ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 18 กองบัญชาการสุสานโบราณ (1)
ขณะที่บรรยากาศในห้องโถงใหญ่กำลังตึงเครียดถึงขีดสุดนั่นเอง บุรุษอาภรณ์ดำผู้นั้นก็พลันหัวเราะลั่น กล่าวว่า “ชิ่งอ๋องช่างรอบคอบ ในใจท่านอ๋องคงสงสัยอยู่นานแล้ว เพียงแต่หากกล่าวเร็วกว่านี้ คงกังวลว่าผู้แซ่ฮั่วจะหมางใจ ไม่ดีต่อการเจรจา ก็ได้ ผู้แซ่ฮั่วจะยอมทำตามบัญชา”
หลี่คังยิ้มละไม เขาเพิ่งเอ่ยคำขอนี้เอาตอนนี้เพราะยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือหากตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว ถ้าเช่นนั้นขอเพียงไม่มากเกินไป ฮั่วจี้เฉิงย่อมไม่คิดแค้นเคืองนัก แต่เรื่องนี้สำคัญยิ่งยวด ฮั่วจี้เฉิงไม่เผยโฉมหน้ามาหลายปี เพียงฟังคำพูดคน แต่มิเห็นหน้าคน หลี่คังมิอาจวางใจได้
มือขวาของคนชุดดำถอดหมวกออก ผ้าโปร่งสีเขียวลอยพลิ้วเผยให้เห็นดวงหน้าคมสันซูบผอม แม้ดวงตาเรียว จมูกงองุ้ม ทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยม แต่ก็นับว่ารูปลักษณ์มิธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาเย็นยะเยือกน่าขนลุกคู่นั้นยิ่งทำให้คนมองหวาดผวา
หลี่คังเปรียบเทียบหน้าตาของคนผู้นี้กับภาพเหมือนที่ฝ่ายทหารของต้ายงเคยวาดเก็บไว้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนผู้นี้คือฮั่วจี้เฉิงจึงเอ่ยอย่างยินดี “หัวหน้าฮั่วสง่าราศีมิธรรมดาจริงๆ ได้เป็นพันธมิตรกับท่าน แผนการใหญ่ของข้าคงราบรื่นเป็นแน่แท้”
ฮั่วจี้เฉิงยิ้มละไม ตอบว่า “ท่านอ๋องกล่าวผิดแล้ว กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วของข้าไหนเลยจะกล้าเรียกตัวเป็นพันธมิตรกับท่านอ๋อง เพียงท่านอ๋องมิทอดทิ้ง เลี้ยงดูผู้แซ่ฮั่วกับลูกน้องเหล่านี้ให้กินข้าวอิ่มท้องก็เพียงพอแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ระหว่างท่านอ๋องกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคือเจ้านายกับขุนนาง ท่านอ๋องมิต้องเกรงใจ แต่ในกลุ่มของข้าอาจมีสมาชิกที่หัวรั้นอยู่บ้าง ดังนั้นตอนนี้ขอท่านอ๋องอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป รอผู้แซ่ฮั่วจัดการเรื่องในกลุ่มเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาท่านอ๋องยกพล ผู้แซ่ฮั่วจักมารับใช้ใต้บัญชาท่านอ๋องอย่างแน่นอน”
หลี่คังยิ้มแย้ม “มิเป็นอันใด มิเป็นอันใด มีรองหัวหน้าเฉินอยู่ก็เหมือนมีหัวหน้าฮั่วอยู่เช่นกัน”
ทั้งสองฝ่ายสนทนาสัพเพเหระอีกครู่หนึ่ง บรรยากาศภายในอารามค่อยผ่อนคลายลง เสียงฆ่าฟันด้านนอกเงียบหายอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นฮั่วจี้เฉิงกับเฉินเจิ่นจึงหาโอกาสขอตัวลา
