ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 53 เหยี่ยวปีกหัก (กลาง) (3)
ตอนที่ 53 เหยี่ยวปีกหัก (กลาง) (3)
ข้าหัวเราะ “เรื่องนั้นจะเป็นอันใดเล่า ประการแรกกองทัพเรามีทหารม้าเกราะหนัก หากกองทัพเป่ยฮั่นยอมใช้ทหารม้าเกราะเบาปะทะซึ่งหน้ากับพวกเรา ข้าก็ยินดียิ่งนัก ประการที่สอง ตอนที่ข้าให้ทหารทั้งหลายขุดคูก็เตรียมแผ่นไม้มากมายไว้แล้ว หากเส้นทางถูกปิดตายจริง ขอเพียงพาดแผ่นไม้เป็นทางเส้นขึ้นมาก็ใช้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพเรายังมีพลทหารเดินเท้าอีกครึ่งหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว ภูมิประเทศเช่นนี้ย่อมได้เปรียบมากกว่า”
ตอนนี้เซวียนซงจึงพยักหน้าเห็นด้วย ความจริงวิธีการนี้มิได้แปลกประหลาดอันใดนัก เพียงแต่ต้ายงกับเป่ยฮั่นดันมีทหารม้าเป็นกำลังหลักทั้งคู่ มิหน้ำซ้ำทั้งสองฝั่งยังกระเหี้ยนกระหือรือต้องการชัยชนะ ชื่นชอบการคว้าชัยด้วยกำลังอันกล้าแกร่ง ใช้การรุกเป็นการรับ ในด้านการป้องกันจึงออกจะหย่อนยานอยู่บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพเป่ยฮั่นยังเคลื่อนที่ไม่อยู่นิ่ง กองทัพต้ายงจึงมิอาจเฝ้าอยู่ที่เดียว แล้วอีกประการหนึ่ง การจะจำกัดเส้นทางเคลื่อนพลของทหารม้าฝ่ายศัตรูย่อมเท่ากับจำกัดเส้นทางการออกโจมตีของฝ่ายตนด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดถึงการขุดคูคลองที่เปลืองแรงใจแรงกายเช่นนี้
แต่สำหรับข้าผู้มุ่งมั่นจะป้องกันคนนี้ การทำเช่นนี้กลับทำให้มั่นใจในความปลอดภัย อีกอย่างหนึ่ง ครั้งนี้ข้าไม่เชื่อว่าหลงถิงเฟยจะกล้าทิ้งพวกเราไปโจมตีสถานที่อื่น หลายปีนี้แนวป้องกันที่ฉีอ๋องใส่ใจสร้างขึ้นมาไม่มีช่องโหว่ให้ฉกฉวยประโยชน์มากมายนักแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็จะไม่มีผู้ใดมากวนให้ข้าตื่นจากฝันอีก หากต้องถอนค่ายจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องเคร่งเครียด พลทหารมากมายเช่นนี้ ให้พวกเขาขยับเนื้อขยับตัวสักหน่อยก็เป็นเรื่องดี
ขณะที่พวกเราฝั่งนี้วุ่นวายกันอยู่ ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็เดินมาถึงข้างกายข้าแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย มีคนลอบสอดส่องค่ายจากไกลๆ เป็นยอดฝีมือ”
ข้าฟังจบก็หันไปคุยเล่นกับพวกเซวียนซง ขณะทำสัญญาณมือออกคำสั่ง ผ่านไปไม่นานเท่าไร เฉียวจู่ผู้สวมเกราะสีทองของฉีอ๋องก็เดินออกมาจากกระโจมหลังใหญ่ ระหว่างที่เดินก็พยักหน้าเหมือนพึงพอใจยิ่งนัก พอเดินมาถึงข้างกายข้าจึงจงใจสนทนาสัพพเหระกับข้าสองประโยค หลังจากนั้นพวกเราสองคนจึงหันหลังกลับเข้ากระโจมหลังใหญ่ด้วยกัน เมื่อเข้าไปภายในกระโจมแล้ว ข้าจึงรีบถามเสี่ยวซุ่นจื่อว่า “ผู้ใดแอบสังเกตการณ์ค่าย เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยตอบ “ไกลยิ่งนัก บ่าวจึงมองไม่ชัด แต่ผู้ที่มาวรยุทธ์สูงยิ่ง ดูท่าจะเป็นมือดีในหมู่สายลับของกองทัพเป่ยฮั่น”
