ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 15 เมฆครึ้มแผ่ปกคลุม (1)
เสียงพิณต่อเนื่องดั่งสายน้ำไหลล่องลอยออกมาจากห้องงดงามแห่งหนึ่งในจวนของหลงถิงเฟย เสียงพิณดุจสำเนียงเสียงสวรรค์ก้องกังวานท่ามกลางสายลมอ่อนที่ยังหนาวยะเยือก เซียวถงกำลังรีบร้อนเดินมา เมื่อเห็นเงาร่างสีดำผ่านกรอบหน้าต่าง ก็อดถอนหายใจแผ่วเบามิได้
หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ตนสืบพบข่าวในอดีตเนิ่นนานที่แทบจะถูกกำจัดไปหมดแล้วจำนวนหนึ่งโดยบังเอิญ จึงพบว่าชิงไต้เคยหายไปจากอาณาเขตแคว้นเป่ยฮั่นเป็นเวลายาวนานช่วงหนึ่ง ในใจรู้สึกถึงความผิดปกติจึงกลับมาเตรียมตัวจับกุมตัวชิงไต้ทันที แต่แล้วกลับได้ทราบว่าต้วนอู๋ตี๋พาชิงไต้ออกไปด้านนอก อีกทั้งยังมิทราบว่าทั้งสองคนไปที่ใด
ขณะที่สับสนวุ่นวายอยู่ หลิงตวนก็บอกข่าวที่ลอบฟังมา เซียวถงจิตใจเป็นกังวล ขอให้ชิวอวี้เฟยเดินทางไปค้นหาต้วนอู๋ตี๋และชิงไต้กับตนเอง หน้าสุสานของสืออิง สิ่งที่ทั้งสองคนเห็นคือองครักษ์ที่ถูกสังหารและต้วนอู๋ตี๋ที่หมดสติไม่ฟื้น
ต้วนอู๋ตี๋ต้องพิษร้ายชนิดพิเศษที่สายลับต้ายงใช้ แม้พิษชนิดนี้ไม่รุนแรงถึงขนาดทำให้คนตายในทันทีแต่กลับรักษายากนัก ภายในเวลาหนึ่งถึงสองเดือน ผู้ที่ต้องพิษยากนักจะฟื้นกลับมาร่างกายแข็งแรง สายลับต้ายงมักจะใช้พิษชนิดนี้เวลาต้องการจับเป็นเป้าหมาย หลังจากต้วนอู๋ตี๋ได้สติก็เล่าการกระทำของชิงไต้ให้ฟัง เซียวถงสะเทือนใจยิ่งนัก ผู้ใดใช้ให้เขาสืบไม่พบว่าชิงไต้เป็นสายลับของต้ายงเล่า
เพื่อชดใช้ความผิดพลาดของตนเอง เซียวถงขอให้ชิวอวี้เฟยไล่ตามไปสังหารชิงไต้ เรื่องที่วรยุทธ์ของชิวอวี้เฟยก้าวหน้าครั้งใหญ่เขาก็พอมองออก แต่ชิวอวี้เฟยกลับปฏิเสธคำขอของเขาอย่างอ้อมๆ เซียวถงทราบว่าตลอดมาศิษย์น้องผู้นี้มิสนใจสงครามและอำนาจ แทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวในเรื่องเหล่านี้ แต่ครั้งนี้ชิวอวี้เฟยเดินทางไปลอบสังหารเจียงเจ๋อ และเขายังออกหน้าขอความเมตตาแทนต้วนอู๋ตี๋ เซียวถงจึงลืมเลือนจุดนี้ไป ด้วยเหตุนี้ระหว่างทั้งสองคนจึงทะเลาะกันอย่างไม่พอใจนัก แต่สุดท้ายเห็นแก่ความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ชิวอวี้เฟยก็ยังออกโรงเอง
ระหว่างไล่ล่าสังหารหลายร้อยลี้ ชิวอวี้เฟยลงมือสังหารสายลับตายไปมากกว่าครึ่งด้วยมือตนเอง หากมิใช่ว่าฝั่งกองทัพต้ายงมาช่วยทันเวลา น่ากลัวว่าแม้แต่ชิงไต้ผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศกว่าที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ก็คงมิอาจรอดกลับไป ทว่าชิวอวี้เฟยผู้หวนกลับมาถึงชิ่นโจวกลับไม่มีความสุขนัก ถึงขนาดจะเดินทางกลับจิ้นหยางทันที หากมิใช่หลงถิงเฟยอ้างสารพัดเกลี้ยกล่อมเขาให้อยู่ต่อชั่วคราว เกรงว่าชิวอวี้เฟยคงจากไปนานแล้ว
