ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 48 เหยี่ยวปีกหัก (ต้น) (1)
ตอนที่ 48 เหยี่ยวปีกหัก (ต้น) (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสิบ วันที่ยี่สิบเจ็ด เพิ่งเสร็จสิ้นการประลองใหญ่ในกองทัพ ค่ายใหญ่เจ๋อโจวก็ได้รับคำสั่งเตรียมตัวออกรบ หลังจากทุกสิ่งตระเตรียมพร้อมสรรพ แนวหน้าก็ส่งข่าวของศัตรูมาว่าแถบตงอวี้ในเจ๋อโจวมีทหารแนวหน้าของเป่ยฮั่นเตร็ดเตร่อยู่
หลี่เสี่ยนฟังรายงานแล้วพลันขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น เหตุไฉนหลงถิงเฟยจึงยกทัพมาเวลานี้เล่า แม้เขายกทัพมาตีเจ๋อโจวทุกปี แต่ทุกครั้งไม่เป็นยามวสันต์เพิ่งเริ่มเพาะปลูก ก็เป็นยามสารทช่วงเก็บเกี่ยว ตอนนี้เสบียงใหม่เก็บเข้าคลังสิ้นแล้ว เขามาบุกโจมตีเวลานี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง”
ข้าคลุมเสื้อตัวยาวบนหัวไหล่พลางมองดูแผนที่ใต้แสงโคม แล้วตอบด้วยท่าทางนิ่งสงบ “วสันต์ปีนี้หลงถิงเฟยเคยบุกเจ๋อโจวแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นยามสารทไม่มาก็ไม่แปลกอันใด แต่คนผู้นี้แตกฉานกลศึก พวกเราต้ายงเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ องค์ชายเดินทางไปเยือนตงไห่ด้วยตนเอง ตัวข้าก็กลับเข้ากองทัพ ฝ่าบาทกับองค์ชายยุ่งวุ่นวายตระเตรียมยุทโธปกรณ์ รวบรวมอาชาศึก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเค้าลางบอกชัดว่าต้ายงกำลังจะมีสงคราม
ลูกน้องของหลงถิงเฟยย่อมต้องมีคนสอดแนมข่าวสารกองทัพฝ่ายเราตลอดเวลา ยามนี้ชิ่นโจวหิมะตกแล้ว อากาศเริ่มหนาวเย็น แต่ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนหิมะจะตกหนักจนปิดทาง นับว่าเป็นจังหวะดีที่พวกเราจะยกทัพบุก หลงถิงเฟยย่อมกังวลว่าพวกเราจะยกพลเข้าชิ่นโจวเข่นฆ่าปล้นชิง ทำลายเสบียงของพวกเขาก่อนหิมะโปรยปราย เมื่อเป็นเช่นนี้ ฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเป่ยฮั่นย่อมลำบาก
กองทัพของพวกเรากำลังกล้าแข็ง หากบุกตีชิ่นโจว ต่อให้หลงถิงเฟยมีความสามารถมากมายปานใดก็มิอาจดูแลได้ทั่วถึง แทนที่จะถูกพวกเราล้อมบุก มิสู้ใช้รุกเป็นรับ ลงมือก่อนจะดีกว่า รอหลังจากพวกเขาถอยทัพกลับ ก่อนวสันต์ปีหน้าพวกเราย่อมมิอาจบุกโจมตีได้
อีกประการหนึ่ง การดักซุ่มโจมตีพวกเราของกองทัพเป่ยฮั่นเมื่อหลายวันก่อน แม้พวกเรามิได้เก็บมาใส่ใจ แต่ท่านคิดว่าพวกเขาจะเชื่อว่าพวกเราไม่คิดแค้นหรือ”
ความจริงแล้วในใจหลี่เสี่ยนก็มีความคิดทำนองเดียวกันอยู่ เขามองข้าแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราคงต้องมอบบทเรียนดีๆ สักบทแก่พวกเขาที่เจ๋อโจว นั่งสบายรอศัตรูก็ไม่มีอันใดไม่ดี ท่านคิดว่าพวกเราสมควรดำเนินการเช่นไรเล่า”
ข้าชี้เมี่ยวพัวที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างแม่น้ำชิ่นสุ่ยกับแม่น้ำสือหลี่ “องค์ชาย ท่านคิดว่าตรงนี้เป็นเช่นไร นี่เป็นชัยภูมิที่ดีในการจับตะพาบเข้าไหหรือไม่”
หลี่เสี่ยนมองพักหนึ่งก็ถามว่า “ท่านคิดว่าส่งผู้ใดไปดีเล่า”
ข้าเอ่ยเบาๆ “ฉากหน้าผู้ที่คอยพิทักษ์จุดนั้นสมควรเป็นจิงฉือ แต่ในความเป็นจริงผู้ที่ดูแลจุดนั้นจะเป็นผู้ใดคงต้องดูความใจกว้างขององค์ชายแล้ว”
