ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 50 เหยี่ยวปีกหัก (ต้น) (3)
ตอนที่ 50 เหยี่ยวปีกหัก (ต้น) (3)
แม่ทัพอีกคนหนึ่งหัวเราะ “หลี่เสี่ยนยังบอกว่าตนนำทัพเก่งกาจอีกนะ ฉวยโอกาสแก้แค้นเช่นนี้ ออกจะใจคอคับแคบไปเสียหน่อยแล้ว”
ถานจี้เอ่ยอย่างเย็นชา “นี่ไม่แน่ว่าจะเป็นเพราะหลี่เสี่ยนใจคอคับแคบ พวกท่านก็เคยได้ยินมิใช่หรือว่าสองปีกว่าที่ผ่านมา จิงฉือถ่วงแข้งถ่วงขาฉีอ๋องไม่น้อย โอกาสดีเช่นนี้ หากหลี่เสี่ยนไม่ใช้ประโยชน์ก็น่าเสียดายเกินไป แต่หลี่เสี่ยนผู้นี้ยังลงมือไว้ไมตรีอยู่ หากเขาคิดจัดการจิงฉือ จะส่งไปตายก็ยังได้”
เมื่อเขากล่าวคำพูดนี้ออกมา แม่ทัพทั้งหลายล้วนเงียบงัน บรรยากาศในสถานที่นั้นเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนในบัดดล หลงถิงเฟยถอนหายใจอยู่ในใจแล้วเอ่ยเสียงกังวาน “จิงฉือนับว่าเป็นแม่ทัพผู้โดดเด่น เขาบัญชาการพลทหารสามหมื่นเฝ้าคลังเสบียง พวกเราคิดจะทำลายจุดสำคัญของกองทัพศัตรูในครั้งเดียวย่อมยากเย็นยิ่ง หลี่เสี่ยนทำเช่นนี้ก็ไม่นับว่าใช้คนเก่งทำงานไม่สำคัญ ถานจี้ ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะเอาชนะกองทัพของจิงฉือ แย่งชิงเสบียงกับยุทโธปกรณ์ของกองทัพศัตรูทั้งหมดมาได้”
ถานจี้ตอบอย่างเย็นชา “แม้จิงฉือเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญคนหนึ่ง แต่นิสัยดั่งเพลิงผลาญ จัดการคนเช่นนี้ ผู้น้อยย่อมมั่นใจ ขอแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ผู้น้อยจักทำให้กองทัพศัตรูยากรุกยากถอย”
หลงถิงเฟยพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วเอ่ยว่า “ดี ถานจี้รับคำสั่ง ข้าขอมอบทหารชั้นยอดให้ท่านหนึ่งหมื่นนาย ภายในสิบวัน ท่านจงเอาชนะจิงฉือ ทำลายคลังเสบียงของกองทัพศัตรู หลังจากนั้นอนุญาตให้ท่านเคลื่อนไหวอย่างอิสระ แต่ก่อนสิ้นเดือนสิบเอ็ดต้องกลับมายังฐานที่มั่น ท่านมีความเห็นอื่นหรือไม่”
ถานจี้ตอบรับอย่างนิ่งสงบ “ผู้น้อยรับบัญชา” เสียงนั่นแฝงความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง แม่ทัพทั้งหลายจากเป่ยฮั่นฟังแล้วต่างสั่นเทาอยู่ในใจ หากถานจี้เคลื่อนไหวโดยอิสระ เจ๋อโจวคงเลือดนองเป็นสายน้ำ
ทำศึกมาหลายปี ถานจี้เคยตีกู้เสี้ยนแตกสามครั้ง เอาโลหิตล้างเหอซีสองครั้ง และถึงขนาดเคยบุกลึกเข้าไปถึงแถบตวนซื่อเจิ้นกับเจียเฟิง แม้แต่รอบจิ้นเฉิงเมืองสำคัญในเขตเจ๋อโจวก็เคยถูกถานจี้ปล้นสะดมมาก่อน สำหรับทหารและชาวบ้านเจ๋อโจว ถานจี้เป็นปีศาจร้ายที่ทำให้แม้กระทั่งเด็กทารกยังหยุดร้องไห้
หลงถิงเฟยถอนหายใจแผ่วเบา หากมิใช่ว่าทหารเป่ยฮั่นน้อย ไยต้องใช้คนโหดร้ายผู้นี้เข่นฆ่าสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ แต่เรื่องเช่นนี้ต้องมีคนทำ นอกจากถานจี้ ยังมีผู้ใดแบกรับชื่อเสียงเลวร้ายนี้ได้อีก
