ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 73 เงาดอกซิ่งเลือนราง (1)
เดือนสี่ วันที่เจ็ด กองทัพต้ายงพ่ายแพ้หลบหนี กองทหารม้าเกราะเบาของไต้โจวดักขวางทาง หลงถิงเฟยนำกองทัพใหญ่ตามท้ายมิเลิกรา จนกระทั่งถึงชายแดนเจ๋อชิ่น สองกองทัพต่อสู้กันยังมิทันไร กองทัพต้ายงที่ซุ่มซ่อนอยู่พลันปรากฏตัว จ่างซุนจี้รับบัญชาจักรพรรดิต้ายง ปิดซ่อนร่องรอย ซุกซ่อนธงแม่ทัพ ซุ่มซ่อนอยู่ที่นี่มานานวัน กองทัพต้ายงสามแสนหกหมื่นนายล้อมกองทัพเป่ยฮั่นไว้กลางทุ่งกว้าง
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวปรับตัวยากนัก หมู่บ้านน้อยที่ข้ามาอาศัยชั่วคราวเริ่มเต็มไปด้วยสีสันแห่งวสันต์ฤดูแล้ว ดอกซิ่งทั่วทั้งหมู่บ้านออกดอกตูมเตรียมแย้มกลีบบาน สีแดง สีชมพู สีขาว ดอกแล้วดอกเล่า ช่อแล้วช่อเล่า สดสวยงดงาม เงาดอกซิ่งเลือนรางชวนให้คนตราตรึง
ข้าให้เสี่ยวซุ่นจื่อปูพรมสีสันสวยงามด้านในศาลาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน รอบด้านล้อมม่านไหม เตาเตาหนึ่งวางไว้ด้านข้าง บนนั้นอุ่นสุราเฝินจิ่วชั้นดีไว้กาหนึ่ง กาทองแดงใบโตใบนี้ใส่สุราไว้สิบชั่ง เหมาะสำหรับชุมนุมสังสรรค์เป็นที่สุด ข้าสวมเสื้อคลุมตัวโคร่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ปูหนังหมีสีดำ ขนอบอุ่นนุ่มสบายทำให้ข้าผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบ
ข้าอังลมหายใจอุ่นกับสองฝ่ามือเย็นเฉียบน้อยๆ ชมดอกซิ่งนอกรั้ว ในใจคิดอยากดื่มสุราขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ข้าเหลือบมองกาทองแดงใบโตใบนั้น ยังมิทันเอ่ยปาก เสี่ยวซุ่นจื่อก็รู้ใจ หยิบกาเงินใบน้อยออกมา รินสุราจากในกาทองแดงใส่จนเต็ม หลังจากนั้นจึงรินสุราร้อนจอกหนึ่งออกมาจากกาเงินแล้วส่งจอกหยกขาวให้ข้า
ข้ามองสุราเฝินจิ่วใสกระจ่างที่แลดูคล้ายสีอำพันในจอกหยกขาวเนื้อดี แล้วจิบคำเล็กๆ คำหนึ่งอย่างพึงพอใจ เวลานี้เอง หูก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าวิ่งเร็วรี่ ข้าเงยหน้าขึ้นก็เห็นทหารม้ากองหนึ่งพาฝุ่นฟุ้งตลบเข้ามาหา
ผู้ที่นำหน้าสุดก็คือฉีอ่องหลี่เสี่ยนซึ่งยังมิทันได้ล้างคราบฝุ่นออกจากตัว ด้านหลังมีองครักษ์คนสนิทกองหนึ่งติดตามมา เมื่อเข้ามาใกล้ หลี่เสี่ยนพลันทิ้งสายบังเหียนสาวเท้าเดินเข้ามาในศาลา ข้าวางจอกสุราลง แล้วลุกขึ้นกล่าวต้อนรับอย่างนอบน้อม “มิพบกันหลายวัน ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่”