ข้าไม่ใส่ใจ สายลับไม่กี่คนเท่านั้น คงจะแค่มาดูว่าวันนี้เหตุใดพวกเรามิยกทัพออกมา ปล่อยให้พวกเขากลับไปจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่เมื่อข้าครุ่นคิดอีกครั้ง ก็มีอีกแผนการหนึ่งใช้ตอนนี้เหมาะสมที่สุด เป่ยฮั่นไม่มีทางนึกสงสัย ข้าเอ่ยขึ้นว่า “เฉียวจู่ ฉีอ๋องเคยอนุญาตให้ข้าใช้หน่วยทหารพลีชีพ เจ้าไปหาคนที่เหมาะสมมาสักคน วรยุทธ์ต้องสูงสักหน่อย ข้าต้องใช้เขาทำงาน”
เฉียวจู่ได้รับคำสั่งจากฉีอ๋องมาอยู่ก่อนแล้วย่อมไม่ถามมากความ เขาสั่งองครักษ์คนสนิทสองสามคน ไม่นานองครักษ์คนสนิทสองสามคนก็พาพลทหารคนหนึ่งเข้ามา ข้าพินิจดู คนผู้นี้หน้าตาห้าวหาญ ท่าทีสุขุม น่าเสียดายกลับเป็นหน่วยทหารพลีชีพ
ทหารพลีชีพในกองทัพของฉีอ๋องล้วนเป็นพลทหารที่ต้องโทษ และมีส่วนหนึ่งเป็นนักโทษที่นำมาเสริมทัพ ฉีอ๋องจับพวกเขามาอยู่ในหน่วยทหารพลีชีพ ให้พวกเขาทำภารกิจที่มีโอกาสรอดเพียงริบหรี่ หากผู้ใดสร้างความชอบครั้งใหญ่ก็จะได้รับการยกเว้นโทษตาย หรืออาจถึงขั้นได้รับตำแหน่งทหารคืน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่โหดเหี้ยมโดยสันดาน วรยุทธ์สูง อีกทั้งมีโทษตายติดตัว เพื่อมีชีวิตรอด พวกเขาต่างทำภารกิจอย่างตั้งใจยิ่งนัก มีเพียงคนเช่นนี้จึงจะเหมาะกับเรื่องที่ข้าจะใช้งาน
ข้าพิจารณาพลทหารผู้นี้อยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าผู้ตรวจการกองทัพมีงานหนึ่งต้องการให้เจ้าไปทำ เรื่องนี้อันตรายยิ่งนัก หากเจ้าทำสำเร็จกลับมาได้ ข้าจะรายงานต่อองค์ชายให้ละเว้นโทษตายของเจ้า และคืนตำแหน่งทหารให้เจ้าดังเดิม หากเจ้าตาย จะถูกบันทึกลงในรายนามผู้สละชีพของกองทัพ ครอบครัวได้เงินปลอบขวัญ ไม่รู้ว่าเจ้ามีความกล้าทำงานนี้หรือไม่”
พลทหารคนนั้นคารวะแล้วเอ่ยว่า “ผู้น้อยทราบดีว่ามีโทษตายติดตัว ได้รับเมตตาอนุญาตให้สร้างความชอบชดใช้ความผิดย่อมมิกล้าปฏิเสธ มีภารกิจใด ขอใต้เท้าโปรดสั่ง”
ข้าส่งจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนขึ้นอย่างเร็วๆ เมื่อครู่ให้เขาแล้วสั่งว่า “เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ส่งไปให้ถึงมือแม่ทัพจิงฉือที่ค่ายใหญ่เมี่ยวพัว เจ้าอ่านจดหมายดูก็จะเข้าใจ จงจำไว้ จดหมายอยู่คนอยู่ จดหมายไม่อยู่คนไม่รอด ได้ยินว่าเจ้าเคยเป็นคนในยุทธภพมาก่อน วรยุทธ์นับว่าชั้นยอด จงตั้งใจทำงานให้ดี หากจดหมายหายไปจะมีผลตามมาเช่นไร ผู้ตรวจการคนนี้คงมิต้องพูดมาก”
พลทหารผู้นั้นรับจดหมายมา เขามิใช่คนโง่ จึงทราบว่างานนี้หากง่ายดายคงไม่เจาะจงให้หน่วยทหารพลีชีพเลือกตนมา ในหน่วยวรยุทธ์ของเขานับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง ในเมื่อจงใจเลือกเขามา ย่อมต้องเป็นภารกิจสำคัญที่มีโอกาสตายมากกว่าเก้าส่วน เขาโขกศีรษะอีกครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ครอบครัวของผู้น้อยเหลือเพียงมารดากับน้องชายที่ยังเล็ก ขอใต้เท้าโปรดเมตตาดูแลด้วย”
