ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 46 ประกาศศักดาวางแผนการ (3)
ตอนที่ 46 ประกาศศักดาวางแผนการ (3)
จิงฉือขานรับทั้งสีหน้าอมทุกข์พลางเมียงมองฉีอ๋อง ในใจคิดว่า ข้ามิกล้าเป็นอริกับเขาอีกแล้ว ลงโทษข้าคัดกฎกองทัพตำราพิชัยสงครามอันใดยังพอทำเนา แต่ถ้าท่านเจียงโกรธขึ้นมาแล้วลงโทษให้ข้าคัดสี่ตำราห้าคัมภีร์พวกนั้นจะทำเช่นไรเล่า
ต่อจากนั้นฉีอ๋องก็แนะนำแม่ทัพทั้งหลายในกองทัพแก่ข้า มีหลายคนในนั้นที่ข้าค่อนข้างสนใจ ฝานเหวินเฉิง หวงหลิง แม่ทัพผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ข้างกายฉีอ๋อง เซี่ยหนิง หลัวจางแม่ทัพผู้กล้าชื่อเสียงเลื่องลือใต้บัญชาของฉีอ๋อง สี่คนนี้ล้วนเป็นคนสนิทของฉีอ๋อง
ในอดีตแม้รัชทายาทหลี่อันจะได้ตราทหารมาก็ยังสั่งเคลื่อนกำลังพลของพวกเขามิได้ แม่ทัพฝั่งยงอ๋องแม้ข้าจะรู้จักอยู่หลายคน แต่ยามนี้จ่างซุนจี้อยู่ไกลถึงกวนจง เผยอวิ๋นนำทหารพิทักษ์ริมฝั่งเหนือของฉางเจียง ซือหม่าสยงก็เป็นแม่ทัพแห่งกองทหารราชองครักษ์ ยามนี้ย่อมมิอาจพบหน้าได้ทั้งสิ้น แม่ทัพที่เหลือเหล่านี้แม้ข้าเคยได้ยินนามมามากกว่าครึ่ง แต่ข้าก็ไม่ได้สนใจมากนัก
จากนั้นฉีอ๋องจึงออกคำสั่งให้กองทัพจัดการประลองสิบวันหลังจากนี้ แล้วออกคำสั่งให้แม่ทัพทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม ถ้อยคำแฝงความนัยว่า หลังจากการประลองใหญ่จะเคลื่อนทัพบุกตีเป่ยฮั่น ความจริงแล้วหลายปีนี้แม่ทัพทั้งหลายอดทนอดกลั้นจนทรมานนัก เมื่อได้ยินข่าวนี้ แต่ละคนย่อมตื่นเต้น ต่างคิดจะชิงชัยในการประลองใหญ่ เพื่อยามออกศึกจะได้เป็นทัพหน้า
เมื่อแม่ทัพทั้งหลายออกไปแล้ว เดิมทีข้าอยากจะไปพักผ่อนที่กระโจมของตนเอง แต่กลับถูกฉีอ๋องลากมายังกระโจมของเขา เมื่อมาแล้วก็จงอยู่ให้สบายใจ ถึงอย่างไรกระโจมของข้าก็ต้องให้พวกเสี่ยวซุ่นจื่อจัดการให้เรียบร้อยก่อนจึงจะเข้าพักได้ ดังนั้นข้าจึงเอนกายบนเตียงหลังใหญ่ของฉีอ๋องอย่างสบายอุรา ส่วนฉีอ๋องก็จ้องข้าพลางคลี่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เหมือนรอข้าถามอะไรจากเขา
ข้ากลับแสร้งบื้อใบ้ เหมือนไม่ทราบว่าเขากำลังรอให้ข้าถามเขาเรื่องการศึก ความจริงเมื่อลองครุ่นคิดให้ละเอียด หากมิใช่ฝ่าบาทกับฉีอ๋องล้วนอยากยกทัพปราบเป่ยฮั่น ไยต้องกังวลเรื่องความบาดหมางระหว่างทั้งสองคนเช่นนี้ แล้วก็คงมิจำเป็นต้องให้จักรพรรดิเขียนสารมาเชิญด้วยพระองค์เอง ทั้งยังส่งราชองครักษ์หู่จีมาเร่งข้าให้ออกเดินทางอีก ฉีอ๋องเองก็ไม่แน่ว่าจะรีบร้อนไปเชิญข้าเช่นนี้ หากไม่ได้เป็นอย่างที่ว่ามานี้ ข้าพักผ่อนต่ออีกสักหลายปีก็คงยังไม่เป็นอะไร
ผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดหลี่เสี่ยนก็ยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ท่านอย่าแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้สิ รีบบอกมาเถิดว่าท่านคิดเห็นอย่างไรกับการยกทัพออกศึกครานี้”
ข้าจงใจแสร้งถามอย่างประหลาดใจ “องค์ชายเหตุใดเอ่ยคำนี้เล่า กฎหมายต้ายงตราไว้ว่าผู้ตรวจการกองทัพมิอาจยุ่งเกี่ยวการรบทัพจับศึก เรื่องเหล่านี้องค์ชายสมควรไปหารือกับยอดแม่ทัพและเสนาธิการในกองทัพจึงจะถูก”
หลี่เสี่ยนฮึดฮัด แต่เขาเป็นคนฉลาด พอกลอกตาจบรอบหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ท่านทราบหรือไม่ว่าการพิทักษ์ชายแดนเป็นงานสำคัญใหญ่หลวง ไม่มีราชโองการจะกลับเมืองหลวงมิได้”
ข้างุนงงครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ย่อมสมควรเป็นเช่นนั้น”
หลี่เสี่ยนเผยรอยยิ้มเยี่ยงจิ้งจอก “หากพวกเราเปิดศึกกับเป่ยฮั่น ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งปี หรือสองปี ต่อให้สามปีห้าปี ข้าก็มีหนทางทำให้ท่านไม่ได้กลับเมืองหลวง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงเวลานั้นเซิ่นเอ๋อร์จะยังจำท่านได้อยู่หรือไม่”
ข้าฟังจบพลันรู้สึกประหนึ่งอสนีบาตผ่าลงมากลางฟ้าแจ้ง ในใจคิดว่า แย่แล้ว ข้าลืมเรื่องนี้ได้เช่นไร หากสยบเป่ยฮั่นมิได้ ข้าก็กลับเมืองหลวงไม่ได้
เมื่อคิดถึงเจินเอ๋อร์ โหรวหลับกับเซิ่นเอ๋อร์ หัวใจก็เริ่มร้อนรน คิดอยู่พักใหญ่ก็หลุดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้แล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ท่านช่างเป็นดาวข่มของสุยอวิ๋นจริงๆ อดีตคราอยู่หนานฉู่ ข้าเกรงกลัวองค์ชายยิ่งนัก พอองครักษ์ขององค์ชายวางมือบนด้ามดาบ ข้าก็ยอมจำนนทันที ยามนี้ข้าไม่หวาดกลัวไอสังหารขององค์ชายแล้ว แต่ก็ยังถูกองค์ชายเอาครอบครัวมาข่มขู่อีก ให้ข้ามาเป็นผู้ตรวจการกองทัพ แต่มิรู้ว่าสุดท้ายแล้วข้าข่มองค์ชาย หรือองค์ชายข่มข้ากันแน่”
