ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 82-2 พลีชีพสัประยุทธ์ (2)
ชิวอวี้เฟยรอดพ้นจากการสูญเสียวรยุทธ์อย่างฉิวเฉียด ในใจรู้สึกโชคดีนัก แม้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่ก็มิคิดเอ่ยวาจาล่วงเกินอีก ในใจคิดว่า หากข้าฟื้นกำลังภายในได้สักหน่อยย่อมมีโอกาสหลบหนี ตอนนี้อย่าเพิ่งยั่วโมโหเขาดีกว่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของเขาก็สงบลงมากและไม่เอ่ยวาจาอันใดอีก ปล่อยให้องครักษ์ไม่กี่คนนั้นต่อข้อต่อแขนของเขาเข้าดังเดิม จากนั้นองครักษ์หลายคนนั้นก็พบว่าไม่มีเชือก พวกเขามองหน้ากัน สำหรับพวกเขาแล้ว สังหารคนสะดวกกว่าจับศัตรูเป็นเชลย ที่ตัวจึงแทบมิเคยพกเชือกเอาไว้ พวกเขาจึงได้แต่สกัดจุดหลายตำแหน่งบนร่างชิวอวี้เฟยแล้วปล่อยเขาไว้บนบันได อีกประเดี๋ยวค่อยพาไปด้วยตอนออกเดินทาง
เวลานี้เอง องครักษ์ที่ออกไปจับกุมตัวชุยจิ่วเฉิงกับจินจือก็รีบร้อนก้าวเข้ามาในเรือน ข้าเห็นสองมือของพวกเขาว่างเปล่าก็ทราบว่าจับคนไว้ไม่ได้ ความจริงข้ามิได้เก็บสองคนนั้นมาใส่ใจนัก ดูจากที่พวกเขาเอ่ยภาษาเกาลี่ได้คล่องแคล่วเช่นนั้นเพียงประการเดียวก็ทราบแล้วว่าแปดเก้าในสิบส่วนอาจเป็นคนเกาลี่จริงๆ
หากสองคนนี้หลบหนีไป สำหรับข้าแล้วมีแต่จะเป็นประโยชน์ หากถูกจับเป็นเชลยก็มิมีสิ่งใดสำคัญ ขอเพียงข้ากลับถึงค่ายใหญ่ได้อย่างปลอดภัยและชิวอวี้เฟยหลบหนีระหว่างทางได้อย่างราบรื่น หมากกระดานนี้ของข้าก็วางหมากได้ครบถ้วนแล้ว ดังนั้นข้าจึงมิได้ใส่ใจส่งคนไปจับกุมตัวพวกเขาล่วงหน้า ตอนนี้ดูท่าพวกเขาคงหนีไปแล้วจริงๆ
ข้าเพียงเอ่ยกับจวงจวิ้นอย่างนิ่งสงบ “องครักษ์จวง เจ้าจงเร่งส่งม้าเร็วกลับค่ายไปก่อน ขอให้ฉีอ๋องออกคำสั่งกองทัพตามจับตัวสองคนนั้นกับหลิงตวน”
จวงจวิ้นอารักขาอยู่ข้างกายข้ามาตลอด เขามิทราบสายสนกลในของเรื่องราวครานี้ เมื่อเขาเห็นข้าถูกลอบสังหารจึงเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง “ใต้เท้าโปรดวางใจ ผู้น้อยจะเปลี่ยนอาชากลับไปรายงานต่อองค์ชายทันที ต้องจับตัวพวกเขาได้แน่” เขาทราบเรื่องหลิงตวนแล้ว เห็นว่าเพียงตามจับคนเพิ่มอีกคนหนึ่งเท่านั้นจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ
ข้ายิ้มละไมพลางพยักหน้า กำลังจะกล่าวชมเชยสักสองสามประโยค เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องกลับไปทันทีออกจะเหน็ดเหนื่อยอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเอง เงาสองร่างพลันปรากฏตัวขึ้นเหนือกำแพงเรือน ร่างหนึ่งแก่เฒ่าโรยรา ร่างหนึ่งอรชรอ้อนแอ้น ชุยจิ่วเฉิงกับจินจือนั่นเอง
