ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 81 ผู้กล้าย่อมตัดแขน (3)
บัณฑิตอาภรณ์เทาพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจาก็มีคนเคาะประตูจากด้านนอก บัณฑิตอาภรณ์เทาเปิดประตูออกไป ไม่นานนักก็เดินเข้ามา ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและชื่นชมนับถือ แจ้งว่า “ใต้เท้าหลิวมาขอพบขอรับ”
หัวหลิวเดินเข้ามาในห้อง ในใจมีความไม่พอใจแฝงอยู่เลือนราง แต่ในเมื่อคุณชายตัดสินใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นตนเองก็มิอาจไม่มาพบหน้าใต้เท้าเซี่ยโหวผู้นี้ หัวหลิวฝืนข่มกลั้นโทสะในใจคำนับผู้บังคับบัญชา เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องแม้สักนิด ตรงกันข้ามเขากลับวางตัวอย่างมีมารยาทเหมาะสม ทำให้หัวหลิวไร้หนทางเผยวาจาเคืองแค้นออกมามากกว่านี้
หัวหลิวสงบอารมณ์ในหัวใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ “ใต้เท้าเซี่ยโหว สิ่งนี้คือรายชื่อสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วรวมถึงกิจการที่ครอบครอง ในรายชื่อมีบางคนที่ทำสัญลักษณ์ระบุไว้เป็นพิเศษ พวกเขาเป็นคนที่รับเอาไว้ได้ คุณชายสั่งให้ข้าบอกต่อแก่ใต้เท้าว่า หลังจากเรื่องชิ่งอ๋องจบลง กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วยกให้ใต้เท้าจัดการตามใจ”
ม่านตาของเซี่ยโหวหยวนเฟิงหดเล็กลงอย่างฉับพลัน ก้นบึ้งหัวใจของเขารู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาเลือนราง แม้เมื่อครู่เขาบอกว่าหากเจียงเจ๋อลงมือย่อมเด็ดขาดอย่างยิ่ง แต่เขาคิดว่าเจียงเจ๋อจะมอบรายชื่อสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมาให้เท่านั้น กิจการที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วควบคุมอยู่คงถูกเขาเก็บเข้ากระเป๋า
เรื่องนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมิเข้าไปยุ่ง มิใช่เพียงเพราะนี่เป็นสิ่งตอบแทนที่เจียงเจ๋อสมควรได้ แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง หากเจียงเจ๋อครอบครองกิจการเหล่านี้ไว้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็มั่นใจว่าตนจะเค้นรายชื่อกิจการส่วนใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วออกมาจากคนในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะอาศัยการสอดส่องกิจการเหล่านี้ควบคุมขุมกำลังที่แท้จริงของเจียงเจ๋อ นี่มิใช่ว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงตั้งใจจะสร้างความลำบากให้เจียงเจ๋อ แต่เขาคำนึงถึงความจำเป็นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิหวังให้ภายในต้ายงมีกลุ่มอำนาจใดก็ตามที่เล็ดลอดสายตาของตนเอง
