ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 32 มีบุตรชายก็เพียงพอแล้ว (3)
ตอนที่ 32 มีบุตรชายก็เพียงพอแล้ว (3)
ยามข้าเข้าไปต้อนรับพี่ภรรยาทั้งสอง ในใจเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าการที่องค์หญิงฉางเล่อหนีตามข้ามาเป็นเรื่องระหว่างพวกเราสองคน ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็ไม่ติดค้างอันใดต่อต้ายงอีก แต่วันนี้ได้พบฉีอ๋องกับชิ่งอ๋อง ทั้งที่พวกเขาน่าจะมีเรื่องมาขอร้องข้าแท้ๆ ข้ากลับรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่มีความรู้สึกสบายอกสบายใจเช่นยามปกติแม้แต่นิด ข้าก้าวเข้าไปค้อมกายคำนับอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยว่า “องค์ชายทั้งสองให้เกียรติมาเยือนจวนจิ้งไห่ เจียงเจ๋อเป็นเกียรติยิ่งนัก”
ชิ่งอ๋องเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางคำนับคืน “ได้ยินชื่อเสียงสุยอวิ๋นมานาน ข้าอยากพบหน้ามานานแล้ว แต่น่าเสียดายท่านขี่กระเรียนหายเข้ากลีบเมฆ ข้ายากจะค้นหาร่องรอยเทพเซียน ยามนี้ท่านกับฉางเล่อแต่งงานกันแล้ว หลังกลับเมืองหลวงมีฐานะเป็นพระราชบุตรเขย จะกระทำตามอย่างฟั่นหลี[1]จื่อหลิง[2]มิได้แล้วหนา ข้ายังอยากน้อมรับคำชี้แนะในการปกครองบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นจากท่านอยู่”
ข้ายิ้มละไม ในใจคิดว่า การปกครองบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นย่อมมีผู้อื่นทำ มิจำเป็นต้องเป็นข้าเสียหน่อย ชิ่งอ๋องผู้นี้ออกจะหยาบคายอยู่บ้าง แต่ติดที่ฐานะของเขา ข้าจึงตอบอย่างมีมารยาท “คำสั่งสอนขององค์ชาย เจียงเจ๋อจดจำไว้ในใจแล้ว”
ฉีอ๋องที่อยู่ด้านข้างกลับหัวเราะเสียงพิกล “เจียงเจ๋อท่านช่างสุดยอดนัก ยามปกติเห็นท่านสุภาพอ่อนโยน อ้าปากครั้งหนึ่งมีแต่มารยาท วันนี้กลับลักพาตัวฉางเล่อ แม้กระทั่งบุตรชายก็มีแล้ว ข้ามิรู้เลยว่าจะต่อยท่านสักหมัด สั่งสอนท่านแทนเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไทเฮาก่อนดี หรือขอบคุณท่านที่ทำให้ฉางเล่อใบหน้าเอิบอิ่มเปล่งปลั่ง ไม่ทุกข์ระทมเหมือนวันวานอีกต่อไปแล้วก่อนดี”
ข้าอมยิ้มมองเสี่ยวซุ่นจื่อผู้ขยับมายืนด้านหลังฉีอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อได้ยินฉีอ๋องเอ่ยว่า ‘จะต่อยท่านสักหมัด’ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “องค์ชายไว้ชีวิตด้วย แม้วันนี้ร่างกายของเจียงเจ๋อจะแข็งแรงดีแล้ว แต่หากถูกหมัดขององค์ชายต่อย เจียงเจ๋อคงสิ้นชีวา แม้ชีวิตข้ามิใช่สิ่งที่องค์ชายต้องเป็นห่วง แต่หากมีคนแก้แค้นขึ้นมา เกรงว่าองค์ชายคงลำบากแล้ว”
