ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 109 พานพบกลางทาง (2)
สายตาของจิงอู๋จี๋จับจ้องบนร่างชองชายหนุ่มอาภรณ์เขียวตรงหน้าผู้นี้ อาภรณ์สีเขียวธรรมดาสามัญ บนอาภรณ์ยังมีร่องรอยดินโคลนเหลืออยู่ รองเท้าผ้าไหมทิ้งอยู่นอกกระโจม บนศีรษะมิได้ผูกผ้าพันมวยผมสวมกวานครอบ เพียงใช้ปิ่นหยกเล่มหนึ่งขัดมวยผมสีเทาไว้ มีภาพลักษณ์ของท่านโหวแห่งต้ายง พระราชบุตรเขยผู้สูงศักดิ์เสียที่ไหน ดูเหมือนบัณฑิตผู้ท่องป่าเขา มิยึดติดสิ่งใดเสียมากกว่า
ทั้งที่เผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งที่ปลิดชีวิตเขาได้เพียงยกมือเช่นตน แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย คล้ายมิพะวงความเป็นความตายอย่างสิ้นเชิง ทำตัวผ่อนคลายเป็นธรรมชาติราวกับว่าเขาเพียงเดินทางมาคารวะผู้อาวุโสที่สนิทสนมกันคนหนึ่งเท่านั้น
ริมฝีปากเผยรอยยิ้มน้อยๆ แต่ในใจถอนหายใจแผ่วเบา จิงอู๋จี๋เอื้อมมืออกมาแสร้งประคองแล้วกล่าวว่า “ท่านเจียงมิต้องมากพิธี แขกจากแดนไกลมาเยือน คงเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ผู้แซ่จิงเพียงต้องการแสดงไมตรีของเจ้าของที่ดินเท่านั้น เชิญนั่ง อวี้เฟย เชิญท่านเจียงดื่มชา”
ข้าลุกขึ้น เลือกนั่งลงบนเบาะกลมใบหนึ่ง ส่วนหลี่ซุ่นยืนอยู่ข้างหลังข้าเป็นอย่างแรก แม้มิเข้าใจวรยุทธ์ แต่ข้าสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตั้งท่าพร้อมรบบนร่างของเขาจึงใช้ข้อศอกถองเขาเบาๆ หนหนึ่ง ฉับพลันก็รู้สึกว่าบรรยากาศตึงเครียดบนร่างเขาสลายหายไป กลับมานิ่งสงบเฉยเมยดังในยามปกติ
พริบตานั้นข้ารู้สึกว่าสายตาชื่นชมของจิงอู๋จี๋กวาดมองผ่านไป ข้าเงยหน้าขึ้นเสมือนหนึ่งมิทันสังเกต แล้วมองไปยังชิวอวี้เฟยผู้สวมอาภรณ์สีดำทั้งร่าง ถือถ้วยชาคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้าข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ข้ายิ้มกว้างกล่าวขึ้นว่า “น้องอวี้เฟย มิได้พบกันเสียนาน”
กล่าวจบสองมือก็รับถ้วยชามา มิกล้าชักช้าแม้แต่น้อย หากวันนี้ข้ามิใช่แขกของอาจารย์ของเขา คนเช่นชิวอวี้เฟยผู้นี้ไฉนเลยจะแสดงท่าทางเคารพถึงขั้นนี้ ยังมิต้องพูดถึงเรื่องที่ข้ารักและถูกใจเขา เพียงตัวตนและฐานะของเขา ข้าก็มิสมควรไม่ให้เกียรติเขาแล้ว
ดวงตาของชิวอวี้เฟยมีอารมณ์ประหลาดพาดผ่าน คนผู้นี้เคยเป็นคนที่ตนเองทรยศ แต่ยามนี้กลับเพิ่งทราบว่าตนเองมากกว่าที่ตกเป็นหมากในมือของเขา หลังจากรู้สึกว่าบุญคุณความแค้นหักล้างกันสิ้นแล้ว สิ่งที่ปรากฏในหัวใจกลับเหลือเพียงความชื่นชมที่มีให้กันในวันวาน
