ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 75 ดุจพบสหายเก่า (1)
ข้ามองเกาเหยียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับข้า แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าชมพิณของสหายสักหน่อยได้หรือไม่”
เกาเหยียนผู้นั้นแย้มรอยยิ้ม “ย่อมได้ บทกวีของใต้เท้าเลื่องลือทั่วใต้หล้า ทั้งใต้เท้ายังเคยมีส่วนช่วยก่อตั้งตำหนักฉงเหวิน ใต้เท้าคงชำนาญการประเมินค่า พิณคันนี้ของผู้น้อยได้ใต้เท้าชื่นชมถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี”
กล่าวจบเขาจึงนำพิณโบราณออกมา พิณโบราณคันนี้ยาวสามฉื่อหกชุ่นหกเฟิน เครื่องหมายบอกตำแหน่งทั้งสิบสามจะว่าเป็นไม้ก็มิใช่ไม้ จะว่าเป็นทองก็มิใช่ทอง ลายไม้งดงามทอดต่อเนื่อง ทำมาจากไม้ถงโบราณ ภายนอกดูเรียบง่ายแต่งดงาม สายพิณทำจากใยไหมฟ้าผสมเหล็กกล้า ตัวพิณมีลายร้าวรูปดอกเหมย ย่อมต้องเป็นพิณโบราณอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี พิณตัวนี้พันตำลึงทองก็ซื้อหามิได้ เกาเหยียนผู้นี้พกพาพิณเช่นนี้ติดตัว คงฐานะมิใช่ธรรมดา
ข้าเพ่งพิจอยู่พักใหญ่ สายตาจับอยู่บนลายร้าวจุดหนึ่งตรงท้ายพิณ ข้าลูบอยู่หลายคราจึงอุทานแผ่วเบาขึ้นมาว่า “พิณดี นี่คือพิณโบราณที่คนตระกูลไช่ทำขึ้นมาเมื่อสมัยต้นราชวงศ์ตงจิ้น พิณเล่มนี้มีนามว่า ‘สี่เฉิน’ เป็นของล้ำค่าซึ่งราชวงศ์ก่อนมอบให้แก่เชื้อพระวงศ์เกาลี่ คุณชายเกาครอบครองพิณคันนี้ได้ แล้วยังแซ่เกา คงเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือชนชั้นสูงของเกาลี่ เมื่อครู่เจียงเจ๋อล่วงเกินแล้ว ต้องขออภัย มิทราบว่าฐานะที่แท้จริงของคุณชายคือฐานะใด”
ดวงตาของเกาเหยียนทอประกายเจิดจ้า ตอบว่า “แม้พิณนี้เป็นของชั้นเลิศในหมู่พิณ แต่ก็เก็บอยู่ในหอสมบัติให้ฝุ่นจับมานานปี คิดไม่ถึงว่าใต้เท้ามองเพียงครั้งเดียวก็รู้จัก ดูท่าใต้เท้าจะเป็นยอดฝีมือแห่งศาสตร์พิณเช่นกัน ผู้แซ่เกานับถือ ข้าคือโอรสองค์ที่หกของเจ้าแคว้นเกาลี่ เพราะเสด็จพี่ใหญ่กับเสด็จพี่สามแย่งชิงบัลลังก์กันดุเดือดขึ้นทุกที ข้ามิต้องการข้องเกี่ยว จึงนำผู้ติดตามออกเดินทางไกลมาถึงจงหยวน การเดินทางครั้งนี้เป็นการแอบเดินทางมาด้วยตนเอง ขอใต้เท้าโปรดเข้าใจ อย่าให้ข่าวแพร่ออกไป”
ในใจข้าลอบคิดว่าคนผู้นี้มีสง่าราศีของผู้ปกครองอยู่พอสมควร เหตุใดจึงมิคิดหมายตำแหน่งเจ้าแคว้น แต่กลับออกเดินทางไกลระหกระเหิน บนโลกใบนี้มีลูกหลานเชื้อพระวงศ์ผู้ไม่รักอำนาจเช่นนี้อยู่จริงหรือ แม้ในใจเกิดคำถามขึ้นเล็กน้อย แต่ในเมื่อเขาออกปากเอง ข้าก็ได้แต่เชื่อชั่วคราว จึงยิ้มตอบว่า “คุณชายเกากล่าวได้ถูกต้องเป็นที่สุด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เรียกขานด้วยยศศักดิ์ มิให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์”