นี่เป็นธรรมเนียมในกองทัพ หากต้องไปปฏิบัติภารกิจที่แทบจะต้องตายแน่นอน ทุกคนล้วนจะทิ้งคำสั่งเสียไว้ก่อนออกเดินทาง
ข้ามองเขาอย่างเวทนาเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ มารดากับน้องของเจ้า ราชสำนักย่อมเลี้ยงดูให้เอง”
ข้ามองพลทหารนายนี้กำลังจะถอยออกจากกระโจม แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่งในใจ จากนั้นใช้เสียงแผ่วเบาปานกระซิบเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเพียงให้จดหมายฉบับนั้นตกไปอยู่ในมือสายลับเป่ยฮั่นก็พอแล้ว”
เสียงที่ข้าเอ่ยแผ่วเบายิ่งนัก พลทหารผู้นั้นจากไปไกลแล้ว สมควรฟังไม่ได้ยิน แต่ข้ากลับเห็นร่างกายเขาชะงักวูบหนึ่งคล้ายได้ยินคำพูดของข้า แต่กลับไม่หันหลังกลับมา ตรงกันข้ามกลับยิ่งเร่งความเร็วฝีเท้าขึ้นอีก
ข้ามองแผ่นหลังของเขาแล้วเอ่ยกับเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างเฉยชา “คนผู้นี้จิตใจเข้มแข็งแล้วยังค่อนข้างเฉลียวฉลาด ข้าเอ่ยเช่นนี้ เขาย่อมเข้าใจว่าการไปครั้งนี้จำต้องสละชีวิตจึงจะทำภารกิจให้สำเร็จได้ดียิ่งกว่า ไม่ว่าอย่างไรหากเขาหนีรอด ความน่าเชื่อถือของจดหมายฉบับนั้นก็จะด้อยลงเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าเอ่ยเช่นนี้เขาคงรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ จากเดิมที่หนีรอดได้ เกรงว่าคงจะยินยอมพร้อมใจสละชีวิต ข้าจิตใจโหดเหี้ยมเกินไปใช่หรือไม่ ถึงต้องบีบให้เขาตายให้จงได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไมกล่าวตอบว่า “นี่ก็คือจุดประสงค์ที่มีหน่วยทหารพลีชีพมิใช่หรือ หากเขาสร้างความชอบครั้งใหญ่ คุณชายย่อมรายงานแก่องค์ชาย ครอบครัวของเขาก็จะได้เงินปลอบขวัญเพิ่มขึ้น เป็นเช่นนี้ย่อมดีกว่าเขาแบกโทษตายมีชีวิตอยู่อย่างอัปยศมากนักกระมัง”
ข้ายิ้มหยัน กล่าวขึ้นว่า “เมื่อใจเหี้ยมแล้วก็ต้องเหี้ยมต่อไป แม้คนผู้นี้จะเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง แต่ข้ายังเป็นห่วงว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะรักตัวกลัวตาย เจ้าตามไปดูสักหน่อย หากเขาคิดจะแอบหนีเอาตัวรอด เจ้าก็จงส่งเขาออกเดินทางเสีย แต่อย่าได้เปิดเผยร่องรอย อาศัยวรยุทธ์ของเจ้า นอกจากประมุขพรรคมารมาด้วยตนเองก็น่าจะไม่มีปัญหากระมัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้าเบาๆ แล้วกำชับ “คุณชายต้องระวังความปลอดภัย”
ข้าหลุดหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “หากพันทหารหมื่นอาชาเหล่านี้ยังปกป้องชีวิตข้ามิได้ ต่อให้เจ้าอยู่ก็ไร้ประโยชน์”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไม แย้งว่า “นั่นก็ไม่แน่ หากข้าเป็นมือสังหาร ต่อให้มีพันทหารหมื่นอาชาก็เอาศีรษะบนบ่าของคุณชายมาได้”