หลังจากกลับไปถึงจิ้นหยาง ตนเดินทางไปขอขมาท่านอาจารย์ ผู้ใดจะคาดคิดว่าท่านอาจารย์กลับเพียงยิ้มให้ วันต่อมาก็พาเขาเดินทางออกจากจิ้นหยาง คิดมิถึงว่าจะมาดักพบเจียงเจ๋อกลางทาง ในใจเขาทราบดีว่าตนมิมีวันขัดความต้องการของท่านอาจารย์แน่ แต่หากท่านอาจารย์ตัดสินใจจะเอาชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้ ตนจะทำเช่นไรดี ความสับสนในจิตใจย่อมล้วนเผยออกมาในเสียงพิณ คิดมิถึงว่าเจียงเจ๋อกลับเดินทางมาพบหน้ากันที่นี่ มิใช่รีบพากองทหารเผ่นหนี การพบหน้ากันหนนี้จะเป็นการจากเป็นจากตายหรือไม่ ในใจชิวอวี้เฟยมิแน่ใจสักนิด
จิงอู๋จี๋หันไปมองเจียงเจ๋อผู้กำลังอมยิ้มลิ้มรสชา สายตาจับอยู่บนจอนผมสีขาวเป็นดวงๆ สองข้างของเขาแล้วถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเจียงอายุเพียงสามสิบปีกลับมีเส้นผมขาวเสียแล้ว ช่างน่าสงสารเสียจริง จักรพรรดิต้ายงมีกุนซือภักดีผู้ทุ่มเทจนรากเลือดเช่นท่าน มิแปลกที่จะกำราบได้ทุกทิศ
แต่สถานการณ์ศึกเพิ่งปรากฏผลแพ้ชนะกลับปลดท่านจากตำแหน่งผู้ตรวจการกองทัพเสียแล้ว มิทราบท่านมิถือสาหรือ แล้วเขายังมิคำนึงถึงเส้นทางยาวไกลข้ามด่านเขาลำบาก เรียกท่านเดินทางมาพบหน้า มิทราบว่าเพราะนายบ่าวผูกพันแน่นแฟ้นจึงร้อนใจอยากพบหน้าท่านหรืออย่างไร”
ข้าตอบอย่างนอบน้อม “ท่านประมุขกล่าวชมเกินไปแล้ว เจียงเจ๋อมีสันดานเกียจคร้าน ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว ความทุ่มเทรากเลือดที่กล่าวกันเป็นเพียงตอนยังเยาว์ความรู้ตื้นเขิน จึงมิสนใจถนอมร่างกายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงเส้นผมขาวตั้งแต่ยังหนุ่ม เป็นที่ขายหน้ากับคนที่ทราบเรื่องราว
ส่วนที่กล่าวว่าโอรสสวรรค์โปรดปราน นายบ่าวผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งกล่าวเช่นนั้นมิได้ โอรสสวรรค์เป็นนายเหนือหัวแห่งราษฎรทั้งปวง นายบ่าวฐานะแบ่งชัด ไฉนจะลำเอียงเพราะความรู้สึกส่วนตัว อีกประการหนึ่ง เจียงเจ๋อร่างกายอ่อนแอ ฝ่าบาททนมิได้ที่จะให้แบกรับภาระหนัก การรับหน้าที่ผู้ตรวจการกองทัพเป็นเรื่องที่ไม่มีหนทางเลือก ยามนี้เหล่าแม่ทัพสามัคคีกันแล้ว เจียงเจ๋อย่อมมิมีประโยชน์อีกต่อไป ดังนั้นวางมือจากหน้าที่ก็เป็นเรื่องเหมาะสม ส่วนการเรียกเข้าเฝ้าพันลี้ เกี่ยวพันถึงการศึกทางไต้โจว มิสะดวกบอกกล่าว ขอท่านประมุขเข้าใจด้วย”
ดวงตาของจิงอู๋จี๋ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าท่านเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน ในอดีตเจรจากับเจ้าสำนักเฟิงอี้อย่างไร้ความหวาดกลัว วันนี้เหตุไฉนจึงตรงไปตรงมากับผู้แซ่จิงศัตรูผู้แข็งแกร่งคนนี้ รู้สิ่งใดล้วนบอกกล่าวหมดสิ้น ท่านมิกลัวเจ้าสำนักเฟิงอี้ แต่กลัวผู้แซ่จิงหรือ”
ข้ายิ้มละไมตอบว่า “เหตุใดท่านประมุขจึงกล่าวเช่นนี้ เจียงเจ๋อถูกถามจึงตอบ เพราะท่านประมุขเป็นอาจารย์ของน้องอวี้เฟย เจียงเจ๋อกับอวี้เฟยได้รู้จักกันเพราะสู้รบ แม้วันวานมีเรื่องมิโสภาอยู่บ้าง แต่เจียงเจ๋อก็ยังเห็นอวี้เฟยเป็นสหายคนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านประมุขย่อมเป็นผู้อาวุโสของเจียงเจ๋อ ผู้อาวุโสถาม หากมิเกี่ยวพันถึงความลับในกองทัพของข้า เหตุไฉนจะมิตอบเล่า”