เซียวถงสัมผัสได้เลือนรางว่านอกจากความไม่ยินดีข้องเกี่ยวกับงานของกองทัพ ศิษย์น้องยังขุ่นเคืองตนที่บีบบังคับเขาให้ไล่ล่าสังหารชิงไต้มากกว่า เพราะเขาทราบจากปากหลิงตวนว่าชิวอวี้เฟยเหมือนจะพึงใจชิงไต้อยู่พอสมควร
เมื่อนึกถึงชิงไต้ เซียวถงยิ่งชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พรานล่าห่านดันถูกห่านจิกตา สตรีนางนี้แสดงท่าทีว่าเคียดแค้นราชสำนักเป่ยฮั่น แต่กลับทำให้ตนไม่สงสัยสักนิดว่านางคือสายลับตัวจริงของต้ายง จากสิ่งที่ต้วนอู๋ตี๋เห็นมา ตำแหน่งของสตรีนางนี้คงสำคัญยิ่งนัก นางรับมือศิษย์น้องได้ร้อยกระบวนท่า วรยุทธ์และเล่ห์เหลี่ยมระดับนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะเป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนมของต้ายงที่คอยรวบรวมข่าวสารในเป่ยฮั่น การปล่อยให้นางหนีรอดไปช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
แม้หลงถิงเฟยมิกล่าวโทษตน แต่เซียวถงกลับยากจะสงบใจ ดังนั้นเขาจึงต้องการคิดหาวิธีรั้งชิวอวี้เฟยไว้มากขึ้นกว่าเดิม วรยุทธ์ของศิษย์น้องผู้นี้จู่ๆ ก็ก้าวหน้าพรวดพราด หากมีเขาคอยช่วย ตนย่อมทำสิ่งใดได้เต็มกำลังมากขึ้น
ในที่สุดเสียงพิณก็หยุดลง เซียวถงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วเดินเข้าไปในห้องงดงามแห่งนั้น ชิวอวี้เฟยลูบสายพิณแผ่วเบา แต่ไม่ลุกขึ้นมาต้อนรับศิษย์พี่ ระหว่างพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องเดิมทีก็มิได้แบ่งแยกฐานะสูงต่ำชัดเจนนักอยู่แล้ว ในพรรคมาร วรยุทธ์กับความสามารถคือตัวตัดสินสิ่งต่างๆ ยามนี้ชิวอวี้เฟยก้าวเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรราชาติแล้ว ย่อมมีคุณสมบัติพอจะเมินเฉยต่อเซียวถงอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเซียวถงจะเป็นศิษย์พี่ของตนก็ตาม
เซียวถงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ต้องการใครสักคนเดินทางไปตงไห่ ขัดขวางตงไห่โหวมิให้สวามิภักดิ์ต่อต้ายงในเวลาอันใกล้นี้”
ชิวอวี้เฟยเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ “จะขัดขวางอย่างไรเล่า ตงไห่โหวแต่เดิมก็เป็นพระญาติเชื้อพระวงศ์ของต้ายง ยิ่งไปกว่านั้น เจียงเจ๋อยังอยู่ที่ตงไห่หลายปี ข้าคิดว่าตงไห่จะสวามิภักดิ์ต่อต้ายงเมื่อใดก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น”
เซียวถงเอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้ากล่าวมิผิด แต่พวกเราต้องการทรัพยากรจากตงไห่ แม้หลายเดือนที่ผ่านมาพวกเราพยายามกักตุนเสบียงและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังมิเพียงพอ หากตงไห่สวามิภักดิ์ต่อต้ายง พวกเราย่อมเสียหายหนัก พวกเราหวังว่าตงไห่จะยังรักษาความเป็นกลางต่อไป”