ข้ามองพิณโบราณคันนั้นอีกหนแล้วคลี่ยิ้ม “เมื่อครู่ได้ฟังเสียงพิณของคุณชาย ในใจรู้สึกนับถืออย่างแท้จริง ยามนี้ด้านนอกหิมะโปรยปราย รอบด้านไร้ผู้คน มิทราบเจียงเจ๋อจะมีโชคได้ฟังคุณชายดีดสักเพลงหรือไม่”
เกาเหยียนตอบด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ใต้เท้าเป็นผู้ประเมินค่าสิ่งต่างๆ ได้เฉียบแหลมนัก ด้านดนตรีก็คงจะมีความเห็นมิเหมือนผู้ใด ข้าจะดีดสักเพลง ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะด้วย” กล่าวจบ สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง นิ้วทั้งสิบกรีดแผ่วเบา เสียงพิณไพเราะเสนาะหูลอยออกมาจากปลายนิ้วของเขา เสียงพิณล่องลอยผ่องพิสุทธิ์ ทำให้คนฟังหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
เมื่อบทเพลงจบลง ข้าพลันร้องชมเสียงดังอย่างห้ามมิได้ “เยี่ยม ท่วงทำนองประหนึ่งเกล็ดหิมะโปรายปราย ดั่งความเปล่าเปลี่ยวในฟ้าดินกอปรเป็นรูปลักษณ์ วิชาพิณของคุณชายล้ำเลิศ ใต้หล้าหาใดเทียม”
ใบหน้าของเกาเหยียนกลับมิมีสีหน้ายินดี เพียงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ชีวิตข้ามิชมชอบสิ่งอื่น สิ่งเดียวที่รักคือดนตรี แม้นตรากตรำฝึกปรือฝีมือ แต่เกรงว่าคงสู้คุณชายมิได้ มิทราบว่าใต้เท้ายินดีชี้แนะข้าสักบทเพลงหรือไม่”
ข้าฟังออกว่าอยู่ดีๆ ถ้อยคำที่คนผู้นี้เอ่ยออกมาก็มีความเป็นอริแฝงอยู่เลือนรางโดยมิทราบสาเหตุ ในใจรู้สึกประหลาด แต่ความตื่นเต้นผุดขึ้นมาพร้อมกันด้วย จึงตอบว่า “ก่อนหน้านี้แม้เจียงเจ๋อเคยร่ำเรียนพิณ แต่จนปัญญาด้วยเจียงเจ๋อนิสัยเกียจคร้าน จึงร่ำเรียนวิชาพิณมาได้ตื้นเขินยิ่งนัก คุณชายโปรดอย่าได้หัวเราะเยาะ” กล่าวจบก็รับพิณโบราณมา ตั้งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง สิบนิ้วก็วางลงบนสายพิณ
ตอนที่เสียงพิณหยุดลง ในใจฮูเหยียนโซ่ววิตก แม้เสียงพิณนั่นจะไพเราะยิ่งนัก แต่เขาไม่มีอารมณ์จะสนใจ ในใจเขากังวลอย่างยิ่ง ทั้งที่มิทราบว่าสามคนนี้เป็นผู้ใด แต่ใต้เท้ากลับให้เกาเหยียนผู้นั้นนั่งรถม้าคันเดียวกับตน หากคนผู้นั้นเป็นมือสังหาร ต่อให้ท่านหลี่วรยุทธ์เลิศล้ำก็ยากจะปกป้องใต้เท้ามิให้บาดเจ็บ หากเกิดเรื่องขึ้น
แม้ใต้เท้ามิกล่าวโทษ ฉีอ๋องกับฝ่าบาทคงไม่ละเว้นตนง่ายๆ เป็นแน่แท้ ถึงเขาอยากจะสืบความเป็นมาของคนเหล่านี้เพิ่ม แต่ก็จนปัญญาที่เหลือบ่าวเฒ่าที่พูดภาษาฮั่นไม่ได้อยู่ข้างนอกเพียงผู้เดียว ฮูเหยียนโซ่วแม้นใจอยากทำก็จนปัญญา ขณะที่กำลังขบคิด เสียงพิณในรถก็ดังขึ้นอีก
เสียงพิณครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อครู่ เสียงพิณเมื่อครู่ท่วงทำนองงดงาม การบรรเลงนิ้วชำนิชำนาญ แม้แต่ฮูเหยียนโซ่วก็ทราบว่ายอดฝีมือเป็นผู้ดีด ทว่าเสียงพิณครั้งนี้แรกเริ่มติดขัดอยู่เล็กน้อย การบรรเลงนิ้วก็สับสนอยู่บ้าง แต่ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงพิณกลับคล้ายผสานเข้ากับฟ้าดิน