แต่เขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเจียงเจ๋อจะสละทิ้งกิจการทั้งหมดมาด้วย ผึ้งมุดเข้าเสื้อรีบถอดผ้า งูพิษกัดมือผู้กล้าย่อมตัดแขน เขามิเหลือช่องโหว่ให้ตนเองแทรกซึมได้สักนิด การตัดสินใจอันเด็ดขาดเช่นนี้ทำให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงถึงขั้นนึกเสียใจการตัดสินใจก่อนหน้านี้ของตนเองอยู่เล็กน้อย หรือว่าเจียงเจ๋อจะมองเจตนาซ่อนเร้นของตนออก แต่มองมิเห็นเจตนาดีของตน ถ้าเช่นนั้นไยมิใช่ผูกแค้นกับศัตรูตัวฉกาจที่มิมีทางสู้ได้มาเปล่าๆ เสียแล้ว
ภายในกองบัญชาการลับของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว เฉินเจิ่นกับต่งเชวียกำลังลิ้มรสชาชั้นดีอย่างผ่อนคลาย เฉินเจิ่นกล่าวขึ้นว่า “เซี่ยโหวหยวนเฟิงคงตกตะลึงกับการตัดสินใจของคุณชายอย่างยิ่งเป็นแน่”
ต่งเชวียตอบว่า “คุณชายบอกมาว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงเตือนเขาให้นึกขึ้นได้ว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมิเหมาะจะเก็บเอาไว้ในมือจริงๆ เจตนาของคุณชายคือให้พวกเราขนเงินที่ได้จากกิจการทั้งหมดของพวกเราออกไป ส่วนคนของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หลังจากพวกเรากรองคนแล้วก็ทิ้งให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจัดการให้หมด แต่ข้ารู้สึกไม่ยินยอมที่ต้องยกประโยชน์ให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงเช่นนี้ เลยต้องมอบความลำบากให้เขาสักหน่อย ถึงจะชดเชยกับความเสียหายของพวกเราได้”
เฉินเจิ่นเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “คนของพวกเราเองในกลุ่มพันธมิตรจจิ่นซิ่วย่อมต้องถอนตัวออกไป สมาชิกกลุ่มพวกที่หัวแข็งมิรู้จักคิดเหล่านั้นก็ให้พวกเขาพลีชีพเพื่อความภักดีสมประสงค์ แต่คนอย่างกู้หนิงพวกนี้จะทำเช่นไรดีเล่า แม้พวกเขาจะมีความเป็นอริอยู่ แต่ก็ค่อนข้างละมุนละม่อม มีพวกเขาอยู่ย่อมควบคุมขุมกำลังที่คิดกบฏในแคว้นสู่ได้ดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น พวกคนรุ่นหลังหลายคนในกลุ่มก็ต่างละทิ้งความคิดจะฟื้นฟูแว่นแคว้นแล้ว หากสังหารให้สิ้น เกรงจะเป็นการอวดฉลาดแต่กลับกลายเป็นความโง่ เจ้าอยากจะทิ้งเรื่องลำบากเล็กน้อยไว้ให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงแล้วคิดจะทำเช่นไร คุณชายเห็นด้วยหรือไม่”
ต่งเชวียคลี่ยิ้ม “คุณชายจะมิเห็นด้วยได้เช่นไรเล่า ข้ามองออกว่าแม้ถ้อยคำของคุณชายจะดูเฉยชาอย่างยิ่ง แต่แฝงความไม่พอใจเอาไว้อยู่ เขาย่อมต้องการสั่งสอนเซี่ยโหวหยวนเฟิงสักเล็กน้อยเป็นแน่ คุณชายมิชอบถูกคนข่มขู่มากที่สุด ส่วนวิธีชำระแค้นน่ะหรือ ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง” กล่าวถึงตรงนี้ ต่งเชวียก็เบาเสียงลงกล่าวบางสิ่ง
เฉินเจิ่นฟังจบ ดวงตาพลันทอแสงเย็นยะเยือก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ความคิดดี ทำเช่นนี้ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งล่ามขุมกำลังที่คิดจะฟื้นฟูแว่นแคว้นเหล่านั้นไว้ ทำให้พวกเขามิกล้าเผยอตัวออกหน้า ประการที่สองยังสร้างความยุ่งยากให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงได้อีก วันหน้าเรื่องเหล่านี้ไยมิใช่หล่นใส่ศีรษะเขา”
