ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 52 เหยี่ยวปีกหัก (กลาง) (2)
ตอนที่ 52 เหยี่ยวปีกหัก (กลาง) (2)
ครั้งนี้ฉีอ๋องยอมรับคำแนะนำของข้า ให้เซวียนซงเป็นแม่ทัพใหญ่รับศึกหลงถิงเฟย ส่วนตนเองนำทหารไปรับศึก หรืออาจเรียกได้ว่าวางกับดักสังหารถานจี้ นี่เป็นการตัดสินใจที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
แม่ทัพทั้งหลายของต้ายงแต่เดิมก็สู้หลงถิงเฟยมิได้ ผู้ใดจะคิดว่าฉีอ๋องผู้ที่ยามนี้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นทุกขณะว่าจะบีบหลงถิงเฟยให้ถอนทัพได้กลับไม่นำทัพด้วยตนเอง แต่นี่ก็โชคดีที่ยังมีเซวียนซงอยู่ เดิมทีข้าคิดว่าหากไม่ไหวจริงๆ ข้าจะนำทัพด้วยตนเอง แล้วให้แม่ทัพทั้งหลายคอยช่วย อย่างน้อยก็คงเสมออย่างหวุดหวิด แต่ตอนนี้มีเซวียนซงแล้ว ข้าจึงวางใจได้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยบัญชาการทัพทำศึกจริงๆ มาก่อน
ข้ามองเซวียนซงอย่างนับถือแล้วกล่าวชมว่า “หัวหน้ากองเซวียนบัญชาทหารได้ชำนาญนักจริงๆ เจตนาของหลงถิงเฟยมิใช่ต่อสู้ชี้ขาด จากความเห็นของข้า วันพรุ่งเขาคงไม่บุกดุดันเช่นนี้แล้ว ความรักที่มีต่อทหารใต้บัญชา เขามีแต่จะเหนือกว่าพวกเรา หากต้องการให้หลงถิงเฟยไม่มีกำลังเหลือพอสงสัยว่าองค์ชายไม่อยู่ในกองทัพ คงต้องดูความสามารถของหัวหน้ากองเซวียนแล้ว”
เซวียนซงมองรอยยิ้มอันนิ่งสงบของเจียงเจ๋อ ในใจเกิดความซาบซึ้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เดิมเขาเป็นบัณฑิต แต่เมื่อเข้ามาเป็นทหาร เขากลับรู้สึกว่าตนเองเหมาะกับการบัญชาทัพสู้ศึกมากกว่า น่าเสียดายธรรมเนียมที่มีมานานจนกลายเป็นกฎของต้ายงว่าไว้ หากต้องการนำกองทัพของตนเองต้องลงสมรภูมิสังหารศัตรูได้ หากวรยุทธ์ไม่ดีเยี่ยมย่อมไม่มีโอกาสเป็นแม่ทัพได้แน่นอน
หลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ในความเป็นจริงเซวียนซงคุมทหารอยู่กองหนึ่ง แต่สุดท้ายก็มิได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แรกเริ่มเป็นเพราะจิงฉือไม่อยู่ในกองทัพ ดังนั้นเซวียนซงจึงเป็นผู้รับผิดชอบจัดการงานในกองทัพแทน ต่อมาจิงฉือกลับมานำทัพเข้าสมรภูมิอีกครั้ง แต่ทหารใต้บัญชากลับมีสองกองทัพ เรื่องนี้เป็นเพราะหลี่จื้อต้องการเพิ่มกำลังพลให้กับจิงฉือ ส่วนจิงฉือเมื่อเห็นว่าตนมีความสามารถในการนำทัพอยู่พอตัว จึงให้ตนนำกองทัพหนึ่งเสียเอง ทว่าในนามแล้วเขาก็ยังคงเป็นหัวหน้ากองคนหนึ่งเท่านั้น
จนกระทั่งหลายวันก่อนในการประลองใหญ่ ตนเอาชนะแม่ทัพทั้งหลายได้อย่างงดงาม จิงฉือจึงหัวเราะร่าบอกว่าจะช่วยขอร้องแทนตน ยามนั้นแม้ในใจเซวียนซงจะคาดหวังด้วยความยินดี แต่ก็วิตกกังวลเช่นกัน เขาย่อมรู้จักเจียงเจ๋อผู้นี้ แม้เขาเข้ามาเป็นผู้ใต้บัญชาของยงอ๋องช้ากว่าตน แต่ฐานะของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นคนสนิทที่ยงอ๋องไว้วางใจที่สุด หากเขาเอ่ยแทนตนสักประโยค ถ้าเช่นนั้นความคาดหวังหลายปีของตนก็คงกลายเป็นจริงได้ แต่เซวียนซงเคยได้ยินจิงฉือเล่าว่า ใต้เท้าเจียงผู้นี้คล้ายจะมีนิสัยเกียจคร้านอยู่เล็กน้อย เรื่องไม่สำคัญจะไม่สอดมือมายุ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าหวังมากนัก