จนกระทั่งออกจากวัดเก่ามาได้ยี่สิบลี้ เฉินเจิ่นจึงเอ่ยเสียงเบา “หัวหน้าต่ง โชคดีที่ท่านรอบคอบ เตรียมหน้ากากนี้ไว้ล่วงหน้า มิเช่นนั้นเกรงว่าแผนการของพวกเราคงล้มเหลว”
‘ฮั่วจี้เฉิง’ หัวเราะ “ความจริงพี่เฉินก็มิใช่ว่าคิดไม่ถึง แต่วิชาแปลงโฉมนี้สูญหายไปนานแล้วจึงไม่แปลกที่พี่เฉินจะไร้หนทาง โชคดีหลายปีนี้ข้ากับคุณชายเคยศึกษา แม้มิอาจคงสภาพเป็นเวลานาน แต่ลอกเลียนได้เหมือนยิ่งนัก หลังจากพบหน้ากันครั้งนี้ ฮั่วจี้เฉิงคงแทบมิจำเป็นต้องปรากฏตัวอีก พี่เฉินวางใจได้”
ขณะที่กล่าวคำพูดนี้ บุรุษชุดดำก็ถอดหมวกออก หลังจากนั้นถูสมุนไพรชนิดหนึ่งบนใบหน้า ผ่านไปเพียงครู่เดียว ผิวหนังบนใบหน้าของเขาก็เริ่มแตกร้าวประหนึ่งผืนดินแห้งผาก ผิวหนังบางๆ สีเทาซีดจำนวนหนึ่งหลุดลอกออกมา เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาขาวผ่อง จันทราและดวงดาราหม่นหมองส่องแสงสลัวจับบนใบหน้าของเขา เขาก็คือต่งเชวียผู้รับบัญชาจากเจียงเจ๋อเดินทางมาตงชวนนั่นเอง
เขาสวมหมวกอีกหนแล้วหัวเราะ “หน้ากากนี่อากาศถ่ายเทมิค่อยดีเท่าใด วันหน้าข้ากับคุณชายคงต้องศึกษาให้ละเอียดสักหน่อย คิดหาวิธีทำหน้ากากที่ดีกว่าทนทานกว่าขึ้นมา”
เฉินเจิ่นกล่าวตอบ “คุณชายฝีมือยอดเยี่ยมจริงแท้ วิชาแปลงโฉมที่แพร่หลายอยู่ในใต้หล้ามีแต่การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเล็กน้อย แต่วิชาแปลงโฉมที่ลอกเลียนโฉมหน้าของคนอีกคนหนึ่งได้เช่นวิชานี้ของคุณชายสาบสูญไปนานแล้ว”
ต่งเชวียเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายยังนึกเสียใจมิหาย เขาบอกว่าหากยามนั้นตอนสังหารฮั่วจี้เฉิงลอกหนังหน้าของเขาออกมาทำเป็นหน้ากากคงสะดวกมากกว่านี้ น่าเสียดายวิธีการนั้นเพิ่งลองศึกษาเมื่อไม่กี่ปีนี้และยังไม่ชำนาญนัก คุณชายเคยใช้หนังหน้าของนักโทษไม่กี่คนลองทำครั้งสองครั้งเท่านั้น แม้ผลลัพธ์ดีกว่า แต่ขั้นตอนการทำยังต้องศึกษาอย่างละเอียด น่าเสียดายสุดท้ายคุณชายใจแข็งศึกษาต่อมิลง”
เฉินเจิ่นเอ่ยล้อ “คุณชายทำมิลง วันหน้าหัวหน้าต่งก็ตั้งใจศึกษาต่อเสียสิ ถึงอย่างไรหัวหน้าต่งก็มักจะทุ่มเทให้วิชาทางนี้มากอยู่แล้ว” เขาพูดออกมาหมายจะล้อเล่นเท่านั้น แต่ดวงตาของต่งเชวียกลับฉายแววครุ่นคิดวูบหนึ่ง
ทั้งสองคนสนทนาเรื่อยเปื่อยพลางเดินทอดน่อง วันนี้ทั้งสองคนบรรลุข้อตกลงกับหลี่คังแล้ว ในใจมีแต่ความยินดี ทั้งสองคนเชื่อมั่นว่าไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ในระยะร้อยจั้ง แต่เพื่อป้องกันคนสะกดรอยในระยะไกลจึงยังเดินวนอยู่อีกหลายรอบ จนกระทั่งเที่ยงคืนจึงเดินมาถึงหน้าสุสานโบราณแห่งหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินตระเวนรอบด้านจนครบ เมื่อแน่ใจแล้วว่ามิมีผู้ใดสะกดรอย เฉินเจิ่นจึงเดินไปหลังป้ายหินหน้าสุสาน จากนั้นตบฝ่ามือลงด้านหลังป้ายหินเบาๆ สองสามหน ป้ายหินขยับอย่างเงียบเชียบ เผยทางลับเส้นหนึ่งออกมา เมื่อทั้งสองเดินลงไป ป้ายหินก็ปิดลงอีกครั้ง