หลี่เสี่ยนสัมผัสได้ถึงไอเย็นจางๆ ด้านหลังร่างจึงรีบเอ่ยว่า “ล้อเล่น ล้อเล่นน่า เอาละ ด้านนอกลมทะเลแรงเกินไปแล้ว ไปดูหลานชายตัวน้อยของข้ากันเถอะ ไม่รู้ว่าเหมือนท่าน หรือเหมือนฉางเล่อ”
ข้าเห็นหลี่เสี่ยนยอมโอนอ่อนก็ฉวยโอกาสหาทางลง “เจียงเจ๋อเตรียมชากับของว่างไว้ที่หอทิงเทา ที่นั่นทิวทัศน์งดงามสงบเงียบ มองเห็นคลื่นทะเล ชมดวงอาทิตย์ตกได้ พิธีครบขวบปีของบุตรชายก็จัดที่นั่น กำหนดเวลาไว้ที่ยามอู่ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม เชิญทุกท่านมาดื่มชาชมทะเลที่หอทิงเทาก่อนเป็นอย่างไร”
เวลานี้หลินปี้เดินตามองค์หญิงฉางเล่อมาหยุดข้างกายข้าแล้ว นางฟังจบก็หัวเราะเอ่ยว่า “ชิ่งอ๋องกับฉีอ๋องเป็นญาติผ่านการแต่งงานของท่านเจียง หากพูดถึงแขก เกรงว่าคงมีแต่ข้าที่ใช่ ข้ากำลังอยากชมทะเลอยู่เหมือนกัน”
สายตาของข้าหันไปจับบนร่างหลินปี้ องค์หญิงจยาผิงผู้นี้เป็นหลานสาวและธิดาบุญธรรมของเจ้าแคว้นเป่ยฮั่น ตระกูลหลินผู้เฝ้าพิทักษ์ไต้โจวจากพวกคนเถื่อนมารุ่นแล้วรุ่นเล่ามีฐานะสูงส่งอย่างยิ่งในเป่ยฮั่น นางมีฐานะผู้นำคนสำคัญของตระกูลหลินรุ่นนี้ ครองฐานันดรสูงศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิง แล้วยังมีสัญญาหมั้นหมายกับหลงถิงเฟย สตรีนางนี้เป็นบุคคลสำคัญที่จะมีส่วนตัดสินว่าต้ายงจะรวมเป่ยฮั่นเข้ามาเป็นอาณาเขตได้หรือไม่ ดังนั้นข้าจึงเชิญนางมาที่นี่ นางก็คงถนอมโอกาสพบหน้ากันครั้งนี้ไม่ต่างจากข้า มีโอกาสได้อยู่ใกล้กับศัตรูของตนเพียงนี้ มิใช่โอกาสที่จะมีได้บ่อยๆ น่าเสียดายข้าไม่มีโอกาสได้พบหลงถิงเฟยก่อน
จนตอนนี้ เจียงไห่เทาเพิ่งมีโอกาสพาเจ้าสาวก้าวเข้ามาคารวะ ข้าคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “แม้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า แต่วันนี้มาในฐานะแขกก็ไปด้วยกันเถิด ตวนเหนียง เจ้านำฮูหยินน้อยไปคารวะท่านปู่ทวด” ตอนนี้เอง สตรีหน้าตาสะสวยวัยกลางคนผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาขานรับ หลี่เสี่ยนความจำยอดเยี่ยมยิ่งนัก เขาจำได้ทันทีว่าสตรีนางนี้คือซั่งอี๋ประจำตำหนักชุ่ยหลวนที่องค์หญิงฉางเล่อเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ จำได้ว่าแซ่โจว ตวนเหนียงคงจะเป็นนามของนางกระมัง