จิงอู๋จี๋ยิ้มอย่างมิเหมือนรอยยิ้ม ตอบว่า “เป็นเช่นนี้เอง ท่านเจียงวางแผนการให้จักรพรรดิต้ายงกับฉีอ๋องจนทำลายแผนการใหญ่ของข้า ชาวเป่ยฮั่นมิมีผู้ใดมิเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเคียดแค้น หากนำศีรษะของท่านกลับไปคงปลุกขวัญกำลังใจของทหาร ทั้งยังทำลายกำลังใจของกองทัพต้ายงได้เป็นแน่
ข้าเดินทางมาที่นี่ตั้งใจจะมาสังหาร แต่ท่านมาเผชิญอันตรายโดยมิกลัวเกรงเช่นนี้ คิดว่าข้าจะใจอ่อน หรือคิดว่าทหารม้าไม่กี่พันคนนี้ของท่านกับคนสนิทที่ติดตามข้างกายจะปกป้องชีวิตของท่านได้ หรือคิดว่าข้าจะเห็นแก่หน้าของอวี้เฟยละเว้นชีวิตของท่านเล่า ท่านปล่อยอวี้เฟยกลับมาเพราะคิดจะให้เขาเกลี้ยกล่อมข้าเพื่อรักษาชีวิตของตนเองสินะ”
ถ้อยคำเหล่านี้แม้จิงอู๋จี๋จะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางสบายๆ แต่ในใจของพวกหลี่ซุ่น ฮูเหยียนโซ่วกับชิวอวี้เฟยล้วนรู้สึกประหนึ่งแต่ละคำแฝงจิตสังหาร เสียงสะเทือนแก้วหู มิต้องพูดถึงฮูเหยียนโซ่วผู้เหงื่อชื้นฝ่ามือ แม้แต่หลี่ซุ่นกับชิวอวี้เฟย ผู้ที่แต่เดิมก้าวเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้วก็ยังจิตใจว้าวุ่น
หลี่ซุ่นย่อมจดจ่ออยู่กับการป้องกันจิงอู๋จี๋ก่อเรื่องร้าย ส่วนชิวอวี้เฟยลังเลตัดสินใจมิได้ บรรยากาศด้านในและด้านนอกกระโจมฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังหนักอึ้งจนทำให้คนแทบหายใจมิออก มีเพียงคนเดียวที่ยังคงมีสีหน้าปกติ คนผู้นั้นก็คือเจียงเจ๋อผู้มิสวมกวาน เท้าเปลือยเปล่าผู้นั้น
ทันใดนั้นข้าก็ขยับตัวเหยียดร่างกาย บิดขี้เกียจอย่างเต็มที่หนหนึ่งต่อหน้าศัตรูและมวลมิตรภายในกระโจม ไม่ว่าจะหนึ่งปรมาจารย์ หรือสองยอดฝีมือขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หลังจากนั้นก็เลิกนั่งคุกเข่า เปลี่ยนมานั่งเหยียดขาทั้งสองข้าง กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “เมื่อครู่ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสของสหาย ย่อมต้องรักษามารยาทและเคารพนบนอบ แต่ในเมื่อยามนี้ท่านประมุขบอกชัดแล้วว่าเป็นศัตรูมิใช่มิตร ถ้าเช่นนั้นเจียงเจ๋อคงมิต้องเกรงใจแล้ว ขอท่านประมุขอย่าได้ถือโทษ เจียงเจ๋อยามปกติเกียจคร้านจนเป็นนิสัยทนรักษามารยาทพวกนั้นมิได้จริงๆ”
เมื่อข้ากล่าวเช่นนี้ก็เห็นชิวอวี้เฟยทำหน้าหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก ส่วนจิงอู๋จี๋มีสีหน้าอ่อนลง แม้มองมิเห็นสีหน้าของหลี่ซุ่นที่อยู่ด้านหลัง แต่เพราะอยู่เคียงข้างกันมานานปี เพียงจากกลิ่นอายที่เปลี่ยนไปของเขา ข้าก็ทราบแล้วว่าความเป็นอริในใจเขาลดทอนลงเล็กน้อย เขาเข้าใจข้าดี ย่อมทราบว่าข้ามิมีทางเอาชีวิตมาล้อเล่น การทำเช่นนี้ย่อมมีหลักไว้พึ่งพิงแล้ว