หลี่เสี่ยนมองข้าอยู่นานนัก แววตาในดวงตาแปรเปลี่ยนนับพันหมื่น ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “สุยอวิ๋น สิ่งที่ท่านคาดเดามิผิดสักนิด ข้าพ่ายแพ้ติดกันหลายหน หากมิใช่ท่านเตรียมการเอาไว้ก่อน วางกองทัพใหญ่ดักซุ่มไว้ เกรงว่าครานี้คงจะพ่ายแพ้ย่อยยับกลับมาจริงๆ
แต่สุยอวิ๋น แม้ข้าจะคิดไว้ว่าท่านจะโยกย้ายทหารที่อื่นมา เพราะข้าทราบแผนการของท่านอยู่ก่อนแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะมอบกองทัพมาให้มากมายเช่นนี้ พวกท่านมิเป็นห่วงความปลอดภัยของนครหลวงหรือไร อย่าได้ปิดบังข้า ยามนี้หนานฉู่ยังอันตราย หลี่คังทางฝั่งตงชวนก็กระเหี้ยนกระหือรือ ข้าทราบทั้งสิ้น พวกท่านมิกลัวมีคนฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายหรือ”
ข้าหัวเราะ “ท่านอ๋องกังวลเกินไปแล้ว แผ่นดินต้ายงมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน ฝ่าบาทเตรียมแผนการไว้ก่อนแล้ว แต่เจียงเจ๋อคงต้องขออภัยต่อท่านอ๋อง เมื่อครู่ทราบว่ากองทัพเป่ยฮั่นติดกับ กระหม่อมจึงให้คนส่งสารด่วนไปกราบทูลว่ากองทัพเราพ่ายแพ้ย่อยยับที่หุบเขาชิ่นสุ่ย ขอฝ่าบาทเร่งส่งกองหนุนมา”
หลี่เสี่ยนพลันเปลี่ยนสีหน้า จากนั้นก็หัวเราะลั่น เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สุยอวิ๋น ท่านช่างมองการณ์ไกลจริงๆ ในความคิดของท่าน ศึกที่เป่ยฮั่นก็เป็นเพียงเม็ดหมากมุมกระดานเท่านั้น ท่านคงวางกับดักพี่สามเอาไว้แล้ว รอให้ฝั่งข้ากำชัยชนะแน่นอนแล้ว จะได้สะดวกเชิญนายท่านผู้นั้นลงมาอยู่ในไห”
ข้าอมยิ้ม ตอบว่า “เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ท่านอ๋องมิจำเป็นต้องพะวง หลายวันนี้ท่านอ๋องเหนื่อยยากยิ่งนัก เจียงเจ๋อเตรียมสุรารสดีไว้ให้ท่านอ๋องคลายความเหน็ดเหนื่อย ท่านอ๋องสมควรดื่มสักจอกก่อนจึงจะถูก”
หลี่เสี่ยนนั่งกางขาอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้ แล้วหัวเราะดั่งลั่น “สุยอวิ๋น ข้าได้ประจักษ์ความสามารถของท่านแล้ว ต้องโทษตัวข้าเองที่ก่อนนี้อวดดี บอกให้ท่านลงมือได้เต็มที่ มิถามให้มากความ ผลสุดท้ายท่านอ๋องเช่นข้าจึงกลายเป็นหมากในมือท่าน เรื่องเหล่านี้ข้าล้วนมิถือโทษ แต่ครั้งนี้ข้าเกือบวายปราณ ท่านสมควรชดเชยให้บ้างสิจึงจะถูก”