ผู้ใดจะรู้ว่าคืนนั้นตนกลับถูกเรียกตัวเข้าไปในกระโจมใหญ่ของฉีอ๋อง แล้วยังได้รับภาระหน้าที่สำคัญให้บัญชาการกองทัพหลวงชั่วคราว ขอเพียงครั้งนี้ตนขัดแข้งขัดขาหลงถิงเฟยได้สำเร็จ หลังจบศึกย่อมได้เลื่อนขั้นแน่นอน ความปรารถนาที่จะได้นำกองทัพของตนเองจะมิใช่ความฝันอีกต่อไป ทว่าศึกครั้งนี้สำคัญใหญ่หลวงนัก ดังนั้นเซวียนซงจึงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวมาตลอด จวบจนวันนี้ต้านศัตรูมาได้หนึ่งวันอย่างยากลำบาก เซวียนซงก็อดถอนหายใจไม่ได้ เขาเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางคำนับบนหลังม้าแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพยิ่งนัก หากมิใช่ใต้เท้าแนะนำ ผู้แซ่เซวียนไฉนเลยจะมีโอกาสบัญชาการทั้งกองทัพ”
ข้าคลี่ยิ้มตอบว่า “นี่เป็นผลจากความดีความชอบที่หัวหน้ากองเซวียนสั่งสมมานานปีจนมีความสำเร็จในวันนี้ ข้าเพียงพูดชมเพิ่มสองสามประโยคก็เท่านั้น”
‘ฉีอ๋อง’ ผู้สวมชุดเกราะสีทองกับหมวกเกราะคนนั้นขยับตัวยืดเส้นยืดสายบนหลังม้าแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทุกข์ “ใต้เท้า วันพรุ่งให้เฉียวจู่เป็นตัวปลอมแทนดีหรือไม่ ลงสมรภูมิสังหารศัตรูมิได้ แต่ยังต้องสวมชุดเกราะหนักอึ้งทั้งตัวเช่นนี้ ทรมานนักจริงๆ”
เวลานี้เอง เฉียวจู่ผู้รับหน้าที่คุ้มกันอยู่ด้านหลังข้าก็อดขอร้องไม่ได้ “ใต้เท้า ข้าไหนเลยจะมีท่วงท่าเยี่ยงองค์ชาย ให้หม่าซู่ปลอมตัวเป็นองค์ชายแทนเถิด”
ข้าหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เอ่ยว่า “วางใจเถิด พวกเจ้าสักคนก็หนีไม่รอด หลายวันนี้ทุกคนต้องผลัดกันมาปลอมตัวเป็นองค์ชาย”
หม่าซู่กับเฉียวจู่โอดครวญอย่างทุกข์ตรมพร้อมกัน
ข้าลอบหัวเราะในใจพลางคิดว่า ครั้งนั้นที่พระราชวังเลี่ยกง พวกเจ้าสี่คนรับคำสั่งฉีอ๋องมาจับตัวข้าจากอุทยานหันเซียงไปที่พำนักของฉีอ๋อง แม้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้แต่หามีเจตนาดีไม่ หลังจากนั้นเคยเกลี้ยกล่อมให้ฉีอ๋องสังหารข้าอีกหลายครั้ง ไม่ให้เหลือไว้เป็นต้นเหตุของเภทภัย แม้สุดท้ายฉีอ๋องไม่ฟังคำแนะนำของพวกเจ้า แต่แค้นนี้มิอาจไม่ชำระ
เถาหลินกับจวงจวิ้นอยู่ข้างกายฉีอ๋อง ครั้งนี้จึงมิอาจชำระแค้นได้ แต่พวกเจ้าตกอยู่ในกำมือข้าแล้ว เหตุไฉนจะไม่ชำระแค้นเล่า วันนี้ข้าเพียงให้พวกเจ้าปลอมตัวเป็นฉีอ๋อง แม้ต้องคอยวางท่าขยับตัวส่งเดชมิได้ทั้งวัน แต่ก็ไม่นับว่ายากจะทนเกินไปนัก นับจากวันนี้ บุญคุณความแค้นหายกัน พวกเจ้ากลับเป็นฝ่ายได้ประโยชน์มากเสียอีก สองคนนั้นไม่แน่อาจมิโชคดีเท่าพวกเจ้าก็เป็นได้