ก่อนเดินทางมา เย่ว์ชิงเยียนทราบแล้วว่าท่านปู่ทวดที่ตนต้องไปคารวะคือหมอเทวดาซัง จะมีโอกาสได้ชีวิตกลับคืนมาอีกครั้งหรือไม่ก็ต้องดูวิชาแพทย์ของคนผู้นั้นแล้ว นางอดกังวลเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางกล้าหาญมิกลัวตายก็เพราะทราบว่าตนไม่มีโอกาสรอดแล้ว แต่วันนี้แสงรำไรปรากฏให้เห็น นางย่อมไม่ยินยอมตาย
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นคล้ายจะสังเกตเห็นความกังวลของนางจึงประคองแขนนางแผ่วเบานำทางไปด้านในจวน แม้เย่ว์ชิงเยียนตื่นเต้น แต่ก็ยังอดไม่อยู่ใช้ปลายหางตามองสำรวจวนจิ้งไห่ ถึงอย่างไรนายท่านของที่แห่งนี้ก็คือเจียงเจ๋อผู้ลงมือกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ เมื่อได้มองดูในใจก็อดชื่นชมมากขึ้นอีกไม่ได้
ตระกูลเย่ว์แห่งหนานหมิ่นกล่าวได้ว่าเป็นเจ้าแห่งดินแดนหนึ่ง ทั้งยังเป็นตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาสิบกว่ารุ่น สถานที่อาศัยย่อมทอดยาวเป็นแนว งดงามตระการตา เย่ว์ชิงเยียนค่อนข้างเชี่ยวชาญด้านการตกแต่งจวนเรือน ยามนี้นางใช้สายตาประเมินค่ามองดูก็เห็นอาคารห้องหับทุกหนแห่งเรียงรายเป็นระเบียบ มีทั้งศาลาและตึกหอ พรรณไม้บุปผาบานสะพรั่งสวยสดงดงาม เถาวัลย์เลื้อยพันเกี่ยวเขียวขจีดูน่ารัก คนเดินลอดตรงกลางพลันรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ไม่มีที่ใดไม่ทำให้คนประทับใจ เพียงมองจากจุดเล็กน้อยเหล่านี้ก็มองออกว่านายท่านของสถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดาจริงดังว่า
ทุกคนติดตามเจียงเจ๋อกับภรรยาเดินตามทางหินเขียวเส้นน้อยที่ปูไว้เรียบเสมอกันขึ้นไปยังยอดเขา บนยอดเขาอันเป็นที่ราบกว้างขวาง หอหกเหลี่ยมสองชั้นที่มีปลายหลังคาสีแดงงามงอนหลังหนึ่งยึดครองสถานที่แห่งนี้อย่างนิ่งสงบอยู่เดียวดาย โดดเดี่ยวปลีกวิเวก ตั้งตระหง่านตัดขาดจากโลก ที่แห่งนี้ก็คือหอทิงเทา
หอทิงเทาตั้งอยู่บนจุดสูงที่สุดของจวนจิ้งไห่ ร้อยจั้งรอบด้านไม่มีต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้างบดบังสายตา ภายนอกงดงามน่าเกรงขาม แต่ละมุมของหอแขวนกระดิ่งลมทองเหลืองเอาไว้ เมื่อลมทะเลโชยพัด กระดิ่งลมเหล่านั้นพลันส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง รูปแบบและตำแหน่งของพวกมันล้วนออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน แต่ละตำแหน่งต่างกันเล็กน้อย ทำให้เสียงของพวกมันยามประสานเข้าด้วยกันประหนึ่งเสียงสวรรค์