สุสานโบราณแห่งนี้เฉินเจิ่นรู้จักมาจากปากของโจรปล้นสุสานคนหนึ่งเมื่อปีกลาย สุสานโบราณแห่งนี้มีห้องซ่อนอยู่หลายสิบห้อง ระหว่างห้องมีทางเดินเชื่อมต่อกัน ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยกลไก ป้องกันแน่นหนายิ่งนัก
ซานจื่อหนึ่งในแปดหัวหน้าของค่ายลับที่ติดตามเฉินเจิ่นอยู่ชำนาญด้านกลไกเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนทุ่มเทความคิดไปมากมายและใช้เวลาหลายเดือนจึงจัดการสุสานโบราณแห่งนี้ให้กลายเป็นกองบัญชาการของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วสำเร็จ ผู้ที่เข้ามาในที่แห่งนี้ได้ นอกจากเฉินเจิ่นกับคนของค่ายลับก็มีเพียงคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจำนวนหนึ่งกับคนสนิทจำนวนน้อยของเฉินเจิ่นที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเท่านั้น
ทั้งสองคนเดินลงไปยังห้องลับ ผู้รับหน้าที่ออกมารับทั้งสองคนก็คือไป๋อี้ เขารูปร่างไม่สูง สีผิวออกคล้ำ หน้าตาและสีหน้าค่อนข้างซื่อบื้อ แต่เขากลับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในค่ายลับ วิชาต่อสู้สังหารเหนือกว่าทุกคน มีความดีความชอบช่วยเหลือเฉินเจิ่นปกครองกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไม่น้อย แน่นอนว่าตัวตนในที่แห่งนี้ของเขาก็คือฮั่วอี้บุ ตรบุญธรรมของฮั่วจี้เฉิง
ต่งเชวียถอดหมวกออกแล้วรับหน้ากากผีที่ไป๋อี้ส่งให้มาสวมไว้บนหน้า ในที่แห่งนี้เขายังคงเป็นฮั่วจี้เฉิง แม้สมาชิกกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วทั้งหลายในที่แห่งนี้จะเป็นคนสนิทของเฉินเจิ่น แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าฮั่วจี้เฉิงตายไปนานแล้ว ดังนั้นต่งเชวียยังคงต้องปรากฏตัวโดยใช้ตัวตนของฮั่วจี้เฉิงอยู่
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องสุสานที่ใหญ่ที่สุด ที่แห่งนี้คือห้องประชุมของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว สองฝั่งมีคนมากหน้าหลายตาสิบคนยืนอยู่ ต่งเชวียนั่งบนเก้าอี้ตรงกลางด้านบนอย่างสง่าผ่าเผย เฉินเจิ่นนั่งข้างกายเขา ส่วนไป๋อี้ยืนทำหน้าที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านหลังต่งเชวีย ต่งเชวียใช้น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่านเชิญนั่ง”