หลี่เสี่ยนดวงตาทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ท่านวางใจได้ ครานี้ข้าจะทำตามแผนการของท่าน คุณงามความชอบเกียรติยศอันใดเหล่านั้น ขอเพียงท้ายที่สุดกองทัพข้าชนะ ข้าย่อมมีความชอบใหญ่หลวง ยังจะต้องไปแย่งชิงความชอบกับทหารใต้บัญชาหรือไร” แล้วก็เอ่ยอีกว่า “แต่ข้ากังวลว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาติดกับ”
ข้ายิ้มละไม กล่าวว่า “เมี่ยวพัวแห่งนี้เก็บเสบียงทั้งหมดของค่ายใหญ่เจ๋อโจวไว้ หากกองทัพศัตรูไม่คิดโจมตีที่นี่ ถ้าเช่นนั้นก็ทำได้แต่รบกับพวกเราซึ่งหน้า ไม่มีโอกาสชนะแต่อย่างใด กำลังทหารทัดเทียมต่อสู้ชิงชัยกัน ทั้งพวกเรายังป้องกันเป็นหลักจะพ่ายแพ้ได้หรือ ยามยกพลรุกรานดินแดน หากมิอาจเอาเสบียงศัตรูมาครอง ถ้าเช่นนั้นต่อให้รบเสมอก็เท่ากับพ่ายแพ้ องค์ชายโปรดวางใจ แม้นหลงถิงเฟยร้ายกาจอีกเท่าใดก็เอาชนะศึกนี้มิได้ง่ายๆ”
ยามนี้หลี่เสี่ยนจึงวางใจ เขามองแผนที่พลางเอ่ยว่า “ทหารสอดแนมรายงานมาว่าวันมะรืนกำลังหลักของหลงถิงเฟยจะถึงฉินเจ๋อ พวกเราคงรับศึกที่นั่นพอดี”
ข้าพยักหน้าแล้วตอบว่า “ฉินเจ๋อภูมิประเทศเป็นที่ราบ แม้มีทุ่งหญ้าเนินเขาอยู่บ้าง แต่ก็เหมาะให้สองทัพรบพุ่งกันยิ่งนัก ไม่แปลกที่หลายปีนี้ต้ายงกับเป่ยฮั่นเลือกสถานที่แห่งนี้รบพุ่งชิงชัยกันเป็นส่วนใหญ่”
หลี่เสี่ยนถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้ว ทุ่งร้างของฉินเจ๋อต้นหญ้างอกงามล้วนเป็นเพราะโลหิตของขุนศึกสองแคว้นหลั่งรด ข้ากับหลงถิงเฟยรบกันที่ฉินเจ๋อจนวันนี้ก็สี่หนแล้ว ข้าทำได้เพียงถอยทัพอย่างปลอดภัยหวุดหวิดเท่านั้น ทหารกล้าต้ายงของเราฝังร่างอยู่ ณ ฉินเจ๋อนับไม่ถ้วน ครั้งนี้ข้าจะให้หลงถิงเฟยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการปีกหัก หวังว่าเขาจะฉลาดพอ อย่าให้เสียทีที่ข้าตั้งตาคอย”
ข้าเอ่ยอย่างมั่นใจ “เรื่องนี้ท่านอ๋องมิต้องกังวล พวกเราทิ้งเงื่อนงำเอาไว้มากพอให้พวกเขาพบว่าเมี่ยวพัวเป็นสถานที่เก็บเสบียงของพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพเป่ยฮั่นถือดียิ่งนัก ต่อให้สังเกตพบว่าอาจมีสิ่งผิดปกติ พวกเขาก็จะคิดหาวิธีบรรลุภารกิจให้จงได้ แต่ครั้งนี้พวกเขาจะพบว่าชนเข้ากับกำแพงเหล็ก”
หลี่เสี่ยนยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบอันใด หากหลงถิงเฟยไม่ได้นำทหารมาลอบจู่โจมด้วยตนเอง แม่ทัพเป่ยฮั่นคนอื่น หลี่เสี่ยนล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตา
สายลมสารทฤดูพัดแมกไม้ดังแสกสาก ทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา เหนือทุ่งกว้างอันอ้างว้างสิบลี้ทางทิศเหนือจากฉินเจ๋อ ทหารสอดแนมของต้ายงผู้สวมเกราะอ่อนสีเหลืองหม่นหลายคนซุ่มซ่อนอยู่หลังเนินเขาขณะจับจ้องขอบฟ้าไกล ใต้เนินเขาอาชาศึกหลายตัวกำลังเคี้ยวหญ้าอย่างสบายอุราอยู่ที่นั่น ทหารสอดแนมนายหนึ่งในนั้นนวดดวงตาที่ปวดร้าวเพราะเขม่นมองเบื้องไกลมาเป็นเวลานานอย่างเหนื่อยล้า ในตอนนี้เอง สหายร่วมรบของเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “กองทัพศัตรูมาแล้ว”
เขารีบเงยหน้ามอง ทันใดนั้นก็เห็นตรงจุดบรรจบขอบฟ้ามีเส้นยึกยือสีน้ำตาลเข้มเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นโดยมีแผ่นฟ้าครามเป็นฉากหลัง เพียงชั่วลมหายใจ แนวเส้นที่ผลุบโผล่อยู่นั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วเคลื่อนผ่านทุ่งกว้างสีเหลืองอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็มองเห็นชัดว่าแนวเส้นนั่นเกิดจากทหารม้าเป่ยฮั่นนับพันหมื่น ท่ามกลางผืนทหารม้าสีน้ำตาลเข้ม สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือแถบสีแดงเพลิงใจกลางหมู่ทหารม้า
