ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 20 ขุนเขาตระหง่านธารน้ำไหล (1)
จวนจิ้งไห่ยามต้นวสันต์เงียบสงัดและสงบ ด้านนอกหอทิงเทา ผืนทะเลสีครามกระเพื่อมเป็นระลอก คลื่นลูกใหญ่ยกตัวสูงขึ้นบนอากาศแล้วโถมกระทบโขดหินครั้งแล้วครั้งเล่า ฟองคลื่นแตกกระจายดั่งเศษหยกงาม ขณะเดียวกันก็คล้ายเกล็ดหิมะกลางลมพายุ คลื่นยามวสันตฤดูของทะเลตงไห่งดงามเหลือเปรียบปาน
เวลานี้เป็นยามเช้าตรู่ บ่าวรับใช้ภายในจวนเริ่มวุ่นวายกับงานของวันนี้ด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ทันใดนั้นเอง บนหอทิงเทาก็พลันมีเสียงพิณปลุกเร้าอารมณ์ดังขึ้น เสียงพิณประหนึ่งเกลียวคลื่น ฮึกเหิมต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผู้คนภายในจวนต่างต้องหยุดยืนนิ่ง เงี่ยหูฟังเสียงพิณอันชวนให้อารมณ์หวั่นไหวนั่นอย่างมิอาจห้ามตนเอง ในห้วงภวังค์ราวกับมีคลื่นลูกโตอันทรงพลังซัดข้ามกำแพงผาสูงชันอยู่ตรงหน้า เมื่อบทเพลงสิ้นสุด บ่าวรับใช้เหล่านั้นต่างอุทานอย่างชื่นชม แล้วเริ่มวุ่นวายกับงานอีกครั้ง
ภายในหอหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของจวนจิ้งไห่ ผู้เฒ่าผมขาวโพลนประหนึ่งหิมะผู้หนึ่งวางตำราในมือลง สายตาจับอยู่บนหอทิงเทาที่อยู่ไกลออกไป ผู้เฒ่าผู้นี้อายุมากกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ทว่าแม้เส้นผมขาวโพลนแต่ดวงหน้ากลับเยาว์วัย สีหน้าสงบเยือกเย็น เขาก็คือหมอเทวดาซังเฉินนั่นเอง ทันใดนั้นนอกประตูก็มีเสียงใสรื่นหูดังขึ้น “อาจารย์ปู่ ชิงเยียนมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
ซังเฉินเดิมทีเป็นคนเมืองเผิงไหลแห่งตงไห่ หลังจากเขาหวนกลับมาปลีกวิเวกที่บ้านเกิด เจียงเจ๋อก็ส่งคนมาสร้างจวนจิ้งไห่ จากนั้นรับซังเฉินมาพักผ่อนยามเกษียณในที่แห่งนี้ แม้ซังเฉินมีนิสัยเย็นชา แต่กลับมองเจียงเจ๋อเสมือนหนึ่งหลานชาย จึงอาศัยอยู่ที่นี่อย่างมิเห็นแย้งประการใด
หลังจากเจียงเจ๋อช่วยยงอ๋องชิงบัลลังก์ได้สำเร็จแล้วพาร่างกายอันป่วยไข้มาถึงจวนจิ้งไห่ ซังเฉินก็ทุ่มเทความคิดและกำลังนับไม่ถ้วนกว่าจะรักษาร่างกายของเจียงเจ๋อให้หายดี หลายปีที่ผ่านมา ครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ซังเฉินเองก็เอ็นดูโหรวหลันกับเซิ่นเอ๋อร์ยิ่งนัก เขาเย็นชาน้อยลงเล็กน้อย อ่อนโยนเพิ่มมากขึ้นอีกสักหน่อย