พอในใจคิดเช่นนี้ มุมปากก็เผยรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างห้ามมิได้ คนแซ่เฉียวกับแซ่หม่ารู้สึกหนาวยะเยือกในหัวใจวูบหนึ่ง แล้วคิดในใจว่า มิน่าตอนที่เขาเอ่ยชื่อให้พวกเราสองคนอยู่ด้วย องค์ชายถึงยิ้มแบบนั้น แล้วยังอึกอักเอ่ยว่าใต้เท้าเจียงชอบแก้แค้นอะไรสักอย่าง ที่แท้นิสัยของใต้เท้าเจียงผู้นี้ก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้เชียว
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ ในใจทั้งสองคนก็มิรู้ว่าสมควรดีใจหรือกังวล หากทำเช่นนี้แล้วคลายแค้นที่เคยผูกไว้ในอดีตได้ก็ไม่เลว แต่มิทราบว่าสิบกว่าวันนี้จะถูกเขากลั่นแกล้งเช่นไรบ้าง คิดถึงตรงนี้ก็มิรู้ว่าจะอิจฉา หรือสงสารสหายอีกสองคนที่ติดตามฉีอ๋องไปดี ถึงอย่างไรช้าเร็วพวกเขาก็คงต้องตกอยู่ในมือผู้ตรวจการกองทัพผู้นี้
เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อพลันก้าวเข้ามา เอ่ยว่า “คุณชาย วันพรุ่งท่านยังต้องอยู่ในสนามรบอีกทั้งวัน ข้าเห็นสีหน้าท่านไม่ค่อยดีนัก”
ข้าบ่นว่า “ที่นี่ลมพัดฝุ่นทรายแรงนัก นั่งอยู่บนหลังม้าทั้งวัน เหนื่อยแทบตาย หากมิใช่ว่าข้าต้องอยู่ปกปิดให้ฉีอ๋องที่นี่ คงให้เจ้าเอารถม้ามาด้วยแล้ว”
เวลานี้เอง เซวียนซงที่จัดการเรื่องถอยทัพเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาเอ่ยอย่างเป็นห่วง “วันพรุ่งใต้เท้านำกระโจมมาด้วยเถิด จะได้พักผ่อนด้านในได้สักหน่อย ขอเพียงโผล่หน้าออกมาเป็นพักๆ ก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่สงสัยแล้ว”
ข้ายิ้มแล้วตอบว่า “มิต้องกังวลมากไปหรอก วันพรุ่งหลงถิงเฟยคงไม่พยายามสุดชีวิตเช่นนี้แล้ว หากเขาใช้กำลังที่มีเท่านี้จนเกลี้ยง พวกเราก็คงมิต้องกลัดกลุ้มใจว่าจะโจมตีเป่ยฮั่นเช่นไร หัวหน้ากองเซวียนคอยคิดว่าจะยื้อเขาไว้เช่นไรเถิด ขอเพียงทนได้สิบวัน ฝั่งองค์ชายน่าจะส่งข่าวด่วนมาแจ้งแล้ว”
คืนนั้นพวกเราตั้งค่ายห่างจากฉินเจ๋อลงมาทางใต้สามสิบลี้ ตกกลางคืนข้ากำลังนอนสะลึมสะลือก็พลันได้ยินเสียงร้องตะโกนและเสียงเข่นฆ่าดังมาจากด้านนอก ข้ารีบลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ เสี่ยวซุ่นจื่อนอนอยู่นอกกระโจม เขาเห็นข้าออกมาจากด้านในกระโจมก็บอกเสียงเบาว่า “กองทัพศัตรูลอบโจมตีค่าย คุณชายมิต้องกังวลใจ”
ข้ากังวลเล็กน้อย แม้หัวหน้ากองเซวียนเคยบอกไว้แล้วว่ากองทัพศัตรูอาจลอบจู่โจมค่าย ทั้งยังเตรียมการไว้ก่อนแล้ว แต่ข้าก็ยังเป็นห่วงยิ่งนักว่าศัตรูจะทำสำเร็จ ข้าไม่สนการขัดขวางของเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วเดินออกจากประตูกระโจมไปดู ท่ามกลางรัตติกาลมมืดมัว เปลวเพลิงลุกไหม้สี่มุม เงาดำมืดนับไม่ถ้วนพุ่งตัดผ่านทุ่งกว้างนอกค่ายท่ามกลางราตรีสลัว ผ่านไปครู่หนึ่ง กองทัพเป่ยฮั่นคงจะเห็นว่าค่ายทัพของพวกเราป้องกันแน่นหนาจึงถอยไปประหนึ่งน้ำหลาก