ถานจี้ทะยานม้าลงจากเนินเขา จากนั้นตรงเข้าไปใจกลางกองทัพของตนโดยมีทหารม้ากุ่ยฉีคนสนิทสามสิบหกนายรายล้อม เดิมทีถานจี้ถือดีว่าตนใช้ขวานปากไก่ได้เป็นเลิศจึงมิชมชอบถูกคุ้มกันเช่นนี้ แต่สองปีกว่าก่อนหน้านี้มือสังหารสำนักเฟิงอี้ฉวยโอกาสยามทหารม้ากุ่ยฉีทะลวงกระบวนทัพ ปลอมเป็นทหารคนสนิทลอบสังหารถานจี้จนบาดเจ็บหนัก หากมิใช่ถานจี้วรยุทธ์สูงส่งแล้วได้ทหารคนสนิทสละชีวิตปกป้อง เกรงว่าถานจี้คงจบชีวิตอยู่บนสนามรบแล้ว
นับจากนั้นเป็นต้นมา ถานจี้จึงระวังความปลอดภัยของตนเองตลอดเวลา ทหารม้ากุ่ยฉีสามสิบหกนายหากไม่ออกรบเข่นฆ่าศัตรูก็จะติดตามถานจี้ไม่ห่างตลอดทั้งวัน พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะแบบเดียวกับถานจี้ แล้วยังสวมหน้ากากสำริดแบบเดียวกันหมด หากมิใช่คนสนิทย่อมไม่มีหนทางแยกตัวตนของพวกเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ยามทหารม้ากุ่ยฉีทะลวงกระบวนทัพศัตรู ถานจี้ไม่นำหน้าพวกเขาฝ่าทะลวงกระบวนทัพ ก็ให้ผู้รอรับคัดเลือกเป็นหน่วยทหารม้ากุ่ยฉีในอนาคตมาเป็นองครักษ์ใกล้ตัว ผู้อื่นมิอาจเข้าใกล้ข้างกายถานจี้ได้เด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคิดลอบสังหารถานจี้ ไม่มีความสามารถระดับปรมาจารย์ย่อมยากเท่าเหยียบขึ้นฟ้า ถานจี้มิได้รักตัวกลัวตาย แต่เขาคิดว่าหากต้องตายก็สมควรจะมีวิญญาณลงสุสานเป็นเพื่อนให้มากพอ
ความจริงแล้วถานจี้รับรู้ความรู้สึกที่หลงถิงเฟยมีต่อตนดี คนความรู้สึกเฉียบคมเช่นเขา แม้หลงถิงเฟยมิแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่ความเดียดฉันท์และอาการกีดกันเลือนรางนั่น ในใจถานจี้รู้กระจ่างดุจฝ่ามือ แต่เขากลับมิเคยคิดแค้น
หลงถิงเฟยเป็นผู้สั่งสอนตำราพิชัยสงครามให้เขาด้วยตนเอง แล้วหลงถิงเฟยก็ยังเป็นผู้เชิญอาจารย์ชื่อดังมาถ่ายทอดวรยุทธ์ให้เขา เขาทราบดีว่าความจริงแล้วสิ่งที่หลงถิงเฟยเห็นค่าคือความโหดเหี้ยมกับความเยือกเย็นของเขา เขาเป็นเพียงอาวุธในมือหลงถิงเฟย สักวันหนึ่งเมื่อหลงถิงเฟยมิอาจอดกลั้นต่อการกระทำของเขาได้แล้วก็คงทอดทิ้งเขาดั่งรองเท้าขาดๆ คู่หนึ่ง
แต่ถานจี้มิอาจเปลี่ยนการกระทำของตนเองได้ เขารู้ดีว่าขอเพียงเขายอมควบคุมพฤติกรรมของตน อย่าก้าวข้ามขีดจำกัดที่ทุกคนทนรับได้ เขาก็จะได้รับความเชื่อใจจากใจจริงของหลงถิงเฟยและการยอมรับจากแม่ทัพทั้งหลาย ทว่าสำหรับถานจี้ ชีวิตของเขาจบสิ้นตั้งแต่วินาทีนั้นที่หมู่บ้านถูกทำลายสิ้นแล้ว ยามเขาเห็นสตรีผู้เป็นที่รักทอดร่างเปลือยเปล่าอยู่กลางแอ่งเลือด ยามเขาเห็นท่านปู่ผู้เส้นผมขาวโพลนถูกตอกตรึงไว้บนบานประตูทั้งเป็น ยามเขามองดูบิดาผู้เคารพรักนอนตายตาไม่หลับ มือยังคงกางปกป้องน้องชายน้องสาวผู้เยาว์วัย ยามเขาเห็นสภาพน่าเวทนาของมารดาผู้เมตตาที่กัดลิ้นฆ่าตัวตาย ถานจี้ก็ไม่หลงเหลือความอาลัยอาวรณ์ชีวิตแต่อย่างใดอีก