ทิวทัศน์ของจวนจิ้งไห่ประหนึ่งภาพวาด ซังเฉินเองก็ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตยามชราอยู่ที่นี่ แม้เจียงเจ๋อกับภรรยาจากไป แต่ซังเฉินก็ยังอยู่ที่นี่ต่อ เพียงแต่ลูกหลานที่คอยมาดูแลเปลี่ยนเป็นเจียงไห่เทากับเย่ว์ชิงเยียนเท่านั้น กู่พิษในร่างเย่ว์ชิงเยียนถูกซังเฉินกำจัดออกไปแล้ว แม้ในช่วงหลายปีนี้ยังต้องใช้ยารักษาอยู่ แต่ก็ไม่ต้องกังวลถึงชีวิตอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เย่ว์ชิงเยียนเป็นสตรีแต่มีพรสวรรค์และฉลาดเฉลียว มีความรู้ในทางการแพทย์อยู่พอสมควร ซังเฉินชอบใจความฉลาดและพรสวรรค์ของนางยิ่งนัก จึงให้นางอยู่ในจวนต่อเพื่อถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้นาง ช่วงเวลาที่เหลือจากการจัดการงานหลวง เจียงไห่เทาก็อาศัยอยู่ที่จวนจิ้งไห่เช่นกัน ผู้ใดให้เขากับเย่ว์ชิงเยียนเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนักจนทนแยกห่างจากกันมิได้เล่า ดังนั้นจวนจิ้งไห่จึงยังคงคึกคักอย่างยิ่ง มิได้เงียบเหงาแม้แต่น้อย
ซังเฉินได้ยินเสียงของเย่ว์ชิงเยียนก็ยิ้มละไม กล่าวขึ้นว่า “เข้ามาเถิด เหตุใดไห่เทามิมาด้วยกัน เมื่อวานเขามิได้กลับมาหรือ”
เย่ว์ชิงเยียนพาหญิงรับใช้สองนางเดินเข้ามาในห้องแล้วคำนับเต็มพิธีการอย่างนอบน้อม เวลาผ่านมาหลายเดือน ผิวของเย่ว์ชิงเยียนยังคงละม้ายคล้ายหิมะ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือพวงแก้มทั้งสองข้างมีสีเลือดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้นางแลดูยิ่งงามวิลาศมิเหมือนมนุษย์เดินดินมากขึ้นอีก
นางได้ยินคำถามของซังเฉินก็อมยิ้มตอบว่า “อาจารย์ปู่ ไห่เทาก็อยากมาคารวะท่านเช่นกัน แต่เมื่อครู่ผู้ส่งสารของท่านเจียงมาถึง ไห่เทาจึงต้องไปต้อนรับผู้ส่งสารเสียก่อน เกรงว่าคงต้องอีกสักประเดี๋ยวจึงจะมา”
ซังเฉินพยักหน้ากล่าวว่า “ผู้ใดดีดพิณ ฝีมือบรรเลงพิณเยี่ยมยอดทีเดียว”
เย่ว์ชิงเยียนตอบว่า “ชิงเยียนได้ยินสามีบอกว่าเป็นทูตจากเป่ยฮั่นนามชิวอวี้เฟย ศิษย์สายตรงของประมุขจิงแห่งพรรคมาร ท่านพ่อตามอบหมายงานทั้งหมดให้สามีจัดการแล้ว ดังนั้นสามีจึงส่งคนไปรับเขามายังที่แห่งนี้”