ข้าคลี่ยิ้มจางแล้วโบกมือ เสี่ยวซุ่นจื่อถือกล่องบุไหมใบหนึ่งส่งไปตรงหน้าหลี่เสี่ยน หลี่เสี่ยนมองกล่องลวดลายงดงามอย่างสงสัยใคร่รู้ ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือเปิด ข้าก็หัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ของในกล่องมิสมควรให้ผู้อื่นเห็น ท่านอ๋องกลับไปค่อยดูเถิด”
หลี่เสี่ยนเดิมทีก็มิใคร่สนใจนักอยู่แล้ว จึงสะบัดมือให้องครักษ์คนสนิทนายหนึ่งเก็บไป จากนั้นจึงรับจอกสุราที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งให้แล้วดื่มคำเดียวจนหมด เสร็จแล้วก็เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เดิมทีข้าคิดจะแข่งกับท่านสักหน่อย หากข้าคว้าชัยชนะมาได้อย่างราบรื่น ท่านวางแผนการใดไว้ก็ล้วนเสียแรงขบคิดเปล่าๆ
คิดมิถึงหลงถิงเฟยจะร้ายกาจเช่นนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบข้าล้วนสู้มิได้ จบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ หากมิใช่ข้ารู้ล่วงหน้าว่าท่านมีแผนการเตรียมไว้และล่อศัตรูเข้ามาสู่กับดักดังที่ท่านกำชับสำเร็จ เกรงว่าวันนี้ข้าคงกลายเป็นคนบาปแห่งต้ายงแล้ว”
ข้าเห็นหลี่เสี่ยนหดหู่อยู่บ้าง ก็พลันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอ๋องกล่าวผิดแล้ว ความแข็งแกร่งของกองทัพเป่ยฮั่น ผู้คนทั่วหล้าต่างทราบดี ท่านอ๋องนำทหารม้าไปเพียงหนึ่งแสน ฝั่งแม่ทัพจิงก็มีพลเดินเท้ากับทหารม้าเพียงสามหมื่น ชัยภูมิและไพร่พลล้วนเป็นกองทัพศัตรูที่เหนือกว่า ท่านอ๋องรักษากำลังหลักของทหารม้าไว้ได้ หลังจากความพ่ายแพ้ย่อยยับที่หุบเขาชิ่นสุ่ย ท่านก็ยังมิยอมแพ้ มิยอมหลบหลีก ทำศึกยากเย็นแสนเค็ญอีกหลายหน ล่อกองทัพศัตรูมาสู่กับดัก นี่เป็นการกระทำของยอดแม่ทัพ
ท่านอ๋องมิสนใจว่าชื่อเสียงจะเสียหาย มิไยดีอันตราย เอาตนเองล่อศัตรู หากขาดท่านอ๋อง หลงถิงเฟยไฉนจะบุกลงใต้อย่างมิระวังสักนิด ศึกต่อจากนี้เหลือเพียงใช้กำลังแข็งกล้าเข้าเหยียบย่ำฝั่งที่อ่อนแอเท่านั้น การบุกขึ้นเหนือครานี้ ท่านอ๋องคือผู้สร้างความดีความชอบอันดับหนึ่ง นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเจียงเจ๋อ ขอท่านอ๋องไตร่ตรอง”
หลี่เสี่ยนรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ครั้งนี้เขาลำบากยิ่งนัก แม้บรรลุเป้าหมายที่นัดแนะกันไว้ ทว่าฉากหน้าก็คือการพ่ายแพ้ย่อยยับ หัวใจเขาจึงรู้สึกเศร้าหมองอยู่บ้างอย่างเลี่ยงมิได้ แต่เมื่อได้ยินเจียงเจ๋อตั้งใจเอ่ยปลอบ หัวใจเขาก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น คลี่ยิ้มน้อยๆ ยกจอกหยก ข้าเห็นเช่นนี้จึงรีบรินสุราจนเต็มจอกของตนบ้าง