ชิวอวี้เฟยเลิกคิ้วกระบี่ขึ้นสูง กล่าวตอบว่า “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ง่าย แม่ทัพใหญ่มีแผนการเช่นไร”
เซียวถงตอบอย่างใจเย็น “ในอดีตยามตงไห่กับต้ายงเป็นศัตรูกัน หากมิได้แคว้นเราลอบสนับสนุน พวกเขาก็คงล่มจมไปนานแล้ว ยามนี้พวกเราไม่ขอให้พวกเขาช่วยเหลือฝั่งเรา แต่ขอเพียงพวกเขารักษาความเป็นกลางไว้ หากเพียงเท่านี้พวกเขายังมิยอมรับปาก ถ้าเช่นนั้นพ่อลูกตระกูลเจียงก็เป็นคนเนรคุณ สมควรถูกฟ้าลงโทษ”
ชิวอวี้เฟยถามอย่างเย็นชา “ท่านจะให้ข้าใช้การลอบสังหารข่มขู่พวกเขาหรือ ตงไห่เป็นอาณาเขตอำนาจของพวกเขา ท่านมิกลัวข้าตายกลางทะเลหรือไร”
เซียวถงตอบว่า “ยามนี้วรยุทธ์ของเจ้าอย่างน้อยก็คงหนีออกจากตงไห่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่านอาจารย์เป็นผู้หนุนหลัง ตงไห่ย่อมไม่กล้าสร้างความลำบากให้เจ้าง่ายๆ เป็นอันขาด คำขอร้องของพวกเรามิได้มากเกินไป ข้าคิดว่าพวกเขาคงตกลง”
ชิวอวี้เฟยลูบสายพิณแผ่วเบาคล้ายลังเลตัดสินใจมิได้อยู่เล็กน้อย เซียวถงทราบว่าชิวอวี้เฟยมิได้หวาดกลัวอันตราย แต่กำลังลังเลว่าตนควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่ เซียวถงเองก็มิกล้ามั่นใจว่าเขาจะตอบเช่นไร ในหัวใจลุ้นระทึก
เวลานี้เอง หลิงตวนที่ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านสี่ หากรังร่วงหล่นแล้ว ไหนเลยยังมีไข่เหลือรอดสมบูรณ์ ยามนี้แล้วต้ายงยังจะมองท่านสี่เป็นคนไม่มีพิษภัยได้อยู่อีกหรือ”
ชิวอวี้เฟยสะท้านใจ นึกถึงการลอบสังหารที่วัดวั่นฝัว แล้วนึกถึงเรื่องที่ตนไล่ล่าสังหารชิงไต้ ในที่สุดจึงถอนหายใจตอบว่า “ได้ ข้าจะไปเอง”
เซียวถงกล่าวอย่างยินดียิ่งนัก “ขอบคุณศิษย์น้องที่เข้าใจความลำบากของศิษย์พี่ผู้โง่เขลา เรื่องนี้เป็นความต้องการของท่านอาจารย์ด้วย หวังว่าศิษย์น้องจะตั้งใจให้มาก”
ชิวอวี้เฟยมองตำราพิณเล่มนั้นที่วางอยู่ข้างพิณด้วยท่าทางเฉยชา อดมิได้นึกถึงความเมตตาที่คนผู้นั้นมีต่อตนเองในวัดวั่นฝัว รวมถึงสีหน้าโศกเศร้าโกรธแค้นหลังจากทราบว่าตนคือมือสังหาร เมื่อหวนนึกถึงดวงตาหล่อเหลาสุขุมแต่กลับมีจอนผมสีเทาเป็นด่างดวง หัวใจของชิวอวี้เฟยก็เศร้าสลดอย่างมิอาจพรรณนา ชั่วชีวิตยากจะพบสหายรู้ใจสักคน แต่ตนกลับทำได้เพียงเข่นฆ่าให้ตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น
ในห้องโถงจวนแม่ทัพ หลงถิงเฟยกล่าวกับแม่ทัพใต้บัญชาอย่างเย็นชา “พวกเจ้ามิต้องพูดต่อแล้ว ข้าทราบว่ายามนี้ขวัญกำลังใจทหารไม่มั่นคง แต่ยามนี้มิใช่เวลาใจอ่อน ฉีอ๋องแห่งต้ายงกำลังจับจ้องมาดร้าย ยกพลบุกตีชิ่นโจวได้ตลอดเวลา แม่ทัพกับเหล่าทหารใต้บัญชาของสืออิงจำต้องจัดวางกำลังใหม่ จะเหลือภัยซ่อนเร้นอันใดอีกมิได้