คนเหล่านั้นคำนับต่งเชวียเสร็จก็นั่งลงอย่างระมัดระวัง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวแคว้นสู่ ‘ฮั่วจี้เฉิง’ น้อยครั้งนักจะมาพบหน้าพวกเขา ส่วนใหญ่ล้วนออกคำสั่งต่างๆ นานาผ่านเฉินเจิ่นหรือคนส่งสาร แต่พวกเขาต่างหวาดกลัวหัวหน้าฮั่วมากนัก มิว่าความอำมหิตโหดร้ายของฮั่วจี้เฉิงในวันวาน หรือเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายในวันนี้ล้วนทำให้พวกเขามิกล้าคิดทรยศ
ต่งเชวียเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าบรรลุข้อตกลงกับชิ่งอ๋องแล้ว พวกเราจะรับช่วงต่อกลุ่มสายลับที่ทำหน้าที่สอดแนมและตรวจตราของชิ่งอ๋อง ส่วนในทางกลับกัน พวกเราต้องสนับสนุนให้ชิ่งอ๋องฟื้นฟูแคว้นสู่ มิทราบว่าทุกท่านมีความเห็นเช่นไร”
บุรุษวัยกลางคนหน้าตากล้าหาญชาญชัยคนหนึ่งลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ท่านหัวหน้า เรื่องนี้มิได้เด็ดขาด หลี่คังเป็นองค์ชายของต้ายง การฟื้นฟู่แคว้นสู่ย่อมผลัดไม่ถึงตาเขา”
ต่งเชวียแค่นเสียงหยัน “ผู้คุมกฎหลัว ท่านตรองให้แจ่มแจ้งสักหน่อย อาศัยพลังของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วของพวกเราจะฟื้นฟูแคว้นสู่ได้หรือไร หากไม่มีกองทัพใหญ่ของชิ่งอ๋อง เรื่องนั้นก็เป็นเพียงภาพเพ้อฝัน ขอเพียงพวกเราช่วยชิ่งอ๋องแบ่งแยกตงชวนออกมาได้ แล้วหาโอกาสยกทัพบุกกวนจง รอจนกำลังของแคว้นสู่ของพวกเราเหนือกว่าขุมกำลังของชิ่งอ๋อง ยังต้องกลัวเขาปากอย่างใจอย่างอีกหรือ”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นนั่งลงอย่างอับอาย แต่เขามิได้กังวลที่หัวหน้ากลุ่มตำหนิเขา หลายปีนี้นิสัยของฮั่วจี้เฉิงเปลี่ยนไปมาก ระหว่างที่เขาถามความเห็นของทุกคน ทุกคนล้วนกล่าวทุกสิ่งที่อยากกล่าวได้ แต่หากเขาตัดสินใจแล้ว จะมิอนุญาตให้ผู้ใดขัดขืนคำสั่งของเขาเป็นอันขาด
ทุกคนหารือกันอยู่เนิ่นนานว่าจะควบคุมชิ่งอ๋องให้มากขึ้นได้เช่นไร บรรยากาศกระตือรือร้นยิ่งนัก ถึงอย่างไรจากหลายปีที่ผ่านมา นี่คือโอกาสอันดีที่สุดของการฟื้นฟูแว่นแคว้น สายตาของต่งเชวียทอประกายวูบหนึ่ง ในใจลอบหัวเราะ แผนการของคุณชายช่างล้ำเลิศเสียจริง ควบคุมคนที่กระตือรือร้นจะฟื้นฟูแว่นเคว้นเหล่านี้ไว้แล้วกำจัดสมาชิกที่บ้าคลั่งเกินไปในหมู่พวกเขา จากนั้นคอยคุมคนที่เหลือ วันนี้ยังจะใช้ความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูแว่นเคว้นของพวกเขาขจัดความคลางแคลงของชิ่งอ่องอีก
ทว่าเมื่อสายตาของต่งเชวียเคลื่อนไปจับบนร่างบุรุษวัยกลางคนที่เงียบงันไม่พูดไม่จาคนหนึ่ง เขากลับขมวดคิ้ว บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นนามว่ากู้หนิง เขามีชื่อเสียงในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมากยิ่งนักและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มรุ่นแรก ฮั่วจี้เฉิงคนเดิมไม่ลงรอยกับเขาอย่างมากจนเคยเกือบจะวางแผนร้ายสังหารเขาอยู่แล้ว แต่หลังจากเฉินเจิ่นรับช่วงต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ปล่อยตัวเขาออกมา ปณิธานในการฟื้นฟูแว่นแคว้นของคนผู้นี้จึงแน่วแน่ยิ่งนัก อีกทั้งเขายังมีความสามารถเหนือกว่าคนทั่วไป ทั้งยังมิใช่สมาชิกพวกที่บ้าคลั่ง ดังนั้นจึงยังยอมปล่อยให้เขามีตำแหน่งสูงเพื่อใช้เขามารวบรวมผู้คนที่มีปณิธานจะฟื้นฟูแว่นแคว้นอย่างแท้จริงพวกนั้น