ข้าย่อมมิทำตัวเหิมเกริมเกินไปนัก เพียงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านประมุขเดินทางมาหนนี้ พาอวี้เฟยมาด้วยเพียงคนเดียว หากตั้งใจจะลอบสังหารข้า ไฉนจึงใช้เสียงพิณเชิญมาเป็นแขก ทหารม้าห้าพันนายมิใช่มีไว้หลอกๆ หากท่านประมุขกับอวี้เฟยจู่โจมสายฟ้าแลบอาจทำสำเร็จและมีชีวิตรอดกลับไป
แต่ยามนี้แม้เจียงเจ๋อตกอยู่ในตาข่าย แต่ด้านนอกก็มีกองทัพใหญ่ล้อมอยู่ ภายในยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อช่วยปกป้อง หากท่านประมุขลงมือเวลานี้ การเอาชีวิตผู้แซ่เจียงอาจง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ ทว่าหากต้องการจะเอาชีวิตรอดออกจากที่นี่กลับยากเย็นยิ่งนัก ต่อให้ท่านประมุขรอดปลอดภัย แต่อวี้เฟยคงยากจะหนีรอดไปได้ น้องอวี้เฟยเคารพและกตัญญูต่อท่านประมุขยิ่งนัก ท่านประมุขคงมิปล่อยให้เขาเผชิญความตาย”
เมื่อข้ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็มองจิงอู๋จี๋ แม้เขามิเอ่ยคำใด แต่สีหน้าดูเหมือนอนุญาตอยู่กลายๆ ข้าจึงเอ่ยต่อว่า “นอกจากนั้นนับตั้งแต่ท่านประมุขเข้ามาอยู่ในเป่ยฮั่นก็มิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการลอบสังหารนักแล้ว เรื่องนี้ก็มิแปลก ชาวเป่ยฮั่นนิยมความกล้าหาญ มิชมชอบแผนร้ายกลอุบาย การลอบสังหารเรื่องพรรค์นี้หากนานครั้งทำสักหนยังพอทำเนา แต่หากทำบ่อยครั้ง คงจะทำให้ประมุขพรรคมารกลายเป็นคนถ่อยชั่วร้ายในสายตาของประชาชนเป่ยฮั่นอย่างเลี่ยงมิได้ ท่านประมุขมีฐานะเป็นที่เคารพเลื่อมใส ย่อมมิอาจลงมือลอบสังหารง่ายๆ
การที่อวี้เฟยกับคุณชายใหญ่ต้วนเคยลอบสังหารข้า เพราะประการแรกข้ามีชื่อเสียงว่ามักใช้เล่ห์เหลี่ยมแผนการร้าย มิใช่วีรบุรุษผู้กล้า จึงทำให้ทหารและประชาชนเป่ยฮั่นรู้สึกว่าการลอบสังหารข้าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ประการที่สอง ยามศึกสงครามย่อมอันตราย ผู้แซ่เจียงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ การลอบสังหารข้าเพียงคนเดียวได้ประโยชน์มิน้อย จึงมิมีผู้ใดคัดค้าน
ทว่ายามนี้ผู้แซ่เจียงออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการกองทัพแล้ว มิใช่คนสำคัญในสงครามนี้อีก ทั้งฐานะของท่านประมุขก็เหนือกว่าคุณชายใหญ่ต้วนกับอวี้เฟยอยู่มากนัก หากท่านประมุขลอบสังหารข้า มิเพียงแต่จะมิอาจปลุกขวัญกลังใจของกองทัพเป่ยฮั่น ตรงกันข้ามกลับจะลดฐานะของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังจะจุดโทสะให้แก่กองทัพฝ่ายข้าโดยที่มิได้ผลประโยชน์เป็นชิ้นเป็นอันอะไรกลับไป ดังนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ของท่านประมุขย่อมมิใช่เพื่อลอบสังหาร อีกประการหนึ่งท่านประมุขเชื้อเชิญข้ามาพบหน้า หากจู่ๆ จะลงมือเข่นฆ่า ไฉนมิขายหน้าแก่ใต้หล้า”
แววตาของจิงอู๋จี๋ปรากฏรอยยิ้มขึ้นวูบหนึ่ง แล้วเอ่ยตอบอย่างนิ่งสงบ “เหตุผลมากมายที่ท่านกล่าวมาเหล่านี้ล้วนมิใช่สาเหตุที่ข้ามิสังหารท่าน”