โตของหลี่หยวน อดีตจักรพรรดิแห่งต้ายง พระมารดาของนางเคยเป็นกุ้ยเฟย แต่เมื่อสามปีก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา วันนี้กลายเป็นไทเฮาแล้ว องค์หญิงผู้นี้เดิมทีนิสัยเรียบร้อยนิ่งเงียบ อายุสิบหกปีเสกสมรสเป็นพระชายาของรัชทายาทแห่งหนานฉู่ ต่อมาเมื่อรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ องค์หญิงก็กลายเป็นมารดาของแผ่นดินแห่งหนานฉู่ หากกล่าวถึงฐานะย่อมสูงศักดิ์อย่างยิ่ง”
หลินถงถามอย่างสงสัย “แค่เพราะเหตุนี้ผู้อื่นก็จับนางมาเทียบเคียงกับพี่สาวแล้วหรือ”
หวังจี้ส่ายหน้าแล้วคลี่ยิ้ม “ย่อมมิใช่ แม้องค์หญิงผู้นี้ฐานะสูงศักดิ์ แต่น่าเสียดายต้ายงกับหนานฉู่เป็นอริกัน ถึงหนานฉู่ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อนาง แต่ในใจเกรงว่าคงไม่เคยมีสักชั่วขณะที่ชมชอบองค์หญิงพระองค์นี้ นางหลบเร้นอยู่ในวังหลายปี ต่อมารัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสองของแคว้นหนานฉู่ ปีนั้นเจ้าแคว้นเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นจื้อฮวา แต่ชื่อรัชศกนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสาม หรือรัชศกหรงเซิ่งปีที่สิบเก้าของแคว้นท่าน หลี่จื้อผู้ยังเป็นยงอ๋องในยามนั้นนำทหารบุกโจมตีเมืองหลวงของหนานฉู่และรับองค์หญิงฉางเล่อกลับคืนต้ายง”
หลินถงทำหน้าถูกใจพลางเอ่ยว่า “เช่นนี้สิจึงจะดี องค์หญิงอยู่ที่หนานฉู่ก็ไม่มีความสุข แม้ข้าเกลียดชังชาวต้ายงนัก แต่เรื่องนี้จักรพรรดิต้ายงทำได้ไม่เลว”
หวังจี้ขยับยิ้ม “องค์หญิงกลับต้ายงได้ไม่นาน เจ้าแคว้นก็ถูกปล่อยตัวกลับหนานฉู่ ทว่าระหว่างทางกลับสิ้นพระชนม์ ดังนั้นจักรพรรดิต้ายงจึงหาราชบุตรเขยคนใหม่ให้แก่องค์หญิง ยามนั้นจักรพรรดิทรงพิจารณาอยู่สามคน คนแรกคือฉินชิง บุตรชายของฉินอี๋ แม่ทัพใหญ่ฝู่หย่วนแห่งต้ายง คนต่อมาคือเหวยอิง บุตรชายของเหวยกวน อัครมหาเสนาบดีแห่งต้ายง ส่วนคนสุดท้ายคือเซี่ยโหวหยวนเฟิง รองสมุหราชองครักษ์ประจำองค์จักรพรรดิต้ายง สามคนนี้คนหนึ่งเป็นแม่ทัพ คนหนึ่งเป็นขุนนาง ส่วนเซี่ยโหวหยวนเฟิงเพียบพร้อมทั้งวรยุทธ์และสติปัญญา รูปโฉมดั่งจื่อโตว ได้ฉายาว่าบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งต้ายง ตามหลักแล้วมิว่าองค์หญิงจะสายพระเนตรสูงส่งปานใดก็สมควรต้องพระทัยสักคน”
หลินถงถามอย่างตื่นเต้น “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงถูกใจผู้ใด”
หวังจี้ส่ายหน้า “องค์หญิงไม่ถูกใจสักคน”
หลินถงเอ่ยอย่างประหลาดใจ “นางไม่ถูกใจ หรือว่าต้องเป็นคนเช่นพี่เขยข้านางจึงจะพึงใจ”
หวังจี้คลี่ยิ้ม “บุคคลเช่นแม่ทัพหลง ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนกันเล่า ผู้น้อยก็มิทราบว่าองค์หญิงต้องใจวีรบุรุษผู้ห้าวหาญเช่นแม่ทัพหลงหรือไม่ แต่สุดท้ายจักรพรรดิต้ายงก็ประกาศว่าขอเพียงเป็นผู้ที่องค์หญิงต้องพระทัย มิว่าจะมีฐานะเช่นไรล้วนเป็นราชบุตรเขยได้”
หลินถงถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “แล้วสุดท้ายองค์หญิงฉางเล่อเลือกผู้ใด”
หวังจี้ถอนหายใจ “ตำแหน่งราชบุตรเขยนี่ไฉนจะเลือกส่งๆ ได้ มิว่ายุคใดสมัยใด ผู้ที่ได้ชื่อว่าองค์หญิง แม้ฐานะสูงศักดิ์ แต่หาคำว่าความสุขได้ยากที่สุด ไม่แต่งงานกับขุนนางผู้สร้างความชอบเป็นเครื่องมือซื้อใจขุนนาง ก็กลายเป็นเครื่องสังเวยในการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ องค์หญิงฉางเล่อที่แต่งงานไปยังหนานฉู่ก็คือเครื่องสังเวยประเภทนี้ แม้นางโชคดีได้กลับบ้านเกิด ทว่าราชบุตรเขยทั้งหลายที่องค์จักรพรรดิต้ายงตระเตรียมไว้ให้เลือกก็ล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลใหญ่โต แม้กล่าวว่าองค์หญิงเลือกราชบุตรเขยได้ตามพระทัย แต่เกรงว่าหากองค์หญิงฉางเล่อมีคนที่ต้องพระทัยอยู่จริง มิถูกจักรพรรดิต้ายงสังหาร ก็คงถูกคุณชายทั้งหลายที่โดนปฏิเสธลอบทำร้าย
ดังนั้นการได้แต่งงานกับองค์หญิงแม้ฟังดูมีเกียรติยิ่งนัก แต่สำหรับวีรบุรุษผู้ชาญฉลาดอย่างแท้จริง อาจรู้สึกว่าเป็นกับดักอันอ่อนหวานที่ล่อลวงสู่หายนะ จึงไม่ยินยอมก็เป็นได้ ดังนั้นสุดท้ายองค์หญิงฉางเล่อจึงไม่พูดสักคำ แต่กัดฟันแน่วแน่ไม่ยอมเลือกราชบุตรเขย ต่อมาจักรพรรดิต้ายงออกราชโองการให้องค์หญิงหมั้นหมายกับเหวยอิง ทว่าองค์หญิงฉางเล่อยอมออกบวชดีกว่ายอมแต่ง สุดท้ายจักรพรรรดิจึงได้แต่ปล่อยให้นางครองพรหมจรรย์ไม่แต่งงานตามแต่ใจ ยามนั้นบางคนก็ลือว่าองค์หญิงฉางเล่ออาจซาบซึ้งบุญคุณของเจ้าแคว้นหนานฉู่จึงอาลัยรัก ต้องการครองพรหมจรรย์เพื่อเจ้าแคว้น”
ครั้งนี้หลินถงมิพูด แต่สายตาฉายแววไม่เห็นด้วย
หวังจี้ใจทราบดีว่านี่เป็นเพราะดินแดนเป่ยฮั่นตั้งอยู่ชายแดน บุรุษหนุ่มตายในศึกสงครามได้ง่ายดาย ดังนั้นเพื่อรักษาจำนวนประชากร จึงไม่ส่งเสริมให้แม่ม่ายครองพรหมจรรย์ แต่เขาเลือกไม่พูด กลับเล่าต่อว่า “ต่อมาผู้คนจึงคาดเดาว่าองค์หญิงผู้นี้สายตาแหลมคม มองปราดเดียวก็มองอนาคตของขุนนางภักดีกับขุนนางชั่วทะลุปรุโปร่ง จึงไม่ยินดีเลือกราชบุตรเขยจากชายหนุ่มมากความสามารถเหล่านั้น”
หลินถงอดไม่ไหวถามว่า “เหตุใดกล่าวเช่นนี้เล่า”
หวังจี้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงคงจำมิได้แล้ว รัชศกหรงเซิ่งปีที่ยี่สิบเอ็ด หรือก็คือรัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้าของต้ายง ต้ายงเคยเกิดความวุ่นวายภายใน หลี่อันรัชทายาทในยามนั้นสมคบคิดก่อกบฏ ต่อมาจึงถูกบีบให้ปลิดชีพตนเอง”
หลินถงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจำได้ ปีนั้นพี่สาวกับพี่เขยหมั้นกัน แต่พี่เขยยุ่งอยู่กับการนำทัพตีต้ายง งานแต่งงานจึงเลื่อนมาจนถึงตอนนี้”