แน่นอนว่าการจับตามองเขาก็เข้มงวดมากกว่าเช่นกัน โชคดีที่เขากับฮั่วจี้เฉิงมิได้ใกล้ชิดกันนัก การปิดบังเขาจึงมิใช่เรื่องยากลำบาก มิเช่นนั้นคงจำเป็นต้องสังหารเขาเสีย นั่นคงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ต่งเชวียเห็นเขามีสีหน้าผิดปกติจึงเอ่ยเสียงเย็นชา “ผู้คุมกฎกู้ ท่านมีความเห็นอันใดหรือ”
กู้หนิงหวั่นใจวูบหนึ่ง ในอดีตเขาเคยเกือบตายในมือฮั่วจี้เฉิง โชคดีหลังจากเฉินเจิ่นเข้ามาร่วมก็เกลี้ยกล่อมฮั่วจี้เฉิงให้ละเว้นตน หลายปีที่ผ่านมา ฮั่วจี้เฉิงนิสัยสุขุมขึ้นมาก แผนการที่วางล้วนรอบคอบรัดกุมอย่างยิ่ง ขุมกำลังของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจึงเพิ่มพูนขึ้นอย่างมั่นคง นอกจากการฟื้นฟูแว่นแคว้นที่ตอนนี้ดูไร้ความหวัง สิ่งอื่นก็มิมีสิ่งใดไม่เหมาะ
ทว่าในใจกู้หนิงกลับมีความอึดอัดที่กล่าวออกมามิได้ รอบกายเขาแทบจะมีแต่คนที่เฉินเจิ่นส่งมาจับตามองตน ภรรยาและบุตรชายบุตรสาวต่างอยู่ในกำมือคนเหล่านี้ นอกจากทำงานตามคำสั่ง ตนมิมีทางเลือกอื่นอีก และหากไม่ได้รับอนุญาตจากเฉินเจิ่น คำสั่งของตนก็มิอาจส่งต่อไปได้แม้แต่น้อย แม้แผนการของตนจะถูกนำไปใช้เป็นส่วนมาก แต่ความรู้สึกมืดหม่นจากการที่อาจจบชีวิตได้ตลอดเวลาก็บีบคั้นเขาจนหายใจไม่ออก
เขาไม่เห็นด้วยกับการร่วมมือกับชิ่งอ๋อง หากชาวแคว้นสู่ต้องการฟื้นฟูแว่นแคว้นก็มิสมควรหยิบยืมกำลังของผู้อื่น ในใจของกู้หนิง หากมิอาจฟื้นฟูแว่นแคว้นได้สำเร็จ ถ้าเช่นนั้นเขาก็ยินดีให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปเสียมากกว่า ขอเพียงเชื้อไฟของการฟื้นฟูแว่นแคว้นยังคงส่งทอดต่อไป ถ้าเช่นนั้นย่อมต้องมีสักวันที่สมดังหวัง วิธีการรีบร้อนหวังผลประโยชน์เช่นนี้เขามิเห็นด้วย แต่เขาเข้าใจท่าทีเช่นนี้ของฮั่วจี้เฉิงดี การตัดสินใจครั้งนี้มิอาจคัดค้านได้แล้วจริงๆ
ทว่าจะให้เขาเบิ่งตามองคนแคว้นสู่ผู้บริสุทธิ์ก้าวเข้าสู่ไฟสงคราม เขาก็รู้สึกมิยินยอมจริงๆ จึงผินหน้าหลบสายตาเย็นชาแล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ชิ่งอ๋องก่อกบฏย่อมเป็นเรื่องภายในต้ายงของพวกเขา มิว่าผู้ใดชนะหรือผู้ใดแพ้ พวกเราล้วนมิอาจฟื้นฟูแว่นแคว้นได้จริง เหตุใดต้องก้าวเข้าไปยุ่งกับน้ำขุ่นบ่อนี้ น่ากลัวว่าจะทำให้สหายในกลุ่มมากมายต้องล้มตายเสียเปล่า”