ความแค้นในหัวใจของเขาล้ำลึกยิ่งนัก แม้เห็นศัตรูตายใต้กีบเท้าอาชากองทัพเป่ยฮั่นแล้วก็ยังไม่หายแค้น ดังนั้นเขาจึงเลือกเป็นทหาร เหวี่ยงดาบในมือใส่อดีตเพื่อนร่วมบ้านเกิด เขาเกลียดชังกองทหารต้ายงที่ฆ่าล้างตระกูลของตน ชิงชังชาวบ้านเจ๋อโจวเหล่านั้นผู้สนับสนุนกองทัพต้ายงเต็มกำลังเพื่อปกป้องทรัพย์สินกับชีวิต มีเพียงโลหิตและเปลวเพลิงที่ทำให้ความเจ็บปวดรวดร้าวในดวงใจเขาเบาบางลงได้ชั่วขณะหนึ่ง ถานจี้กำขวานปากไก่ในมือแน่น ดวงตาฉายจิตสังหารเย็นเฉียบ ให้ขวานปากไก่เล่มนี้อาบย้อมโลหิตมากขึ้นอีก เป็นการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบิดามารดากับผู้คนในตระกูลของเขาเถิด
เดือนสิบ วันที่สามสิบ กองทัพต้ายงที่เร่งเดินทัพมาหยุดพักจัดกระบวนทัพหนึ่งคืนก็ก้าวสู่สมรภูมิจากทางใต้ของฉินเจ๋อ หลังจากการรบยามฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ที่ทั้งสองฝ่ายต่างหักห้ามใจตนเองครั้งนั้น ศึก ณ ฉินเจ๋อที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ชายแดนเหนือกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ศึกครั้งนี้กองทัพแสนห้าหมื่นของต้ายงกับกองทัพเก้าหมื่นของเป่ยฮั่นจะห้ำหั่นกันจนบริเวณร้อยลี้รอบฉินเจ๋อซากศพกองดั่งภูเขา โลหิตนองดั่งสายน้ำ
ในเวลาเดียวกัน แม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้ก็กำลังนำทหารชั้นยอดหมื่นกว่านายมุ่งตามแม่น้ำชิ่นสุ่ยทะยานตรงลงไปยังเมี่ยวพัว เพราะกองทัพต้ายงยังคงปิดเมืองเผานา เดินทางผ่านที่ใดก็ไม่พบร่องรอยของผู้คน แต่ถานจี้ก็ยังออกคำสั่งให้ทหารออกไปสอดแนมบ่อยครั้ง หากพบคนเป็นสังหารเสียให้สิ้น
เดือนสิบเอ็ดวันที่สอง ถานจี้เห็นค่ายใหญ่คลังเสบียงที่เมี่ยวพัวอยู่ไกลๆ เขาเริ่มวางแผนว่าจะสังหารศัตรูคว้าชัยอย่างไร และเวลานี้เอง ณ ฉินเจ๋อ หลังจากสองกองทัพหยั่งเชิงและวางกำลังพลในช่วงแรกเสร็จ สงครามก็เริ่มเปิดฉาก
ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนชักบังเหียนอาชาหยุดยืนบนเนินสูง ธงตำแหน่งอ๋องกับธงตำแหน่งแม่ทัพสะบัดพลิ้วท่ามกลางลมหนาว ทหารม้าเกราะสีแดงเพลิงล้อมกองทัพหลวงไว้จนน้ำมิอาจลอดผ่าน
ใต้ธงแม่ทัพด้านซ้ายของแม่ทัพใหญ่ผู้สวมเกราะสีทองอยู่บนหลังอาชาศึกสีแดงเพลิง ข้าสวมเสื้อคลุมสีเขียวที่ทำมาเป็นพิเศษตัวนั้นก้มลงมองพันทหารหมื่นอาชา ด้านหลังข้า เสี่ยวซุ่นจื่อนั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาวพร้อมทวนสีเงิน สายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง ส่วนข้างกายข้า บุรุษวัยกลางคนผู้สวมเกราะอ่อนกับชุดออกศึกสีเขียวคนหนึ่งถือแส้ม้าไว้ในมือ กำลังมองดูสถานการณ์ศึกเบื้องล่างประหนึ่งขบคิดบางอย่าง