ทั้งสองคนคำรามลั่นพร้อมกัน ขณะที่สองมือเหวี่ยงสะบัด ลูกกลมสีดำขนาดเล็กสิบกว่าลูกพุ่งออกมาจากในมือของพวกเขาแล้วระเบิดกลางอากาศ เปลวเพลิงกระจายว่อน หมอกพิษแผ่โอบล้อม เข็มทองพุ่งตามกันออกมา นี่คืออาวุธลับดินระเบิดอันหาได้ยากชนิดหนึ่ง เพียงพริบตาเดียว ลานเรือนก็ปกคลุมด้วยหมอกสีดำ สายตามองไม่ชัด องครักษ์ทั้งหมดล้วนหาที่กำบังในทันใด
โชคดีที่อาวุธลับเหล่านี้แม้จะกินบริเวณกว้าง แต่อานุภาพไม่มากนัก องครักษ์เหล่านี้ล้วนสวมเกราะอ่อน เพียงป้องกันใบหน้าไว้ก็เพียงพอแล้ว แต่พวกเขาน่าจะไม่ต้องการทำร้ายชิวอวี้เฟย จึงไม่ได้โยนอาวุธลับนั่นไปทางบันไดหิน
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นสถานการณ์ก็พาข้ากระโจนไปบนบันไดหิน ยืนอยู่ข้างตัวชิวอวี้เฟยพอดี ในใจข้าไม่หวาดกลัว สองคนนั้นวรยุทธ์ไม่น่าจะสูงนัก เสี่ยวซุ่นจื่อย่อมปกป้องข้าได้
ตอนนี้ชิวอวี้เฟยนอนพังพาบอยู่บนบันไดหิน แม้สภาพน่าอเนจอนาถ แต่ดวงตาที่ลืมขึ้นเป็นบางครั้งของเขากลับทอประกายเย็นยะเยือก พรรคมารมีวิชาของสำนักที่คนนอกมิรู้มากมาย หนึ่งในวิชาเหล่านั้นเหมาะแก่การใช้ในเวลาเช่นนี้เป็นที่สุด เขาปรับจังหวะลมหายใจอย่างพิถีพิถัน โคจรพลังภายในทะลวงจุดลมปราณ
แม้ว่าจุดลมปราณจะถูกสกัดไว้ แต่ฝีมือธรรมดาเช่นนี้ใช้กับเขามิได้มากนัก ชิวอวี้เฟยฉวยโอกาสที่ชุยจิ่วเฉิงกับจินจือจู่โจม จดจ่อตั้งใจโคจรลมปราณ มิมีเวลาสนใจว่าอาจถูกสังเกตเห็น จนกระทั่งเงามารหลี่ซุ่นพาเจียงเจ๋อถอยมาถึงจุดที่อยู่ไม่ไกลจากร่างเขา ชิวอวี้เฟยก็ทะลวงจุดลมปราณไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว
แม้เขาตั้งใจปกปิดแล้ว แต่เสี่ยวซุ่นจื่อวรยุทธ์สูงกว่าเขา ต่อให้มิได้หันกลับมาสำรวจดูจุดลมปราณที่สกัดไว้ของชิวอวี้เฟย เพียงได้ยินเสียงลมหายใจของเขาผิดแผกก็ทราบแล้วว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แต่เขามิแสดงสีหน้าออกมา ในใจคิดว่า คนผู้นี้ถูกจับเป็นเชลยแล้ว หากปล่อยให้เขาหนีรอดไประหว่างทางก็ออกจะชวนให้คนสงสัย มิสู้ฉวยจังหวะยามชุลมุนตอนนี้ปล่อยให้เขาคลายจุดด้วยตนเองเสียดีกว่า ครั้งนี้เขาคงไม่มุ่งมั่นจะลอบสังหารให้สำเร็จจึงจะยอมพอใจแล้วกระมัง