ขณะที่กองทหารเป่ยฮั่นเพิ่งจะถอนกำลังออกไปนั่นเอง กองทัพต้ายงที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดของประตูค่ายอีกฝั่งหนึ่งก็โห่ร้องตะโกนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ห่าธนูบินเรียงรายเป็นแพ ทว่ากองทหารเป่ยฮั่นก็เตรียมป้องกันไว้ก่อนแล้ว จึงเร้นกายหายไปท่ามกลางความมืดอย่างเงียบเชียบ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เสียหายมากนัก
ในใจข้าเพิ่งพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ทันใดนั้นด้านหลังค่ายก็เกิดไฟลุก กองทัพเป่ยฮั่นจู่โจมระลอกสอง ครั้งนี้พวกเขามิได้บุกค่าย แต่ยิงธนูเพลิงเข้ามารอบค่าย เซวียนซงรีบออกคำสั่งให้ดับไฟ เมื่อกำลังคนที่จะโจมตีโต้ออกมาจากค่าย กองทัพเป่ยฮั่นก็ถอยไปแล้ว
เพียงคืนเดียวกองทหารเป่ยฮั่นก็จู่โจมหลายครั้งหลายครา เดินทางไปมาอย่างว่องไว ยามราตรีกองทัพเราไร้หนทางยื้อพวกเขาไว้ แม้ไม่สูญเสียกำลังคนเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้นอนตลอดคืน เมื่อถึงวันที่สอง จนตะวันสายโด่งแล้วข้าก็ยังหาวหวอดอยู่เล็กน้อย ส่วนแม่ทัพพลทหารเหล่านั้นต่างผลัดกันพักผ่อน แม้กำลังวังชาไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ห่อเหี่ยวเฉกเช่นข้า ดูท่าพวกเขาจะเตรียมตัวรับเรื่องทำนองนี้ไว้ก่อนแล้ว
เมื่อถามพวกเซวียนซงจึงได้รู้ว่ากองทัพเป่ยฮั่นชอบจู่โจมค่ายเป็นที่สุด กองทัพต้ายงเองก็เคยคิดจะจู่โจมกลับบ้าง แต่ทุกครั้งที่คิดจะโจมตีค่าย ไม่ถูกคนดักซุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนา จึงทำได้เพียงรักษารอบค่ายให้มั่นคง เฝ้าเวรยามตำแหน่งที่ใกล้กับด้านนอกอย่างเข้มงวด ในใจข้าไม่พอใจนัก คิดในใจว่าลอบโจมตีค่ายเหมือนกัน เหตุไฉนพวกเขาทำสำเร็จง่ายดายเช่นนี้ แต่พวกเรากับสูญทหารเสียแม่ทัพ
พอลองถามแม่ทัพทั้งหลายดูจึงทราบว่ากองทัพเป่ยฮั่นชำนาญการใช้เหยี่ยวกับสุนัข เหยี่ยวสอดส่องสถานการณ์ของศัตรูยามเดินทัพตอนกลางวัน ขณะที่สุนัขเฝ้าเวรยามตอนกลางคืน ว่ากันว่าหากกองทัพเราเข้าใกล้ค่ายศัตรูภายในสิบลี้ ยากจะหลบเลี่ยงจมูกของสุนัขได้ ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองจึงออกคำสั่งให้วันนี้ไม่ต้องยกทัพออกศึก แต่สั่งให้ขุดคูลึกหนึ่งจั้งกว่าตัดสลับไปมาทั่วระยะสามร้อยก้าวนอกค่าย ให้กองทัพเป่ยฮั่นมิอาจเข้าใกล้ค่ายได้แม้แต่น้อย หลังจากนั้นเหลือทางเข้าออกที่สมบูรณ์ดีเส้นหนึ่งไว้ตรงตำแหน่งประตูค่ายแต่ละแห่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพเราย่อมเข้าออกได้ดั่งใจ แต่กองทัพศัตรูอย่าได้คิดลอบโจมตีได้ง่ายๆ
เซวียนซงยืนอยู่ด้านหลังข้าพลางมองดู ‘ลานก่อสร้าง’ ที่กำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง แล้วเอ่ยถามอย่างลังเล “แล้วหากว่ากองทัพเป่ยฮั่นปิดทางออกไว้ พวกเราสมควรทำเช่นไรดีเล่า”
ตอนต่อไป