สายตาของหลี่เสี่ยนจับบนร่างชายหนุ่มอาภรณ์ฟ้าคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงประตูหอ คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลานุ่มนวล ผิวขาวผุดผ่อง คนผู้นี้เขาก็รู้จัก เขาคือต่งเชวีย องครักษ์ข้างกายเจียงเจ๋อ ไม่พบหน้ากันเพียงสองปีกว่า แม้โครงหน้ายังคล้ายเดิม แต่หน้าตาเหมือนจะเปลี่ยนไปนิดหน่อยอยู่หลายส่วน หลี่เสี่ยนเกือบจดจำเขามิได้ หลี่เสี่ยนนึกสงสัยคนผู้นี้มาตลอด แม้หลายปีก่อนเคยเห็นเขาข้างกายเจียงเจ๋อ แต่เขามักหลบเลี่ยงตนทั้งอย่างจงใจและไม่จงใจ หลี่เสี่ยนเคยสงสัยว่าคนผู้นี้มีบางสิ่งผิดปกติ แต่เขายุ่งอยู่กับงานทางทหารจึงคร้านจะเปลืองความคิดมากนัก วันนี้ได้พบหน้ากันอีกครั้ง ในใจหลี่เสี่ยนก็เพียงมีความคิดเลือนรางปรกฏขึ้นมาชั่วแวบแล้วก็มิสนใจอีก
ต่งเชวียก้าวเข้ามารายงาน “คุณชาย ทุกสิ่งในหอตระเตรียมพร้อมแล้ว”
ข้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลายปีก่อนต่งเชวียผู้นี้จัดการทุกสิ่งในจวนจิ้งไห่ได้เหมาะสมเรียบร้อย ตำแหน่งหัวหน้างานจิปาถะนี้ไม่ได้เป็นเสียเปล่า ตอนนี้นอกจากเรื่องรอบตัวข้า เสี่ยวซุ่นจื่อก็แทบไม่ต้องยุ่งกับสิ่งอื่น
ข้าพาทุกคนขึ้นมายังหอทิงเทา เพราะวันนี้มีแขกสูงศักดิ์จากด้านนอกมาด้วย ดังนั้นลูกน้องของข้าเองจึงแทบไม่ปรากฏตัว มีเพียงเต้าหลีกับชื่อจี้เท่านั้นที่ตามทุกคนมายังหอทิงเทา เต้าหลีน่ะช่างเถิด เขาเป็นนายน้อยของตระกูลไห่ย่อมมีคุณสมบัติมาเข้าร่วม แต่ชื่อจี้มาในฐานะบ่าวรับใช้ในอดีตของข้า ฐานะนี้เดิมมิอาจเข้ามาในหอได้ แต่ฉีอ๋องพาเขาเข้าหอทิงเทามาในฐานะบ่าวติดตาม
ด้วยเหตุนี้นอกจากคนของจวนจิ้งไห่ ในหอทิงเทาจึงมีแขกอยู่แปดคน ได้แก่ฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ชิ่งอ๋องหลี่คัง องค์หญิงจยาผิงหลินปี้ โก่วเหลียน ไห่อู๋หยา ไห่หลี เจียงไห่เทาและชื่อจี้ แม้ห้องโถงชมทิวทัศน์บนชั้นสองของหอทิงเทาจะกว้างขวางมาก แต่ตรงกลางก็วางโต๊ะตัวใหญ่เอาไว้ พื้นที่เคลื่อนไหวจึงน้อยยิ่งนัก ดังนั้นแขกผู้สูงศักดิ์ทุกท่านจึงชมชอบพิงราวกั้นชมทะเลมากกว่า
ที่แห่งนี้ทอดสายตามองได้กว้างขวางอย่างยิ่ง เมื่อยืนอยู่บนหอก้มลงมองจะเห็นทิวทัศน์ด้านในและด้านนอกของอ่าว ภายในอ่าวคลื่นลมสงบ น้ำสีครามใสดั่งกระจก ส่วนด้านนอกอ่าวกลับเป็นผาตระหง่านประหนึ่งถูกเฉือนตัด เกลียวคลื่นโหมสาดซัด หอทิงเทาแห่งนี้มองเห็นทะเลสีครามสองรูปลักษณ์ได้ในเวลาเดียวกัน เป็นหอชมทะเลที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง
แต่ในใจหลินปี้กลับคิดว่าหอทิงเทาแห่งนี้มองเห็นทุกสิ่งในจวนจิ้งไห่ได้ไม่มีตกหล่น หากที่แห่งนี้มีผู้วรยุทธ์สูงส่งคนหนึ่งเฝ้าอยู่ก็คงจะปกป้องจวนจิ้งไห่ทั้งหมดจากการบุกรุกได้