หลี่เสี่ยนหัวเราะ “ช่างเถิด มิว่าชนะหรือแพ้ ทำให้สุยอวิ๋นยอมดื่มสุราลงโทษตนเองได้หนึ่งจอก ก็นับว่าออกศึกหนนี้มิเสียเปล่าแล้ว”
ข้าเห็นว่าความอัดอั้นในอกของฉีอ๋องสลายไปแล้ว ใจก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความจริงแล้วในใจข้าก็เศร้าหมองกับความสูญเสียมากมายนี้เช่นกัน แม้เตรียมจะใช้ความพ่ายแพ้ล่อศัตรูมาอยู่แล้ว แต่หลงถิงเฟยก็ฝีมือร้ายกาจจนทำให้ข้าตาค้างพูดมิออก ครานี้แทนที่จะบอกว่าแสร้งแพ้ล่อศัตรู มิสู้กล่าวว่าฉวยโอกาสถอยทัพยามพ่ายศึกล่อศัตรู
แต่ยามนี้ในเมื่อแพ้ชนะแน่นอนแล้ว เรื่องนี้ก็มิจำเป็นต้องพูด เลี่ยงมิให้ฉีอ๋องต้องอับอาย ข้าเชื้อเชิญให้เขาดื่มสุราอีกหลายจอก ตัวข้าเองก็ดื่มเป็นเพื่อนจอกหนึ่ง ใบหน้าซีดขาวจึงมีสีแดงแต่งแต้มเพิ่มเล็กน้อย หลี่เสี่ยนเห็นเช่นนี้ก็รีบถามว่า “สุยอวิ๋น ร่างกายท่านล้มป่วยเป็นเช่นไร โรคเก่ากำเริบหรือไม่”
ข้างุนงงครู่หนึ่งก็ยิ้มตอบ “มิได้ร้ายแรงเช่นนั้น เจียงเจ๋อเพียงทนความเหน็ดเหนื่อยมิได้ ยามนี้แพ้ชนะแน่นอนแล้ว การศึกที่เหลือย่อมมีท่านอ๋องจัดการ เจียงเจ๋ออยู่อย่างสงบ พักสักสองสามวัน มินานก็หายดีแล้ว”
หลี่เสี่ยนวางใจก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอย่าแอบเกียจคร้านสิ ต่อจากนี้สมควรจัดการเช่นไร ท่านยังต้องออกอุบายวางแผนอยู่ หลงถิงเฟย หลินปี้ จะให้ฆ่าหรือจะจับตัว ต่อจากนี้กองทัพเราสมควรเคลื่อนไหวเช่นไร ท่านมีแผนการหรือไม่”
ข้าเงยหน้ามองก้อนเมฆที่ลอยละล่องบนท้องนภาแล้วแสยะยิ้ม “เรื่องเหล่านี้ท่านอ๋องไยต้องถามข้าเล่า แต่หลินปี้เกี่ยวพันกับทิศทางการเคลื่อนไหวของกองทัพไต้โจว จะจัดการตามใจมิได้ หากเป็นไปได้ ขอให้ท่านอ๋องพยายามจับเป็นมอบให้ฝ่าบาทจัดการ ว่าแต่มีเรื่องหนึ่ง เซวียนซงตายหรือรอด ท่านอ๋องได้ข่าวหรือไม่”
หลี่เสี่ยนขมวดคิ้วตอบว่า “ตอนซุ่มโจมตีที่หุบเขาชิ่นสุ่ย ข้าตั้งใจให้คนจับตัวแม่ทัพเป่ยฮั่นมาคนหนึ่ง แต่เขาตอบว่ามิรู้ หลงถิงเฟยใจเหี้ยมอำมหิต ยามนั้นทหารกล้าของกองทัพเราเกือบทั้งหมดมอดม้วยอยู่ในทะเลเพลิง เกรงว่าเซวียนซงก็คงยากจะหนีพ้น”