หวังจี้เล่าต่อ “เหวยอิงคุณชายตระกูลอัครเสนาบดีผู้นั้นเข้าร่วมการก่อกบฏ ต่อมาก็หนีไปพร้อมกับสำนักเฟิงอี้ จวบจนวันนี้ก็ยังมิทราบว่าอยู่แห่งหนใด บิดาของเขาผู้ถูกหางเลขไปด้วยปลิดชีพตนเพื่อขอขมาความผิด หากมิใช่ว่าจักรพรรดิต้ายงเห็นแก่ความดีความชอบของบิดาเขา เกรงว่าอาจต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร
แม่ทัพฉินฉินชิงผู้นั้นก็เลือกตบแต่งสตรีผิดคน ท่านหญิงจิ้งเจียงหลี่หันโยวภรรยาของเขาก็เป็นกบฏด้วย นางลอบสังหารองค์หญิงฉางเล่อแต่ไม่สำเร็จ กลายเป็นว่าแม่ทัพฉินผู้นี้ถูกภรรยาสังหารแทน ยิ่งไปกว่านั้นเล่ากันว่าที่สำนักเฟิงอี้ปิดล้อมวังก่อกบฏสำเร็จก็เป็นเพราะภรรยาของแม่ทัพฉินผู้นี้”
หวังจี้เว้นจังหวะครู่หนึ่งแล้วหยิบถุงน้ำข้างแส้ม้าขึ้นมาดื่ม หลินถงฉวยโอกาสถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้นั้นเล่า”
หวังจี้นึกครู่หนึ่งก็ตอบว่า “จะว่าอย่างไรดีเล่า คนผู้นี้ยามนี้กลายเป็นขุนนางคนสำคัญคนใหม่ของเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ไปแล้ว แม้ยังมีตำแหน่งเป็นรองสมุหราชองครักษ์เช่นเดิม แต่ภายนอกเล่าลือกันว่าหลายปีนี้จักรพรรดิต้ายงก่อตั้งกรมแห่งหนึ่งนามว่า ‘กรมวินิจการณ์’ เซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้นี้ก็คือผู้ควบคุมกรมวินิจการณ์
ผู้น้อยมิทราบว่ากรมวินิจการณ์แห่งนี้ที่แท้ทำสิ่งใด แต่ได้ยินมาว่าขุนนางฝ่ายปกครองและแม่ทัพฝ่ายทหารของต้ายงเพียงได้ยินนามกรมวินิจการณ์ คนมากกว่าครึ่งก็ล้วนขมวดคิ้ว ดูแล้วเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้นี้ มิว่าอย่างไรก็คงนับเป็นตัวเลือกราชบุตรเขยที่ดีมิได้กระมัง”
หลินถงฟังถึงตรงนี้ก็ถามว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ องค์หญิงฉางเล่อผู้นี้ชาญฉลาดก็จริง แต่หากเพียงเท่านี้จะมาเทียบเสมอพี่สาวของข้า ข้าเห็นทีจะไม่ยอมรับ”
หวังจี้กำลังจะตอบ แต่จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันใด “ท่านหญิง! ด้านหลัง…”
หลินถงตกใจ หันไปมองด้านหลังอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ แล้วก็เห็นว่าห่างไปหลายจั้ง สตรีผู้สวมอาภรณ์ขี่ม้าสีเขียวหยก คลุมทับด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่สีเหลืองปักลายหงส์กำลังอมยิ้มมองตนอยู่บนหลังม้า สตรีบนหลังม้าผู้นั้นอายุราวยี่สิบปี หน้าตาละม้ายคล้ายหลินถงถึงเจ็ดส่วน แต่คิ้วลากยาวจรดปอยผม ดวงตาหงส์แฝงความน่าเกรงขาม หน้าตาสง่างามแลดูสูงศักดิ์ กิริยาท่าทางเหนือกว่าหลินถงมากนัก ด้านหลังสตรีบนหลังม้าห่างไปราวยี่สิบจั้ง มีสี่บุรุษสี่สตรีขี่อาชายืนนิ่งอยู่
สตรีบนหลังม้าผู้นั้นเห็นว่าหลินถงเห็นตนแล้วจึงคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ถงเอ๋อร์ เจ้าแอบหนีออกมาอีกแล้ว”