ซังเฉินมุ่นคิ้ว พรรคมาร ชิวอวี้เฟย ในใจเขาเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ นั่นเป็นนามที่ไม่คุ้นหูแต่ก็คุ้นเคย หกสิบปีก่อน ตัวเขาซังเฉินก็เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งประมุขนิกายดาราแห่งพรรคมาร ทว่าเขามิสนใจสิ่งนั้น สุดท้ายเขาจึงสูญเสียโอกาสในการสืบทอดตำแหน่งประมุขนิกายดาราเพราะฐานะหมอเทวดาของเขา ทว่าซังเฉินมิเคยนึกเสียใจ เขามิใช่คนชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง แม้ว่าพิษกู่ในร่างจะถูกเขากำจัดออกไปนานแล้ว แต่เขาก็มิเคยคิดจะแพร่งพรายความลับประการนี้ นิกายดาราจึงกลายเป็นความทรงจำอันเลือนรางในความทรงจำของเขาด้วยประการฉะนี้
จนกระทั่งต่งเชวียปรากฏตัวขึ้น ทันทีที่เห็นต่งเชวีย ซิงเฉินก็ทราบว่าคนผู้นี้จักต้องเป็นศิษย์ของนิกายดาราเป็นแน่ เขาเคยลอบบอกเป็นนัยกับเจียงเจ๋อเรื่องความลับเกี่ยวกับตัวตนของต่งเชวีย แต่เจียงเจ๋อเพียงยิ้ม “ในใจต่งเชวียมีความลับซ่อนอยู่สองสามสิ่ง เรื่องนี้ข้าทราบดี แต่ขอเพียงเขาภักดีต่อข้า ข้าก็มิต้องการจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา”
ซังเฉินฟังจบก็มิเข้าไปยุ่งอีก เพราะอย่างไรในสายตาเขาต่งเชวียก็ดูไม่มีเจตนาร้าย เพียงต้องการหาที่สักแห่งของตนเองเท่านั้น
แต่เพื่อป้องกันเรื่องราวไม่คาดฝัน เขาจึงบอกเสี่ยวซุ่นจื่อเอาไว้ด้วย จากนั้นถ่ายทอดวิชาลับที่ตนเองบรรลุจำนวนหนึ่งแก่เขา เมื่อเป็นเช่นนี้ หากวันหน้านิกายดารากับเจียงเจ๋อขัดแย้งกันขึ้นมา เสี่ยวซุ่นจื่อย่อมรับมือกับยอดฝีมือจากนิกายดาราได้ เขาก็มิต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของเจียงเจ๋อแล้ว แต่พิจารณาจากเป้าหมายของนิกายดารา เขาก็ไม่คิดว่านิกายดาราจะเป็นอริกับเจียงเจ๋อ ส่วนตัวเขาวรยุทธ์ก้าวข้ามระดับของประมุขพรรคมารมานานแล้ว จึงมิกังวลว่าต่งเชวียจะพบว่าตนเองเคยมีฐานะอันใด ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาทราบแล้วจะทำเช่นไรได้อีกเล่า
หยุดพูดถึงต่งเชวียเอาไว้ก่อน การมาเยือนของชิวอวี้เฟยทำให้หัวใจของซังเฉินสั่นไหวเล็กน้อย พรรคมารแห่งเป่ยฮั่นกับเจียงเจ๋อเป็นศัตรูกัน ชิวอวี้เฟยมาเยือนตงไห่คงมิได้มีเจตนาดีประการใด หากลองหยั่งเชิงชิวอวี้เฟยก็น่าจะทราบกำลังในยามนี้ของพรรคมารได้กระมัง แม้ซังเฉินมิเป็นห่วงความปลอดภัยของเจียงเจ๋อเพราะเขามีกองทัพใหญ่เรือนแสนกับองครักษ์ระดับยอดฝีมือของต้ายงคุ้มครองอยู่ อีกทั้งยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อผู้ได้รับถ่ายทอดวิชาจากตัวเขาอยู่ข้างกาย วรยุทธ์ของนิกายดาราข่มวรยุทธ์ของนิกายสุริยากับนิกายจันทราอยู่เล็กน้อย แม้วรยุทธ์ของจิงอู๋จี๋ก้าวข้ามระดับของทั้งสองนิกายจนเข้าสู่ทำเนียบปรมาจารย์แล้ว แต่แนวทางวรยุทธ์ที่ข่มกันเช่นนี้ก็ยังคงอยู่ เจียงเจ๋อน่าจะไม่ตกอยู่ในอันตรายง่ายดายปานนั้นกระมัง
ภายในหอทิงเทา ชิวอวี้เฟยลูบพิณรัก ในใจสงบลงมาก หลายวันก่อนเมื่อเขาเดินทางเข้ามาในตงไห่ ตงไห่โหวก็ส่งคนมารับเขาไปยังศาลาพักม้าของปินโจวเพื่อรอพบหน้าท่านโหวน้อยเจียงไห่เทา จนกระทั่งเมื่อวานจึงมีคนมารับเขามายังจวนจิ้งไห่
ก่อนเดินทางมา ชิวอวี้เฟยได้ยินว่าจวนจิ้งไห่เป็นสถานที่พำนักยามปลีกวิเวกของเจียงเจ๋อ ยามนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นคือบุตรรักของตงไห่โหว เจียงไห่เทากับภรรยาของเขา เย่ว์ชิงเยียน พอคิดว่าตนได้ก้าวเข้ามาในที่พำนักของเจียงเจ๋อ หัวใจของชิวอวี้เฟยก็มีรสชาติแปร่งปร่าเกิดขึ้นอย่างห้ามมิได้ เมื่อวานเขาพลิกไปมาตลอดทั้งคืนมิอาจหลับใหล จวบจนรุ่งเช้าเขาจึงขอให้บ่าวรับใช้ในจวนนำทางมายังหอทิงเทาด้วยต้องการชมคลื่นทะเล
เมื่อมาถึงในหอก็รู้สึกว่าลมทะเลสดชื่นนัก เขายืนพิงราวกั้นเหม่อมองออกไปไกล หัวใจพลันปลอดโปร่งอย่างมิรู้ตัว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไล้สายพิณบรรเลงบทเพลงหนึ่งจนจบ รู้สึกว่าความกลัดกลุ้มทุกข์ตรมในช่วงหลายวันที่ผ่านมาสลายหายไปจนหมดสิ้น
ชิวอวี้เฟยลุกขึ้นยืน เขามองคลื่นน้ำนอกราวกั้น ลมทะเลปะทะใบหน้าพาความหนาวเย็นกับความสดชื่นมาให้ ชิวอวี้เฟยอดคิดมิได้ว่าหากเจียงเจ๋ออยู่ที่นี่ด้วย แล้วทั้งสองคนได้ชมทะเลฟังเสียงพิณด้วยกัน นั่นจะน่ารื่นรมย์ปานใด น่าเสียดายวันนี้ทั้งคู่กลายเป็นศัตรูคู่แค้น เกรงว่าชีวิตนี้คงมิมีโอกาสทำเช่นนั้นแล้ว
ขณะที่หัวใจของชิวอวี้เฟยกำลังเศร้าหมอง หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ชิวอวี้เฟยคิดในใจ ผู้ที่มาย่างเท้าดั่งมังกรฝีเท้าดุจพยัคฆ์ น่าจะมิใช่คนธรรมดา เขากลับมานั่งข้างพิณ รอคอยผู้มาเยือน
เสียงกังวานดังขึ้นนอกประตู “คุณชายชิวช่างมีอารมรณ์สุนทรีย์นัก ยามชมทะเลบรรเลงพิณ สุขใจหาใดเปรียบปานใช่หรือไม่เล่า มิทราบว่าคุณชายชมชอบทิวทัศน์ของจวนจิ้งไห่หรือไม่” เสียงยังมิทันเอ่ยจบ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา เขาก็คือเจียงไห่เทาที่ได้พบหน้าอย่างรีบร้อนประเดี๋ยวหนึ่งเมื่อวานนั่นเอง