ข้าถอนหายใจ กล่าวว่า “หลังจากทราบว่าแม่ทัพเซวียนหายตัวไป ข้าเคยทำนายชะตาหนหนึ่ง ผลบอกว่าอาจรอดพ้นจากความตาย ดังนั้นข้าจึงหวังว่าจะมีโชค ยามนี้กองทัพของหลงถิงเฟยติดอยู่ที่นี่ ทางชิ่นหยวนคงโกลาหล ต้องส่งสายลับไปสืบดูสักหน่อย หากแม่ทัพเซวียนรอดมาจะได้ช่วยทัน เสี่ยวซุ่นจื่อ เรื่องนี้เจ้าไปทำดีหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่มิเอ่ยคำใด เขาทราบดีว่าเจียงเจ๋อมักจะรู้สึกผิดเรื่องเซวียนซงอยู่เสมอ เหตุที่อาการป่วยทรุดหนักครานี้ก็เพราะมีเรื่องนี้เป็นสาเหตุด้วย แต่หากจะให้เขาอยู่ห่างจากตัวคุณชาย เขาก็มิยินดีอย่างยิ่ง
หลี่เสี่ยนเสนอ “เรื่องแม่ทัพเซวียน ข้าก็มิเลิกหวังเช่นกัน เอาเช่นนี้เถิด ให้ซูชิงพามือดีในกองทัพไป นางเก่งกาจยิ่งนัก ต้องทำงานที่มอบหมายสำเร็จเป็นแน่”
ข้าส่ายศีรษะ แย้งว่า “แม้แม่ทัพซูฝีมือโดดเด่น แต่ต้วนอู๋ตี๋ก็มิใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้เขาพ่ายแพ้ในมือแม่ทัพซู แล้วยังติดอยู่ในความรักหนเก่า ครั้งนี้เกรงว่าแม่ทัพซูคงยากจะทำงานลุล่วง อีกอย่างหนึ่ง หากชิ่นหยวนมียอดฝีมือพรรคมารอยู่ แม่ทัพซูย่อมเป็นไม้โดดเดี่ยวยากต่อกรผืนพนา เรื่องแม่ทัพเซวียนสำคัญยิ่งนัก หากเสี่ยวซุ่นจื่อมิไป ข้ามิอาจวางใจ ส่วนความปลอดภัยของข้า จางจิ่นสยงกลับมาแล้ว ให้เขารับผิดชอบอารักขาเถิด หลิงเจินจื่อแห่งเอ๋อเหมยก็ช่วยได้อีกแรง”
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นข้าตัดสินใจแน่วแน่ จึงได้แต่เอ่ยว่า “ในเมื่อคุณชายตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็จะเดินทางไปชิ่นหยวนเองสักหน ความปลอดภัยชองคุณชายคงต้องขอให้ท่านอ๋องดูแลด้วย”
หลี่เสี่ยนตอบว่า “เจ้าวางใจเถิด หลังจากข้าตั้งค่ายใหญ่ของกองทัพหลวงได้แล้วจะส่งสุยอวิ๋นกลับค่าย”
เมื่อเห็นว่าหารือกิจธุระกันได้พอประมาณแล้ว ข้าจึงยิ้มแย้มกล่าวว่า “เหตุไฉนมิเห็นจิงฉือเล่า ได้ยินว่าเขาก็ปลอดภัยมิใช่หรือ”
หลี่เสี่ยนหัวเราะดังพรืด แล้วว่า “เจ้าหมอนั่นกังวลว่าท่านจะลงโทษเขา สุดท้ายจึงเกาะจ่างซุนจี้มิปล่อย บอกว่าต้องการจะไปดูสภาพน่าอนาถของหลงถิงเฟยยามถูกล้อม คงมิได้มาพบท่านด้วยกันกับข้า”
ข้ายิ้มจางๆ กล่าวขึ้นมาว่า “เขาคงกลัวว่าข้าจะตำหนิที่เขาฆ่าล้างเมืองสินะ”
[1] เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้ชนิดหนึ่งที่ใช้ชื่อตำแหน่งขุนนางมาตั้งชื่อ เป็นสัญลักษณ์ถึงอำนาจและตำแหน่ง หากอยู่ในพระราชวัง หรือศาลาว่าการจะบ่งบอกถึงตำแหน่ง หากอยู่ในบ้านจะหมายถึงตำแหน่งเจ้าบ้าน