หลี่เสี่ยนยิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะท่านไม่คิดจะต่อกรกับข้า มิเช่นนั้นต่อให้ข้าถูกท่านขายไปแล้วก็คงยังนั่งนับเงินแทนท่านอยู่เลยกระมัง เอาละ รีบคิดหน่อย ครั้งนี้พระประสงค์ของฝ่าบาทคือกำจัดหลงถิงเฟย ขอเพียงคนผู้นี้สิ้นชีวา เป่ยฮั่นช้าเร็วย่อมล่มสลาย แต่หลงถิงเฟยนำทัพออกศึกมิเคยพ่ายแพ้ แม้ข้าหยิ่งผยองก็ยังทราบว่าโอกาสชนะหาแน่นอนไม่ หากเอากำลังทหารเข้าสู้กับเขา น่ากลัวว่าจะเสียหายสาหัส ถึงเวลาต้ายงเสียกำลังหลักหนักหนาแล้วจะต่อกรกับหนานฉู่ได้เช่นไรเล่า”
ข้าเห็นฉีอ๋องจริงใจ จึงคิดในใจว่า เอาเถิด หากติดอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรน่าสนุก อยากชำระแค้นฉีอ๋อง มีหรือจะหาโอกาสมิได้ อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อข้ามาอยู่ในกองทัพแล้ว หากมิสนใจเรื่องของกองทัพเลย เกรงวว่าจะไม่มีสิ่งใดไปอธิบายกับฝ่าบาท อย่างไรการปราบเป่ยฮั่นก็เป็นเรื่องสำคัญ
ข้าเรียบเรียงความคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายกับหลงถิงเฟยเทียบกันแล้ว กลศึกของผู้ใดยอดเยี่ยมกว่า”
ฉีอ๋องคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ “ตัวข้าชำนาญกระบวนทัพในสนามรบ ในด้านกลศึกเหมือนจะสู้หลงถิงเฟยมิได้ คนผู้นี้พรสวรรค์ในการรบทัพจับศึกโดดเด่นอย่างแท้จริง ข้าน่าจะสู้เขามิได้ ได้แต่อาศัยทหารมากแม่ทัพมากเท่านั้น แต่ข้าก็เชื่อมั่นเหมือนกันว่าแม้หลงถิงเฟยผู้นี้สามารถเก่งกาจอีกเท่าใดก็ไม่มีทางทำให้ข้าพ่ายแพ้ย่อยยับได้”
ข้าส่ายหน้าแล้วแย้งว่า “สิ่งที่องค์ชายกล่าวมาถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เป็นความจริงที่กลศึกของหลงถิงเฟยเหนือกว่าองค์ชาย หลายปีนี้เขาบุกต้ายงแล้วได้ชัยชนะกลับไปหลายครั้งหลายครา จนครั้งสุดท้ายก็ยังถอยทัพกลับไปได้อย่างปลอดภัย นั่นเป็นเพราะกองทหารเป่ยฮั่นห้าวหาญชื่นชอบสงคราม อีกทั้งใต้บัญชาของหลงถิงเฟยก็มียอดแม่ทัพอยู่หลายนาย เมื่อรวมกับเขามองสถานการณ์ขาด รู้รุกรู้ถอย ดังนั้นต้ายงจึงพ่ายแพ้ในมือหลงถิงเฟยครั้งแล้วครั้งเล่า หากองค์ชายได้รบกับหลงถิงเฟย องค์ชายย่อมไม่ด้อยกว่าเขา ทว่าในใจองค์ชายเอาแต่คิดจะกำจัดหลงถิงเฟยจึงถูกเขาจับเล่นอยู่บนฝ่ามืออย่างเลี่ยงไม่ได้”
ฉีอ๋องงงงวยเล็กน้อย “สุยอวิ๋น ท่านกำลังจะบอกว่าสาเหตุหลักที่กองทัพข้าพ่ายแพ้เป็นเพราะเป่ยฮั่นมีหลงถิงเฟยเช่นนั้นหรือ”
ข้าหัวเราะ “เป็นเช่นนั้น หากเป่ยฮั่นไม่มีหลงถิงเฟยค้ำจุนก็คงถูกต้ายงทำลายเสียนานแล้ว แต่นี่มิได้หมายความว่าพวกเราต่อกรกับเป่ยฮั่นก็เท่ากับต่อกรกับหลงถิงเฟยหรอกนะ”