ยามนี้เป่ยฮั่นของเรากำลังเผชิญภัยอันตราย หากมิใช้วิธีการผิดจากปกติ รอต้ายงยกกองทัพอาชาเหล็กเข้าชิ่นโจว พวกเราก็จบสิ้นแล้ว ถ่ายทอดคำสั่งข้า บุรุษในชิ่นโจวที่อายุมากกว่าสิบห้าปีล้วนถูกหมายเรียกเข้ากองทัพ หลังศึกนี้ ข้าจักมอบเงินชดเชยให้อย่างงาม แต่หากศึกนี้พ่ายแพ้ ไม่เหลือแผ่นดิน ยังจะพูดถึงความร่มเย็นเป็นสุขอันใดอีก”
หลงถิงเฟยสะบัดมือไล่แม่ทัพใต้บัญชาออกไป แล้วนั่งพิงเก้าอี้ตำแหน่งแม่ทัพอย่างเหนื่อยล้า ไม่กี่วันมานี้เขาเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน สืออิงปลิดชีพตน ต้วนอู๋ตี๋ต้องพิษ เขาสูญเสียแขนขาจนหมดสิ้น ข่าวเรื่องสืออิงทรยศกับต้วนอู๋ตี๋ลอบขนของเถื่อนก็รั่วออกไปเหมือนมีขางอก เพื่อปลอบขวัญกำลังใจของเหล่าทหารและรับมือกับราชสำนัก หลงถิงเฟยต้องใช้พลังใจเกือบจะหมดสิ้น แม้เป็นเช่นนี้ ต้วนอู๋ตี๋ก็ยังถูกลดขั้นลงหนึ่งขั้น เหล่าทหารในสังกัดเก่าของสืออิงก็ได้รับผลกระทบ หลงถิงเฟยถูกบีบให้ต้องกวาดล้างกองทัพ
ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพใต้บัญชา หลงถิงเฟยมักรู้สึกว่าพวกเขามีความไม่พอใจและอาการต่อต้านซ่อนอยู่ใต้ความเงียบงัน แต่ไม่มีหนทางใดให้ทำอีกแล้ว หากต้องการรวบรวมขวัญกำลังใจของทหารที่แตกสลายไปขึ้นมาใหม่ จำเป็นต้องมีจังหวะที่เหมาะสม
เขาเลื่อนสายตามาจับสารม้วนหนึ่งบนโต๊ะแม่ทัพ ในนั้นบันทึกข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อแห่งต้ายง หลงถิงเฟยหยิบม้วนสารขึ้นมาอ่านอีกหน เมื่ออ่านจนจบ ในหัวใจหลงถิงเฟยพลันมีความเคียดแค้นทยอยผุดขึ้นมา ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะคนผู้นี้ นับตั้งแต่เขาปรากฏตัวที่ตงไห่ แผนการทั้งหมดของตนก็ล้วนมีอุปสรรค เขาทนไม่ไหว ฉีกสารเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลงถิงเฟยถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นดาวข่มของข้ากันนะ
หลงถิงเฟยกลับไปยังเรือนด้านหลังพร้อมกับหัวใจอันกลัดกลุ้ม สั่งให้บ่าวรับใช้นำสุราอาหารมาดื่มตามลำพัง สุราลงกระเพาะกลับยิ่งกลัดกลุ้ม หลงถิงเฟยดื่มอยู่นาน แม้เขาจะคอแข็งมากแต่ก็ยังเมามายจนสะลึมสะลือมิได้สติ
“เฮ้อ” เมื่อหลงถิงเฟยได้สติกลับมาจากอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงก็เป็นยามเที่ยงวันแล้ว องครักษ์คนสนิทส่งน้ำร้อนกับผ้าให้ องครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างระมัดระวัง “แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพต้วนรออยู่ด้านนอกเป็นเวลานานแล้วขอรับ”