ชิวอวี้เฟยลุกขึ้นคำนับ ตอบว่า “ทิวทัศน์ของจวนจิ้งไห่ประหนึ่งภาพวาด ผู้แซ่ชิวชื่นชอบยิ่งนัก ท่านโหวน้อยตั้งใจมาพบ ตัดสินใจได้แล้วหรือ”
เจียงไห่เทาวางจดหมายฉบับหนึ่งลงข้างพิณ แล้วกล่าวว่า “เช้าตรู่วันนี้ผู้ส่งสารของท่านอาจารย์มาถึงตงไห่แล้ว นี่คือจดหมายที่ท่านอาจารย์มอบให้คุณชาย”
หัวใจชิวอวี้เฟยหวั่นไหววูบหนึ่ง แม้คิดไว้แล้วว่าตงไห่อาจรายงานร่องรอยของตนกับเจียงเจ๋อ แต่ก็ยังมิอาจลบเลือนความตกตะลึงในหัวใจของเขาได้ ดูท่าเจียงเจ๋อจะควบคุมตงไห่ไว้อย่างรอบคอบยิ่งนัก หากคำขอของตนไม่ได้รับการยอมรับ ตนจะต้องเปิดฉากสังหารในตงไห่จริงหรือ หากเป็นเช่นนั้นตนคงได้แต่ต้องหนีออกจากตงไห่แล้ว
ชิวอวี้เฟยเปิดจดหมาย สายตาเคลื่อนมาจับก็เห็นบนนั้นเขียนเอาไว้ว่า
ถึงอวี้เฟยน้องรัก
นับแต่จากกัน ณ วัดวั่นฝัว ได้ยินว่าท่านกลับถึงแคว้นโดยสวัสดิภาพแล้ว ข้ายินดียิ่ง แม้ยามอยู่ในชิ่นโจวเคยบาดเจ็บเพราะน้องรัก ทว่าต่างคนต่างทำเพื่อแว่นแคว้นของตน เจียงเจ๋อมิคิดเคืองโกรธ ครานี้ทราบว่าท่านเดินทางไปเป็นทูตยังตงไห่ เจียงเจ๋อเจตนารั้งท่านให้พำนักที่จิ้งไห่สักระยะ แม้จวนซอมซ่อจะมิหรูหราแต่มีตำราเก็บไว้นับหมื่น ยังมีทิวทัศน์ห้วงมหานทีอันยอดเยี่ยมเหนือที่อื่นใด หากท่านนึกสนใจอาจนั่งชมทะเลบรรเลงพิณ หรือล่องเรือลอยลำเล่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเพลิดเพลินเป็นยิ่งนัก ไยต้องเอาตัวมาพัวพันในสนามรบให้สองมือแปดเปื้อนโลหิตจนจิตใจยากสงบ
ตงไห่อากาศสดชื่น ชมดวงจันทร์ได้งดงามนัก คงตรงความต้องการในใจท่านพอดี ขอให้ท่านยอมอยู่ที่นี่ ข้าหวังว่าท่านจะอยู่ห่างไกลจากความขัดแย้งในโลกียโลก หากวันหน้าได้พานพบอีกหน ข้าปรารถนาว่าท่านจะปล่อยวางความเคืองแค้นครั้งเก่าก่อน ให้เจียงเจ๋อได้บรรเลงพิณร่วมกับท่านก่อนต้องแยกจากกันอีกครา
ชิวอวี้เฟยยามแรกรู้สึกโล่งใจที่เจียงเจ๋อมิเคียดแค้นตนเอง ทว่าเมื่ออ่านถึงท่อนท้ายเขาก็ขมวดคิ้วเป็นปมอย่างห้ามมิได้ เจียงเจ๋อคิดจะคุมตัวตนเองไว้ที่ตงไห่ มีอย่างที่ไหน เขาวางจดหมายลงแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ท่านโหวน้อยมั่นใจว่าจะควบคุมผู้แซ่ชิวได้หรือ”