ฉีอ๋องคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หรือท่านคิดจะยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างหลงถิงเฟยกับราชสำนักเป่ยฮั่น เกรงว่าคงยากนัก ตอนนี้หลงถิงเฟยได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นว่าที่พระราชบุตรเขย ต่อให้อยากยุแยงก็คงไม่ง่าย”
ข้าส่ายศีรษะแล้วตอบว่า “ย่อมยุแยงไม่ง่าย เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นยามนี้แม้มิใช่เจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาชาญอันใด แต่ก็มีข้อดีอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือกล้าปล่อยมือ กล้าเชื่อใจ หลงถิงเฟยได้รับใช้เจ้าแผ่นดินเช่นนี้นับเป็นบุญของเขา แผนยุแยงตะแคงรั่วนี้ใช้กับตัวหลงถิงเฟยกลับจะไร้ประโยชน์ ต่อให้มีประโยชน์ก็เกรงว่าคงสิ้นเปลืองเวลามากเกินไป”
ฉีอ๋องถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น สุยอวิ๋น ท่านหมายความว่าอย่างไรเล่า”
ข้ายิ้มละไม ตอบว่า “แม้หลงถิงเฟยจะใช้แผนการรบได้พลิกแพลงสารพัด แต่พลิกแพลงหมื่นหนก็ยังมีรูปแบบอยู่ เขาชอบบุกตรงพร้อมลอบจู่โจม มักจะนำกองทัพหลักด้วยตนเอง หลังจากนั้นส่งอีกกองทัพหนึ่งเป็นกองทัพรอง ขณะที่ตนเองยกทัพใหญ่บุกเมืองทำลายค่ายก็ให้ทัพรองจู่โจมปีกหรือคลังเสบียงของฝั่งเรา แม้ทหารต้ายงของพวกเรามีมากมาย แต่มักจะเปิดโอกาสให้เขาใช้กำลังแข็งแกร่งเข้าข่มเหงอยู่บ่อยครั้ง”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เป็นเช่นนั้น ทุกครั้งยามเขาบัญชาการทัพ ไม่ส่งถานจี้มาจู่โจมปีกซ้ายขวาของกองทัพใหญ่ของเรา ก็ให้สืออิงจู่โจมเร็วจากพันลี้ เพื่อต่อกรกับหลงถิงเฟย ข้ามักมิกล้าแบ่งกองทัพออกโดยง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามระส่ำระสายจึงมักถูกหลงถิงเฟยฉวยโอกาส หลายปีมานี้เป่ยฮั่นรุกเข้ามาหลายครั้ง รูปแบบการเคลื่อนทัพแปรเปลี่ยนนับพันหมื่น ข้าไม่เข้าใจเลยว่าหลงถิงเฟยบัญชาการทัพเช่นไรจึงสั่งการกองทัพรองได้ดั่งมือเท้า”
ข้าหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ท่านมองหลงถิงเฟยสูงเกินไปแล้ว เขามีความสามารถอีกเท่าใดก็มิอาจแยกดวงจิตออกมาบัญชาการกองทัพรองได้ องค์ชายมิเห็นหรือว่าหลงถิงเฟยมักใช้ถานจี้เป็นผู้นำของอีกกองทัพหนึ่ง ส่วนสืออิงแม้แยกออกมาโจมตีด้วยตนเองบ้างแต่ก็มักโจมตีหนเดียวแล้วถอย ไม่เหมือนถานจี้ที่เคลื่อนพลไปมายากคาดเดา สมควรกล่าวว่าถานจี้เองก็เป็นแม่ทัพผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง น่าเสียดายก็แต่ถูกรัศมีของหลงถิงเฟยกลบไว้”
ตอนต่อไป