เสียงพิณเมื่อครู่แม้แต่ฮูเหยียนโซ่วก็ฟังออกว่าท่วงทำนองประหนึ่งหิมะโปรย ทว่าเสียงพิณครั้งนี้ฮูเหยียนโซ่วกลับรู้สึกว่าเสียงพิณคือหิมะโปรย หิมะที่โปรยปรายคือเสียงพิณ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงพิณนี้ก็ราวกับประสานเป็นหนึ่งเดียวกับหิมะที่ลอยล่อง ฮูเหยียนโซ่วถึงขนาดมิทราบว่าตนเองกำลังฟังเสียงพิณ หรือเสียงอันยากจับต้องของเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่น
หนึ่งบทเพลงสิ้นสุด มิทราบตั้งแต่เมื่อใดที่ฮูเหยียนโซ่วลืมบังคับรถม้า โชคยังดีที่อาชาตัวนี้เป็นอาชาชั้นดีที่เดินทางจนคุ้นชินแล้ว มิต้องให้เขาใส่ใจมาก เมื่อครู่จึงมิได้เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้นมา
เกาเหยียนฟังอย่างนิ่งงัน ดวงตาฉายแววเหม่อลอย คล้ายนับถือแต่ก็คล้ายอิจฉา เสียงพิณหยุดลงเพียงชั่วครู่ เขาก็ทอดถอนใจชื่นชม “แม้ใต้เท้าบรรเลงนิ้วไม่คล่อง แต่รสของบทเพลงเหนือกว่าข้าร้อยเท่า มิทราบชี้แนะข้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
ข้ารับชาหอมที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งให้มาจิบคำเล็กๆ แล้วตอบว่า “คุณชายกล่าวชมเกินไปแล้ว ความจริงทักษะการบรรเลงและการตีความบทเพลงของคุณชายบรรลุถึงระดับล้ำเลิศแล้ว เจียงเจ๋อด้อยกว่ามากนัก
จุดที่ข้ากับคุณชายแตกต่างกันมีเพียงข้อเดียว นั่นคือคุณชายรักดนตรี ดังนั้นจึงขวนขวายความก้าวหน้า จดจ่อมุ่งมั่นจะบรรเลงพิณให้ดียิ่งกว่าเดิม ทว่าเจียงเจ๋อมิใช่ พิณภาพหมากอักษร สำหรับข้าล้วนเป็นเพียงเครื่องบันเทิงเริงใจ เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้ข้าเบิกบานใจเท่านั้น
ดังนั้นข้าจึงมิแสวงหาความยอดเยี่ยม ไม่ขวนขวายทำให้ดีขึ้น ขอเพียงถ่ายทอดความรู้สึกในใจได้ก็เพียงพอ บทเพลงจะงดงามหรือไม่ นิ้วที่บรรเลงจะถูกต้องหรือไม่ ล้วนมิใช่สิ่งที่ข้าขบคิด แต่การดีดพิณเช่นข้า ต่อให้ดีดอีกหลายสิบปีก็ได้เพียงเท่านี้มิเปลี่ยน มิเหมือนคุณชาย ขอเพียงเข้าใจขอบขั้นที่สูงขึ้นก็จะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด”
เกาเหยียนจ้องมองข้านิ่ง ก่อนจะค้อมกายคำนับเอ่ยว่า “เหตุผลที่เด่นชัดถึงเพียงนี้ จวบจนวันนี้ข้าเพิ่งเข้าใจ มิน่าวิชาพิณของข้าจึงมิก้าวหน้ามาหลายปี วันนี้ได้ใต้เท้าสั่งสอน ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”
ข้ารีบเอื้อมมือมาประคอง พลางยิ้มแย้มกล่าวว่า “ข้าคนนี้เกียจคร้านเป็นนิสัย ใช้หูมากกว่ามือ หวังว่าหลังจากนี้จะได้ฟังบทเพลงอันไพเราะของคุณชายอีก แต่พิณดีดมากจะไม่ดี วันนี้เพลิดเพลินพอแล้ว มิสู้ข้ากับท่านรับของว่างกันสักหน่อยเป็นเช่นไร”