หลินถงเอ่ยเรียกอย่างตกใจ “ท่านพี่” แล้วจึงกระโดดโผออกจากหลังม้าโถมเข้าไปในอ้อมแขนของสตรีชุดสีเขียวหยกผู้นั้น สตรีบนหลังม้าผู้นั้นยื่นมือออกมาคว้ามือเรียวงามของหลินถงได้พอดิบพอดี หลินถงยืมแรงพลิกกายครั้งหนึ่งก็ลงมานั่งบนอานม้าของสตรีอาภรณ์สีหยก แล้วซุกกายอยู่ในอ้อมแขนของนางอย่างว่องไว ดวงหน้าเผยรอยยิ้มเจิดจ้า “ท่านพี่ ถงเอ๋อร์ก็แค่อยากไปชมดูความครึกครื้นเท่านั้น”
สตรีอาภรณ์สีหยกยิ้มละไม ดวงตาหงส์ฉายแววรักใคร่ หลังจากนั้นสายตาจึงเลื่อนไปจับบนร่างหวังจี้
ในใจหวังจี้ผวาวูบ รีบพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วค้อมกายคารวะ “ผู้น้อยหวังจี้ คารวะองค์หญิง”
องค์หญิงจยาผิงหลินปี้ หรือสตรีอาภรณ์สีหยกผู้นั้นยื่นมือออกมาทำท่าประคองแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องมากพิธี ถงเอ๋อร์คงถามเรื่ององค์หญิงฉางเล่อกับท่านสินะ ข้าฟังท่านเล่าแคล่วคล่องดุจนับสมบัติในบ้าน คงรู้รายละเอียดในเรื่องนี้ดียิ่ง”
หลินถงดึงแขนพี่สาวแล้วบอกว่า “ท่านพี่ เขาก็คือหมอเทวดาปั๋วเล่อที่พวกคนเถื่อนลือกัน ข้าเป็นคนดื้อถามนู่นถามนี่กับเขาเอง แล้วเมื่อครู่เขายังช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย ท่านพี่อย่าเข้าใจผิดกล่าวโทษเขาเลย”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลินถง แววตาของหลินปี้ก็อ่อนลงมาก แต่ยังมีความระแวงอยู่บ้าง นางค้อมกายเล็กน้อยบนหลังม้าแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็หมอเทวดาหวังนี่เอง ได้ยินว่าหมอเทวดาหวังชำนาญการรักษาม้า ข้าได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังมานานแล้ว เจ้าคนที่หนีรอดไปสองคนนั่นถูกข้าจับตัวไว้ได้แล้ว พวกเขาตั้งใจจะฉวยโอกาสระหว่างเปิดตลาดชายแดนที่ผู้คนสัญจรไปมาดักสังหารสายลับของแม่ทัพ ขอบคุณหมอหวังมากที่ช่วยน้องสาวของข้า”
หวังจี้ตอบอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยมิกล้ารับคำขอบคุณจากองค์หญิง เพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง หากไม่มีเรื่องอื่น โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยขอตัวลา”
หลินถงได้ยินดังนั้นก็กระตุกแขนเสื้อพี่สาวอย่างร้อนรนเล็กน้อย หลินปี้เอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ท่านหมอหวัง เมื่อครู่ฟังท่านเล่าเรื่องราวขององค์หญิงฉางเล่อ ข้าเองก็สนใจยิ่งนัก มิสู้ท่านเล่าต่อให้ข้าฟังด้วยเป็นเช่นไร”
หวังจี้ยิ้มเจื่อน หลินปี้มีฐานะใด เรื่องราวนอกบันทึกหลวงขององค์หญิงฉางเล่อ เกรงว่านางคงฟังมาจนเล่าได้แล้ว แต่ในเมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ ตนจะทำอันใดได้เล่า เขาจึงได้แต่กระโดดขึ้นม้า ขบวนคนมุ่งหน้าต่อไปยังไต้โจวอย่างเอื่อยเฉื่อย
ตอนต่อไป