เหล่าทหารสอดแนมเห็นเหยี่ยวหลายตัวบินร่อนอยู่บนท้องนภา เจ้าพวกนี้คือวิหคดุร้ายที่กองทัพเป่ยฮั่นใช้สอดแนมข้าศึก ทหารสอดแนมเหล่านี้รู้ดีอย่างยิ่งว่าแม่ทัพใหญ่ของต้ายงกับเป่ยฮั่นต่างมีความชอบร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการให้องครักษ์คนสนิทของตนสวมเกราะสีแดง
แต่ถึงแม้จะเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ในสนามรบก็แบ่งแยกง่ายดายยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงรูปแบบของเสื้อเกราะที่ต่างกัน แต่องครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องยังล้วนใช้แหลนอาชากับหอกยาว ส่วนองครักษ์คนสนิทของหลงถิงเฟยต่างใช้เกาทัณฑ์และหน้าไม้
ทหารสอดแนมทั้งหลายทราบทันทีว่าหลงถิงเฟยนำกองทัพใหญ่มารุกรานเจ๋อโจวด้วยตนเองดังคาด ร่องรอยของพวกตนก็น่าจะถูกเหยี่ยวเหนือหัวสังเกตเห็นแล้ว หากอยู่ต่อน่ากลัวว่าคงไม่มีชีวิตกลับค่าย พวกเขาจึงขึ้นอาชาศึกอย่างเงียบเชียบ จากนั้นห้ออาชาวิ่งทะยานกลับไปแจ้งข่าวศัตรู
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง กองทัพเป่ยฮั่นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ขบวนแถวกระจัดกระจายที่โถมมาเป็นระลอกประหนึ่งคลื่นน้ำหดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว การหดแนวกระบวนทัพครั้งนี้ ทำให้บรรยากาศของกระบวนทัพที่กำลังวิ่งทะยานอยู่ดูข่มขวัญยิ่งกว่าเดิม และนำแรงกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออกมาด้วย ชวนให้คนเชื่อว่าหากด้านหน้ามีคนขวางทางอยู่ จักต้องถูกทหารม้าเหล็กกองนี้ฉีกเป็นผุยผงเป็นแน่แท้
เมื่อห่างจากเนินเขาเพียงสองสามลี้ พวกเขาก็เริ่มผ่อนความเร็วลง จากนั้นจึงหยุดอยู่ใต้เนินเขาที่เหล่าทหารสอดแนมของต้ายงเฝ้าจับตาอยู่เมื่อครู่ มีเพียงทหารม้าเกราะแดงราวร้อยนายห้อมล้อมแม่ทัพเกราะสีแดงเพลิงคนหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนเนินเขาด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง ก่อนจะรั้งอาชาศึกให้หยุด
แม่ทัพเกราะแดงผู้นั้นเปิดหน้ากากตรงใบหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาไร้ตำหนิ ดวงตาสีเขียวเข้มล้ำลึกดั่งห้วงมหาสมุทรทอประกายลึกล้ำ เขาก้มหน้ามองทุ่งกว้างที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตของทหารกล้าต้ายงและเป่ยฮั่นเบื้องหน้า ท่วงท่าหยิ่งผยองเหยียดมองใต้หล้าแลดูยิ่งใหญ่ประหนึ่งขุนเขา องครักษ์คนสนิทข้างกายกับเหล่าทหารกล้าแห่งเป่ยฮั่นนับพันหมื่นด้านหลังเฝ้ามองแผ่นหลังของเขา ดวงตาทอประกายแรงกล้าแสดงออกว่ายินยอมภักดีจนตัวตาย
เวลานี้เอง พลันมีองครักษ์คนสนิทสี่คนออกมาจากกลุ่มพร้อมกับผิวปากเสียงสูงกังวานเป็นจังหวะ เหยี่ยวที่บินวนบนฟากฟ้าต่างพุ่งดิ่งลงมา แยกย้ายกันร่อนลงบนแขนซ้ายขององครักษ์คนสนิททั้งสี่นาย
หลงถิงเฟยที่กุมบังเหียนนั่งอยู่บนหลังอาชาคล้ายไม่ได้สนใจสักนิด แววตาไหวกระเพื่อมมองดูสมรภูมิที่กำลังจะเปิดศึกนองเลือด ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่ทัพของแต่ละกองทัพที่จัดทัพเรียบร้อยแล้วจึงชักม้าขึ้นเนินเขามายืนอยู่ด้านหลังอาชาของหลงถิงเฟยอย่างนอบน้อม
ตอนต่อไป