หากกล่าวถึงใจจริงของเสี่ยวซุ่นจื่อ สังหารชิวอวี้เฟยเสียจึงจะสาแก่ใจ แต่เขาทราบว่าคนผู้นี้สำคัญยิ่งนัก เขาเป็นหมากจารชนซ้อนที่ยอดเยี่ยมที่สุด หากพลาดเสียคนผู้นี้ไปก็มิอาจทราบได้ว่าเจียงเจ๋อจะประมาทเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายอีกหรือไม่ หนทางแก้ที่ดีที่สุดคือทำให้สิ่งที่คุณชายปรารถนาลุล่วงเสีย เดิมทีเขาก็เป็นผู้มีความคิดฉับไวอยู่แล้ว เพียงพริบตาเดียวก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
เวลานี้ชุยจิ่วเฉิงกับจินจือกระโดดลงมาจากกำแพงแล้ว ในมือทั้งสองคนล้วนถือกระบี่สั้นวาววับสะดุดตาเล่มหนึ่ง พุ่งเข้ามาตรงจุดที่ชิวอวี้เฟยอยู่ แม้อาวุธลับของพวกเขาจะร้ายกาจ ทว่าถึงอย่างไรราชองครักษ์หู่จีก็เป็นกองทหารชั้นยอดของต้ายง เพียงครู่เดียวทั้งสองคนก็ถูกล้อมอยู่ในกระบวนทัพ เสี่ยวซุ่นจื่อจงใจยืนอยู่ระหว่างชิวอวี้เฟยกับเจียงเจ๋อ ป้องกันกรณีที่ชิวอวี้เฟยมิสนใจชีวิตคิดลงมือกับเจียงเจ๋ออีก
ชิวอวี้เฟยเห็นชุยจิ่วเฉิงกับจินจือเริ่มสิ้นเรี่ยวแรงก็ทราบว่าไม่มีโอกาสอีกต่อไป เขาจึงมิสนใจว่าจะถูกหลี่ซุ่นจับได้หรือไม่ โคจรลมปราณหวนกลับจนกระอักเลือดคำหนึ่งออกมาอย่างมิอาจห้าม จากนั้นเร่งเร้าพลังภายในจนสุดท้ายก็ทะลวงจุดลมปราณสำเร็จ
ปฏิกิริยาของเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นดังคาด พริบตาที่เขาส่งเสียง เสี่ยวซุ่นจื่อก็พาเจียงเจ๋อเหินหลบ ชิวอวี้เฟยพลิกกายกระโดดขึ้นจากพื้น ยกเท้าขึ้นตวัดเตะ กองหิมะลอยเหินเข้าจู่โจมจุดที่เจียงเจ๋อกับหลี่ซุ่นอยู่ ส่วนตัวเขาโผไปทางกำแพงเรือน
ในเวลาเดียวกัน ชุยจิ่วเฉิงก็โซเซถอยหลัง กระบี่สั้นในมือถูกโจมตีกระเด็นออกไป เขาทรุดล้มลงบนผืนหิมะ ดาบสองเล่มฟันขวางลงมา เขาล้มตัวกลิ้งสุดแรงหลีกหลบ โลหิตสีแดงสดหยดร่วง จินจือร้องเสียงแหลมครั้งหนึ่ง กระบี่สั้นในมือพลันพุ่งออกจากมือ บินเข้าใส่องครักษ์ที่กำลังจะฟันดาบสังหารชุยจิ่วเฉิง แม้องครักษ์ผู้นั้นมองไม่เห็นกระบี่สั้นที่พุ่งมา แต่ได้ยินเสียงร้องเตือนจากสหายร่วมรบด้านหลัง เขาจึงพลิกกายหลบอย่างไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น กระบี่สั้นเล่มนั้นจึงแล่นลงบนกองหิมะ
ตอนนี้เอง ชุยจิ่วเฉิงก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก สองมือสั่นเทาส่งอาวุธลับสีดำสนิทบินร่อน เหล่าองครักษ์ล้วนมิต้องการตกตายไปพร้อมกับเขา จึงพากันหลบเลี่ยงหมอกควันและเข็มพิษ ชุยจิ่วเฉิงตวาดเป็นภาษาเกาลี่เสียงดัง “พวกเจ้ารีบหนีไป!” จินจือกับชิวอวี้เฟยต่างได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง
เวลานี้ ชิวอวี้เฟยพลิกกายกระโดดขึ้นกำแพงเรือนแล้ว ตัวเขายามใช้วิชาตัวเบาเต็มกำลังมิใช่ผู้ที่องครักษ์เหล่านั้นจะขัดขวางได้ ยิ่งไปกว่านั้น องครักษ์ส่วนใหญ่ล้วนมิได้กำลังสนใจตัวเขา ส่วนหลี่ซุ่น คนผู้เดียวที่ขัดขวางเขาได้ก็มิอาจผละตัวออกมา เพราะตอนที่ชุยจิ่วเฉิงตวาดเสียงดัง จินจือก็เห็นความเคลื่อนไหวของชิวอวี้เฟยแล้ว นางสละชีวิตขว้างอาวุธลับชุดสุดท้ายไปยังจุดที่เจียงเจ๋ออยู่ แม้จะถูกองครักษ์เหล่านั้นกับเสี่ยวซุ่นจื่อขวางเอาไว้ได้ แต่นางก็ทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อ ‘ไม่อาจ’ ไล่ตามชิวอวี้เฟยอย่างวางใจได้สำเร็จ
ตอนร่างของชิวอวี้เฟยหายลับไป ในที่สุดร่างกายของชุยจิ่วเฉิงก็ต้องดาบฟันหลายแผลล้มฟุบอยู่บนพื้น ส่วนในมือจินจือก็ไร้อาวุธ ฮูเหยียนโซ่วโกรธแค้นยิ่งนัก แม้เสี่ยวซุ่นจื่อใช้ลมปราณลอบแจ้งเขาแล้วว่าไม่ต้องส่งคนขัดขวางการหลบหนีของชิวอวี้เฟย แต่เห็นองครักษ์มากมายเช่นนี้ถูกคนสามคนบีบจนสับสนอลหม่าน ใจเขาก็สุมด้วยเพลิงโทสะ เมื่อเห็นชุยจิ่วเฉิงถูกสังหารแล้ว สายตาของเขาจึงเลื่อนมาจับบนร่างจินจือผู้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมขององครักษ์มากมาย
เวลานี้จินจืออาศัยเพียงท่าร่างอันว่องไวหลีกหลบจนหอบหายใจหนักหน่วง ปิ่นหลุดลุ่ยเรือนผมยุ่งเหยิง จิตสังหารที่อัดแน่นเต็มอกของฮูเหยียนโซ่วลดทอนลงเล็กน้อยอย่างช่วยมิได้ เขาเอ่ยเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลายถอยออกมาก่อน แม่นางจิน เจ้ายังมิรีบยอมจำนนอีก หากยังดื้อดึงขัดขืน มีแต่ตายสถานเดียว”
องครักษ์ที่รุมล้อมเพื่อสังหารจินจือเหล่านั้นได้ยินคำสั่งของเขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว จับจ้องจินจือผู้ตกอยู่กลางวงล้อมอย่างมาดร้าย
จินจือรู้สึกว่าทั้งร่างมิเหลือเรี่ยวแรง สองขาอ่อนยวบทรุดนั่งบนพื้นหิมะ สายตาของฮูเหยียนโซ่วกลอกมาหาข้า แววตาสื่อนัยว่าขอคำสั่ง ข้าถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงดัง “จินจือ เจ้าน่าจะเป็นคนเกาลี่ เหตุใดจึงยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของจงหยวน ยามนี้ชิวอวี้เฟยหนีไปแล้ว ภารกิจของเจ้าก็น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว ไยมิยอมมอบตัวโดยดี เจ้าเป็นสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ทั้งยังพลัดถิ่นมาต่างแดน ข้าก็มิต้องการสร้างความลำบากให้เจ้า ขอเพียงเจ้าบอกผู้บงการเบื้องหลังกับสิ่งที่เขาช่วยเหลือ ข้าจะปล่อยเจ้าไปดีหรือไม่”
จินจือเงยหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอบเป็นภาษาเกาลี่ “องค์ชายติดค้างบุญคุณของสำนักคุณชายชิว จึงต้องมอบข้ากับตาเฒ่าชุยให้อย่างไร้ทางเลือก ใต้เท้าเป็นถึงลูกหลานชนชั้นสูงแห่งจงหยวนคงมีจิตใจกว้างขวาง ความแค้นมีเหตุ หนี้แค้นมีเจ้าของ ขอท่านอย่าได้ถือโทษองค์ชายหก ทุกสิ่งพวกข้าล้วนตัดสินใจทำด้วยตนเอง” กล่าวจบ มุมปากของหญิงสาวพลันมีโลหิตสีดำสนิทซึมออกมา เรือนร่างอรชรกระตุกครู่หนึ่งก็อ่อนยวบล้มลงกับพื้น หยกงามแหลกสลาย
ข้าเงียบงันครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าพาองครักษ์ครึ่งหนึ่งไปไล่ล่าตามจับชิวอวี้เฟย สองชั่วยามให้หลังค่อยกลับมา”
เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้ว เขาย่อมทราบว่าความจริงข้าต้องการให้เขาไปทำสิ่งใด แต่หากปล่อยข้าไว้ที่นี่คนเดียว เขาก็วางใจมิลงจริงๆ ขณะที่กำลังลังเล เสียงดังกังวานก็เอ่ยนามพระพุทธองค์ให้ได้ยิน “อมิตาภพุทธ ประสกหลี่โปรดวางใจ อาตมายินดีคุ้มครองเจียงโหวแทนประสกหลี่ให้ช่วงเวลาหนึ่ง”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองฉือหย่วนต้าซือที่ยืนอยู่ตรงประตูเรือนกับลูกศิษย์หนุ่มหน้าตาอิ่มเอิบหลายคนด้านหลังเขา ในใจพลันผ่อนคลาย วรยุทธ์ของฉือหย่วนต้าซืออยู่ในสิบอันดับแรกของวัดเส้าหลิน ลูกศิษย์หนุ่มเหล่านี้ก็ล้วนเป็นลูกศิษย์ฝีมือเยี่ยมแห่งวัดเส้าหลิน มีพวกเขาคุ้มกัน ภายในเวลาสั้นๆ ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
ความจริงหากพวกเขามาอยู่ข้างกายเจียงเจ๋อตั้งแต่แรก ชิวอวี้เฟยก็ไม่แน่ว่าจะกล้าลงมือลอบสังหาร ล้วนเป็นเพราะเจียงเจ๋อจงใจจัดการไม่ให้พวกเขาปรากฏตัวจึงเกิดเหตุการณ์น่าตระหนกจอมปลอมครั้งนี้ในวันนี้
ข้ามองแผ่นหลังของพวกเสี่ยวซุ่นจื่อ ใจลอบคิดว่าในเมื่อชิวอวี้เฟยหนีรอดสำเร็จแล้ว ถ้าเช่นนั้นจะเล่นละครก็ต้องเล่นให้ถึงที่สุด ต้องให้ชิวอวี้เฟยนำเหยื่อล่อที่ข้าเตรียมไว้อย่างดีกลับไปด้วยให้จงได้ มีหลิงตวน ชิวอวี้เฟยกับหมากรุกฆาตที่เริ่มลงมือในชิ่นโจวแล้ว ย่อมมิต้องกังวลแล้วว่าหลงถิงเฟยจะไม่เดินเข้ามาติดกับ หลงถิงเฟยหนอหลงถิงเฟย หลังจากปีกหักแล้ว หัวใจยังถูกทำร้ายสาหัส มิรู้ว่าเจ้าจะยังเหลือความกล้าหาญมาต่อต้านต้ายงอีกหรือไม่