เวลานี้ต่งเชวียก็นำหญิงรับใช้ยกน้ำชากับขนมเข้ามา น้ำชาส่งกลิ่นหอมเข้าคู่กับขนมที่ปรุงอย่างประณีต กลิ่นหอมละมุนอบอวลทั่วหอทั้งหลังในทันใด ข้าคำนับหลินปี้แล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงให้เกียรติมาเยือน เจียงเจ๋อมิมีสิ่งใดขอบคุณ ภรรยาข้าชื่นชอบการเข้าครัว ขนมแกล้มน้ำชาที่ตระเตรียมไว้ในหอทิงเทาล้วนเป็นภรรยาเตรียมด้วยตนเอง เชิญองค์หญิงลิ้มลอง”
หลินปี้อมยิ้มกล่าวขอบคุณ “ท่านเจียงอาศัยอยู่ในสถานที่ดั่งแดนสวรรค์เช่นนี้ แล้วยังมีองค์หญิงฉางเล่ออยู่เคียงข้าง ชีวิตเช่นนี้ช่างทำให้คนอิจฉา มิน่าเล่าท่านจึงไม่ยินดียุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ความจริงหลินปี้อิจฉาท่านจริงๆ หนีห่างจากสงครามและการเข่นฆ่า มิใช่ทุกคนจะมีบุญวาสนาเช่นนี้ ละทิ้งเกียรติยศชื่อเสียง ลาภยศสรรเสริญดั่งเมฆหมอก ในใจหลินปี้นับถือยิ่งนัก หากข้าเป็นท่าน จะไม่ทิ้งชีวิตเช่นนี้กลับไปเหยียบโลกีย์โลกเป็นอันขาด”
ข้าฟังแล้วก็ยิ้มอย่างยินดี “องค์หญิงลืมไปเรื่องหนึ่ง กล่าวกันว่ามีบุตรชายแล้วมิมีสิ่งใดให้เสียดายอีก ยามนี้ข้ามีบุตรธิดาพร้อม ชีวิตเช่นนี้ข้าเองก็ไม่อยากละทิ้งง่ายดายนักหรอก”
หลี่เสี่ยนได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้ของเขาก็เพื่อเชิญเจียงเจ๋อออกจากตงไห่ แต่หลินปี้กล่าวเช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นการลอบเตือนเจียงเจ๋อว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งระหว่างต้ายงกับเป่ยฮั่น ส่วนเจียงเจ๋อก็เหมือนจะแอบแสดงออกว่าในใจไม่ยินดีจะละทิ้งชีวิตเช่นนี้
แม้เจียงเจ๋อมิอาจตัดขาดกับต้ายง แต่เขาก็ทราบว่าเจียงเจ๋อรักชีวิตเช่นนี้อย่างยิ่ง หากเจียงเจ๋อมิยอมลงจากเขา ต่อให้เป็นหลี่จื้อก็บังคับเขาไม่ได้ เมื่อคิดเช่นนี้ หลี่เสี่ยนพลันกลัดกลุ้มเพิ่มขึ้นอย่างมิอาจห้าม เจียงเจ๋อจงใจเชิญตนมา คงมิได้เพื่อปฏิเสธคำขอของตนอย่างอ้อมๆ หรอกกระมัง
[1]ฟั่นหลี อัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเย่ว์สมัยปลายยุคชุนชิว วางกลอุบายช่วยเจ้าแคว้นเย่ว์โกวเจี้ยนจนฟื้นฟูแคว้นเย่ว์ให้รุ่งเรือง กำจัดแคว้นอู๋สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็ปลีกตัวหายไป
[2]จื่อหลิง นามรองของเหยียนกวง พระสหายของหลิวซิ่วจักรพรรดิกวงอู่ตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เขาปฏิเสธคำชวนรับตำแหน่งขุนนางของจักรพรรดิหลายครั้งหลายครา มุ่งมั่นปลีกวิเวกบนเขาฝูชุนซานไม่สนชื่อเสียงเกียรติยศ
ตอนต่อไป