เขาหน้าตาสุขุมอ่อนโยน คิ้วเรียวดวงตายาว ท่วงท่าสุภาพมีมารยาท แม้สวมชุดเกราะอยู่ แต่นอกจากดาบที่ห้อยตรงเอวกลับไม่มีอาวุธอย่างอื่นอีก เขาออกคำสั่งสารพัดอย่างเป็นรยะ จากนั้นทหารคนสนิทของฉีอ๋องผู้สวมเกราะสีแดงเหล่านั้นด้านหลังจึงถ่ายทอดคำสั่งต่อ บัญชาการศึกเบื้องหน้า สายตาข้ามองทะลุสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า จับจ้องใจกลางแถบสีแดงเพลิงใจกลางกองทัพศัตรูที่อยู่ไกลๆ ใต้ธงมังกรสีแดงที่ต้องลมสะบัดพลิ้วอยู่นั้น มีเงาร่างองอาจโดดเด่นเหนือผู้คนร่างหนึ่งอยู่ท่ามกลางพันทหารหมื่นอาชา
เวลานี้หลงถิงเฟยกำลังบัญชาการศึก ในเวลาเดียวกันก็สังเกตใจกลางทัพหลวงของกองทัพศัตรูไปด้วย ใต้ธงราชวงศ์ต้ายงผืนนั้นคือฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ศัตรูผู้ทำศึกกับตนมาหลายปีและแข็งแกร่งขึ้นทุกทีคนนั้น กับบัณฑิตชุดเขียวผู้มีทีท่าสบายอุราอยู่ท่ามกลางสมรภูมิข้างกายเขาคนนั้น นั่นคือศัตรูตรงหน้าของตนสินะ
ในใจหลงถิงเฟยเกิดความปรารถนาจะชิงชัยอย่างแรงกล้า แต่พริบตาเดียวก็เยือกเย็นลงอีกครั้ง เป้าหมายของเขามิใช่การสังหารกองทัพศัตรูให้สิ้น แต่คือการพยายามผลาญกำลังทหารของกองทัพศัตรูให้มากที่สุด กัดกินกำลังของกองทัพต้ายงพร้อมกับฝั่งถานจี้ มีเพียงเช่นนี้ เขาจึงจะทำให้กองทัพเป่ยฮั่นยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง ถึงขั้นอาจทำให้กองทัพต้ายงไม่มีกำลังโจมตีแว่นแคว้นของตนอีกต่อไป
ช่างน่าเสียดาย ในใจหลงถิงเฟยรู้สึกจนปัญญา ตามแผนการของเขา เดิมทีเขาจะยุแยงราชสำนักต้ายงให้เล่นงานฉีอ๋อง แต่สิ่งเหล่านั้นหลังจากเจียงเจ๋อมารับตำแหน่งผู้ตรวจการกองทัพก็ผิดแผนอย่างใหญ่หลวง ราชเลขาธิการเจิ้งเสียกับเสนาบดีฝ่ายขวาสืออวี้ต่างช่วยสนับสนุน ร่วมมือกันปรามคำกล่าวโทษและการโจมตีฉีอ๋องในราชสำนัก
เจียงเจ๋อเจียงสุยอวิ่นผู้นี้ เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้ความพยายามของตนเสียเปล่า มิน่าองค์หญิงจึงหมายมั่นคิดจะใช้ทุกวิธีการสังหารคนผู้นี้ น่าเสียดายที่สืออิงล้มเหลวในก้าวสุดท้าย ความหม่นหมองปรากฏในดวงตาของหลงถิงเฟยวูบหนึ่ง แต่เขาก็เรียกความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง พลางคิดในใจว่า ต่อให้คนผู้นี้ปราดเปรื่องด้านกลอุบายอีกเท่าใด ขอเพียงข้าบัญชาการรบไม่ผิดพลาด ยังจะกลัวเขาก่อคลื่นลมอันใดได้อีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลงถิงเฟยก็ยิ้มละไมกล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพลู่ทั้งสาม พวกท่านจงนำทหารออกสังหาร ข้าเห็นปีกขวาของกองทัพศัตรูเคลื่อนไหวช้าอยู่เล็กน้อย โอกาสดีอย่าได้พลาดไป”
ตอนต่อไป