เมื่อทั้งสองคนหารือกันได้ความแล้ว เฉินเจิ่นก็หัวเราะ “ฝั่งเฉินชังต้องการให้ข้าไปคุมสถานการณ์ คืนนี้ข้าจะลงมือ ส่วนทางหนานเจิ้ง คงต้องคอยดูฝีมือเจ้าแล้ว”
ต่งเชวียตอบอย่างนิ่งสงบ “ท่านวางใจเถิด ข้าจะจัดการเอง”
เฉินเจิ่นกำลังจะเอ่ยคำพูด ด้านนอกก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น “กู้หนิงขอพบท่านหัวหน้าและท่านรองหัวหน้า” เฉินเจิ่นกับต่งเชวียสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม ในดวงตาเผยความรู้สึกอย่างเดียวกันออกมา นี่มิใช่พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาหรอกหรือ
ต่งเชวียหยิบหน้ากากผีขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว เผยออกมาเพียงดวงตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่งเท่านั้น เฉินเจิ่นเห็นเขาเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงเอ่ยปากว่า “ผู้คุมกฎกู้มีธุระใดหรือ”
ประตูหินเปิดออก กู้หนิงก้าวพรวดเข้ามา สีหน้าซีดเผือดดุจหิมะ เขามิก้มคำนับ แต่มองทั้งสองคนอย่างเย็นชา “ผู้แซ่กู้อยู่ตรงนี้แล้ว มิว่าทั้งสองท่านต้องการลงโทษเช่นไรจะมิบ่นสักคำ ขอเพียงเหลือทางรอดให้บุตรชายทั้งหลายของข้าด้วย”
ต่งเชวียเข้าใจทันที ดูท่าในที่สุดข่าวการหายตัวไปของกู้อิง บุตรชายของเขาคงจะลอยมาถึงหูของกู้หนิงแล้ว กล่าวไปแล้วกู้หนิงก็มีอำนาจหยั่งรากลึกในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมากทีเดียว เฉินเจิ่นออกคำสั่งปิดข่าวนี้แล้วแท้ๆ แต่กู้หนิงก็ยังทราบข่าวอยู่ เขากับเฉินเจิ่นสบตากัน รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการข่มขู่
เฉินเจิ่นแสร้งทำเป็นมิเข้าใจ “เหตุใดผู้คุมกฎกู้จึงเอ่ยเช่นนี้ บุตรชายของท่านหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ ข้าเคยออกคำสั่งให้ค้นหาอย่างถี่ถ้วนแล้วแต่มิพบข่าวคราว หลานชายของท่านกับบุตรชายบุญธรรมของผู้คุมกฎกู้ต่างอยู่ข้างกายฮั่วอี้ บุตรบุญธรรมของหัวหน้ากลุ่ม ปลอดภัยไร้กังวล ผู้คุมกฎกู้กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไร”
กู้หนิงสิ้นหวังถึงที่สุดแล้ว เขาหมอบคารวะอย่างหมดหวัง ในน้ำเสียงมิมีความโกรธแม้แต่น้อย “รองหัวหน้าไยยังต้องเอ่ยเช่นนี้ ผู้แซ่กู้รู้แก่ใจดี ตั้งแต่แรกท่านหัวหน้าก็ไม่พอใจผู้แซ่กู้ ด้วยคิดแค้นที่ในอดีตผู้แซ่กู้เคยขัดขวางท่านหัวหน้ามิให้กุมอำนาจ ยามนั้นผู้แซ่กู้หาได้มีเจตนาซ่อนเร้นอันใดไม่ เพียงเห็นว่าการกระทำของท่านหัวหน้ารุนแรงเกินไป ทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึงขัดขวางการกระทำของท่านหัวหน้าหลายครั้งหลายหน แม้ท่านหัวหน้าจับกู้หนิงขังไว้เตรียมจะสังหาร กู้หนิงก็มิมีคำใดจะกล่าว