ข้าลูบลำคออย่างอดไม่อยู่ รู้สึกเหมือนมีไอเย็นสายหนึ่งพัดผ่านตรงนั้นไป ในใจทราบว่าเจ้าเด็กคนนี้ทนไม่ได้ที่ข้ากล่าวว่าเขาไร้ประโยชน์จึงจงใจข่มขู่ข้า
เวลานี้เอง ห่างไปหลายลี้ ดวงตาเหยี่ยววาววับของเซียวถงกำลังมองดูค่ายทัพของต้ายงขณะที่ในใจขบคิดร้อยพันตลบ การสอดแนมค่ายวันนี้ เขาตั้งใจมาด้วยตนเอง เพราะศึกเมื่อวานทำให้แม่ทัพทั้งหลายของเป่ยฮั่นเกิดความระแวงสงสัยขึ้นในใจ
แม้กองทัพต้ายงยังคงแข็งแกร่งชำนาญศึกอย่างยิ่งดังเดิม แต่เหตุไฉนกลับเหมือนเปลี่ยนคนบัญชาการทัพ ยามฉีอ๋องหลี่เสี่ยนนำทัพออกศึกมักนำหน้าเหล่าทหาร ทั้งวิถีการรบห้าวหาญ แต่การบัญชาการทัพครั้งนี้แก่นแท้กลับค่อนข้างเน้นคำว่า ‘มั่นคง’ เมื่อในใจมีข้อสงสัยย่อมต้องสืบให้ละเอียด ดังนั้นเซียวถงจึงนำทหารสอดแนมมาด้วยตนเอง
เมื่อเห็นนอกค่ายทัพของกองทหารต้ายงขุดคูคลอง ในใจเซียวถงก็เชื่อการคาดเดาของทุกคนหลังหารือกันเมื่อวาน เจียงเจ๋อต้องเป็นผู้ออกอุบายวางแผนการให้หลี่เสี่ยนเป็นแน่ หากเป็นหลี่เสี่ยนย่อมไม่มีทางคิดใช้กลโกงเช่นนี้ แต่ใจเซียวถงไม่เชื่อว่าฉีอ๋องหลี่เสี่ยนจะกล้าปล่อยหลงถิงเฟยไว้โดยไม่สนใจ ไม่อยู่บัญชาการในกองทัพ
ยิ่งเมื่อดูวิธีบัญชาการทหารเมื่อวาน แม้เจียงเจ๋อผู้นั้นจะฝีมือมิใช่ชั่ว แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นแต่อย่างใด แม้บัญชาทัพทำศึกได้เป็นแบบแผนยิ่งนัก แต่ก็มองไม่ออกสักนิดว่ามีจุดพิเศษตรงที่ใด เรื่องนี้ก็ไม่แปลก แม้เจียงเจ๋อผู้นั้นจะมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า แต่ก็เป็นเพียงนักวางกลยุทธ์คนหนึ่ง การนำทัพออกศึกไม่แน่ว่าจะเป็นข้อเด่นของเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวถงยิ่งไม่เชื่อว่าฉีอ๋องจะกล้าออกจากค่ายทัพ
มองดูอีกครู่หนึ่ง เซียวถงก็เตรียมจะผละจากไป เวลานี้เอง เซียวถงพลันเห็นคนผู้หนึ่งขี่อาชาออกจากประตูค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายงมาเพียงลำพัง แล้วควบอาชาห้อตะบึงไปทางทิศใต้ เซียวถงฉุกใจคิดบางอย่าง เวลาเช่นนี้ ทิศทางนี้ ฉีอ๋องจักต้องถ่ายทอดคำสั่งให้ค่ายใหญ่คลังเสบียงที่แนวหลังเป็นแน่
ถานจี้กำลังจับจ้องเมี่ยวพัวอยู่ หากได้รับข่าวสารอันใดคงช่วยเหลือได้บ้าง ต่อให้ช่วยอันใดมิได้ ตัดการติดต่อของศัตรูกับแนวหลังก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แม้ยามนี้จะไม่สะดวกใช้ทหารม้าสอดแนมกลุ่มใหญ่ แต่ศิษย์พรรคมารถนัดการเข่นฆ่าในยุทธภพที่สุด จัดการคนส่งสารคนเดียวย่อมไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดอันใด เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซียวถงจึงส่งเหยี่ยวตัวหนึ่งด้านข้างขึ้นฟ้า เหยี่ยวดำตัวนั้นบินวนรอบหนึ่งก็โผบินมุ่งไปทางทิศใต้ พร้อมกับนำคำสั่งสังหารไปด้วย
ตอนต่อไป