เจียงไห่เทาโบกมือ ตอบว่า “คุณชายชิวกังวลเกินไปแล้ว วันวานบิดาข้าเคยติดค้างบุญคุณท่านราชครู ตงไห่เคยได้รับเงินทองและเสบียงจากแคว้นของท่าน จะใช้ความแค้นตอบแทนบุญคุณได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายวรยุทธ์สูงส่ง ไห่เทาย่อมมิอาจกักขังคุณชาย ตงไห่ตัดสินใจมิเข้าร่วมศึกนี้แล้ว แต่นับจากครั้งนี้ ตงไห่มิติดค้างเป่ยฮั่นอีกต่อไป นับจากวันนี้เกรงว่าคงมิอาจเกี่ยวข้องอันใดกับแคว้นท่านได้อีก”
หัวใจของชิวอวี้เฟยพลันยินดี จากนั้นจึงถามอย่างเคลือบแคลง “ถ้าเช่นนั้นท่านโหวน้อยอาศัยสิ่งใดจึงมั่นใจว่าจะรั้งตัวผู้แซ่ชิวไว้ได้”
เจียงไห่เทายิ้มละไม ตอบว่า “แม้ในอดีตตงไห่เคยได้รับน้ำใจจากเป่ยฮั่น แต่ต่อมาตงไห่ก็เคยชดใช้คืนกลับไปบ้าง ความจริงทั้งสองฝ่ายจึงถือว่าตอบแทนเสมอกันมานานแล้ว ถึงบุญคุณที่แคว้นท่านช่วยเหลือในยามยากยังมิได้ชดใช้ แต่มิว่าเช่นไรแคว้นท่านก็คงมิคาดหวังให้พวกเรายกกองทัพไปช่วยเหลือกระมัง ครั้งนี้ฝ่ายข้ารับปากว่าจะไม่ยกทัพออกศึก อีกทั้งเสบียงที่กองทัพแคว้นท่านซื้อหาในครานี้ ฝ่ายข้าก็ยินดีจะช่วยเหลือขนส่งให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายข้าย่อมทดแทนบุณคุณหมด สองฝ่ายมิติดค้างกันอีกต่อไป
แต่ฝ่ายข้าได้ตระเตรียมเสบียงกับหยูกยาจำนวนหนึ่งเพิ่มมาเป็นพิเศษ ล้วนเป็นสิ่งที่แคว้นท่านต้องการอย่างเร่งด่วน แต่แคว้นของท่านคงมิมีกำลังซื้อหา ไห่เทาออกทุนทรัพย์ซื้อมาแล้ว และขนส่งไปให้แคว้นท่านเติมสเบียงได้ตลอดเวลา เพียงแต่ฝ่ายข้ามีเงื่อนไข นั่นก็คือคุณชายชิวต้องอยู่ที่ตงไห่ อย่างมากที่สุดหนึ่งปีครึ่ง อย่างน้อยก็สองสามเดือน คุณชายคิดเช่นไร”
ชิวอวี้เฟยครุ่นคิดเนิ่นนาน ในใจเขาพอจะเข้าใจอยู่เลือนราง เจียงเจ๋อตัดสินใจแน่วแน่จะรั้งเขาไว้ที่ตงไห่จนถึงขนาดออกเงินช่วยเหลือกองทัพศัตรูอย่างมิเสียดาย แต่ตนเองนอกจากวรยุทธ์กับศาสตร์การบรรเลงพิณก็มิมีสิ่งใดถนัดอีก รบทัพจับศึก วางกลยุทธ์กลอุบาย ตนเองล้วนมิชำนาญทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าข้อเด่นของนิกายสุริยาและจันทราแห่งพรรคมารล้วนไม่มีอยู่ในตัวเขาแต่อย่างใด ความแข็งแกร่งอ่อนแอของวรยุทธ์ของคนผู้หนึ่งมิมีประโยชน์ต่อการรบระหว่างกองทัพของแว่นแคว้น ยอมแลกราคาเท่านี้เพื่อรั้งตนเองไว้ที่ตงไห่ นี่คุ้มค่าหรือไร เจียงเจ๋อตัดสินใจเช่นนี้เพื่อมิตรภาพส่วนตัวจริงหรือ