เกาเหยียนคลี่ยิ้มตอบ “มิกล้าปฏิเสธ ยามข้าออกมาจากเกาลี่ นอกจากพิณคันนี้ก็นำสุราเลิศรสมาเพียงสิบกว่าไหเท่านั้น น่าเสียดาย มาถึงวันนี้ล้วนดื่มหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงสุราสาลี่บ่มขิงไหเดียวที่ตัดใจดื่มมิลงมาตลอด วันนี้พบสหายรู้ใจ ข้ามิอาจตระหนี่ถี่เหนียว จินจือ เจ้าจงไปนำสุรามา” เขาหันไปสั่งหญิงรับใช้ มิได้สนใจว่าเจียงเจ๋อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาทอประกายเย็นเยียบขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่พริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นรอยยิ้ม
หญิงรับใช้นามจินจือขานรับเสียงใสกังวานแล้วกระโดดลงจากรถ ไม่นานก็ถือไหใบน้อยที่บรรจุสุราไว้ห้าชั่งมา เสี่ยวซุ่นจื่อหยิบจอกสุราสองใบออกมาจากช่องลับบนรถม้า เกาเหยียนฉีกกระดาษผนึกบนไหสุราออก จากนั้นรินสุราสีเหลืองทองจนเต็มจอก
ข้ายกจอกสุราขึ้นแล้วสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “สุราดี สุราสาลี่บ่มขิงของแคว้นท่านใช้น้ำสาลี่เสริมด้วยขิงอ่อนบ่มเข้าด้วยกัน รสชาติพิสุทธิ์งดงาม ติดปลายลิ้นไม่จาง ข้าเคยดื่มที่ปินโจวมาก่อน แต่ไหนั้นเป็นเพียงสุราใหม่ ข้าดูท่าไหนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นสุราเลิศรสที่หมักบ่มมาสิบปี เจียงเจ๋อมีบุญไม่น้อยจริงๆ”
เกาเหยียนยกจอกสุราขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “แคว้นของข้ามิมีผู้ใดไม่รักการร่ำสุรา แม้เทียบกับจงหยวนแล้วอาจสู้มิได้อยู่บ้าง แต่สุราสาลี่บ่มขิงชนิดนี้รสชาติเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งมีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย ข้าชื่นชอบมันนัก เชิญใต้เท้า” กล่าวจบเกาเหยียนก็ดื่มก่อนหนึ่งจิบ ข้าทราบว่าชาวเกาลี่ชอบดื่มสุรา แต่มิชอบดื่มพรวดพราด พวกเขาจะต้องดื่มอย่างช้าๆ ตัวข้าเองก็มิชอบดื่มรวดเดียวเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงจิบคำเล็กๆ คำหนึ่ง
มีสุราช่วยเสริมความรื่นเริง พวกเราสองคนก็ถกเรื่องบทกวีกับดนตรีอย่างอดใจมิไหว เกาเหยียนผู้นี้เป็นอัจฉิยะแห่งยุคจริงๆ หากมิใช่ว่าข้าอ่านตำรามามากมาย น่ากลัวว่าคงถูกคำถามของเขาทำให้หมดท่าเสียแล้ว พวกเราสนทนากันอย่างเพลิดเพลินจนลืมเลือนเวลา มิทราบผ่านไปนานเท่าไร ฮูเหยียนโซ่วจึงรายงานว่า “ใต้เท้า ถึงวัดวั่นฝัวแล้วขอรับ เจ้าอาวาสฉือหย่วนต้าซือมารออยู่ด้านหน้า”
แม้ข้ายังรู้สึกสนุกสนานอยู่ แต่ก็ได้แต่กล่าวว่า “ซวี่จือ พวกเราหยุดพักสักครู่ก่อน รอข้าเซ่นไหว้เสร็จค่อยสนทนากันต่อ”
ซวี่จือก็คือนามรองของเกาเหยียน พวกเราสองคนสนทนากันถูกคอนัก จึงใช้นามรองเรียกขานกัน เกาเหยียนพยักหน้าตอบ “สุยอวิ๋นกล่าวถูกต้อง เซ่นไหว้บิดาของท่านจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”