ต่อมาท่านหัวหน้ากลับมาจากต้ายง เมตตาปล่อยผู้แซ่กู้ ทั้งครอบครัวของผู้แซ่กู้ซาบซึ้งมิสิ้นสุด หลังจากนั้นเมื่อเห็นท่านหัวหน้าวางแผนได้เหมาะสม กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ผู้แซ่กู้ก็ยินดีจากใจจริง แม้ท่านหัวหน้ามิให้ผู้แซ่กู้แตะต้องงานเพราะความแค้นในวันเก่า ผู้แซ่กู้ก็ยินยอมพร้อมใจ หลายวันก่อนข้ามิเห็นด้วยที่ท่านหัวหน้าร่วมมือกับชิ่งอ๋องก็มิใช่ว่ามีเจตนาแอบแฝงประการใด ท่านหัวหน้าออกคำสั่งให้บุตรทั้งหลายของข้าแยกย้ายกระจัดกระจาย ผู้แซ่กู้ก็ทำได้เพียงรับบัญชา
แต่อิงเอ๋อร์ของข้าเสียมารดาตั้งแต่เล็ก ข้าเป็นผู้เลี้ยงมาคนเดียวจนเติบใหญ่ วันนี้ท่านหัวหน้าลงมือกับเขาแล้ว ก็คงมิละเว้นเยี่ยนเอ๋อร์กับเป้าเอ๋อร์ด้วย กู้หนิงยินดีตายแทนพวกเขา ขอท่านหัวหน้าโปรดแมตตา ปล่อยพวกเขาไปตามชะตาของตนด้วยเถิด”
เฉินเจิ่นยิ้มจางๆ ในใจคิดว่า เจ้าคงมิรู้สิว่ากู้อิงดันไปได้ยินสิ่งที่มิควรได้ยินเข้า หากข้ามิได้ออกคำสั่งให้ลั่วเจี้ยนเฟยสังเกตกู้อิงไว้ อย่าปล่อยให้เขาหลุดจากการควบคุม แล้วก็อย่าปล่อยให้เขาเสียชีวิต ลั่วเจี้ยนเฟยก็คงมิจำยอมยั้งกระบี่ละเว้นชีวิตเขา ต่อให้ตอนนี้เจ้ามาขอร้องก็คงสายเสียแล้ว
แต่โอกาสหนนี้ย่อมใช้มาบีบเขาให้ไปทำเรื่องเรื่องหนึ่งได้
เฉินจิ่นส่งสายตาให้ต่งเชวีย บอกเป็นนัยให้เขาเอ่ยปาก ต่งเชวียเข้าใจจึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ผู้คุมกฎกู้ ท่านสร้างความลำบากให้ข้าหลายครั้งหลายหน ข้ามิเคยตำหนิท่าน หากท่านทำงานชิ้นหนึ่งให้ข้าได้ ข้าจะละเว้นชีวิตบุตรชายทั้งหลายของท่าน”
กู้หนิงยิ้มขมขื่น “ท่านหัวหน้าเชิญสั่ง”
ต่งเชวียเอ่ยขึ้นว่า “ท่านคงทราบว่ายามนี้ชิ่งอ๋องยกเมิ่งซวี่ ทายาทของอดีตเจ้าแคว้นสู่เป็นเจ้าแคว้น ส่วนตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทน แต่ละครตบตาเช่นนี้ มีเพียงบัณฑิตหัวคร่ำครึพวกนั้นถึงจะเชื่อถือความจริงใจของชิ่งอ๋อง เจตนาของชิ่งอ๋องคือหวังว่าหลังจากเขากลับมาแล้วจะมิเห็นหุ่นเชิดตัวนั้นอีก เพื่อจะมิต้องได้ชื่อว่าขุนนางสังหารเจ้าแผ่นดิน ข้าจะจัดการให้ท่านเข้าใกล้เมิ่งซวี่ หลังจากนั้นท่านจงสังหารเขาเสีย ข้ารับรองว่าทายาทของท่านล้วนจะมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี”
กู้หนิงตกตะลึง สีหน้ามืดครึ้ม เส้นเลือดปูดโปนออกมา ดวงตาฉายแววยุ่งยากใจ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ผู้น้อยรับบัญชา”
เมื่อส่งกู้หนิงจากไปแล้ว เฉินเจิ่นก็หัวเราะ “เจ้าว่าคนภักดีที่มุ่งมั่นจะฟื้นฟูแว่นแคว้นคนหนึ่งจะกระทำเรื่องอย่างการสังหารเจ้าแผ่นดินได้หรือไม่”
ต่งเชวียตอบอย่างเฉยเมย “เรื่องนี้สำคัญตรงไหนเล่า มิว่าเขาจะทำเช่นไรก็มิเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรามิใช่หรือ”
ทั้งสองคนสบตากันแล้วหัวเราะ สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องที่แผนการร้ายสมประสงค์