ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 83 พลัดพรากจากตาย (2)
ผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่หลินปี้จะผละตัวออกจากสองแขนของหลงถิงเฟยอย่างแผ่วเบา แล้วเอ่ยเสียงเบา “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หลงถิงเฟยไม่เอ่ยคำใด เขาฟังเสียงหลินปี้เปิดผ้าใบออกจากกระโจม ฟังเสียงฝีเท้าของหลินปี้เดินห่างออกไป สองมือกำหมัดแน่น กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ้างว้าง “ชายชาตรีมีชีวิต แต่มิอาจพิทักษ์แผ่นดินตอบแทนพระคุณนายเหนือหัว มิอาจปกป้องภรรยา ปล่อยให้วันนี้นางต้องสวมชุดเกราะอาบโลหิต ยังจะมีหน้าอัปยศอยู่บนโลกได้อีกเช่นไร”
ทันใดนั้นหลงถิงเฟยก็ได้ยินเสียงเพลงแผ่วเบาลอยมา ไม่นานเสียงเพลงนั่นก็ดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินกระจ่างชัด หลงถิงเฟยเงี่ยหูฟัง เสียงเพลงลอยมาจากค่ายของกองทัพไต้โจว
“ข้าศึกประชิดเมืองดั่งเมฆดำ แสงเกราะสะท้อนจันทร์ดุจทองคำ แตรศึกอื้ออึงอลสารทเยือนย่ำ ป้อมค่ายล่วงคืนค่ำช้ำโลหิต ธงแดงโบกสะบัดชิดอี้สุ่ย หิมะกองทับถมกลองทุ้มทึบ ทดแทนน้ำพระทัยเจ้าแผ่นดิน จับกระบี่สิ้นใจเพื่อภูมินทร์”
เพลงปลุกใจยามออกศึกเพลงนี้เป็นบทเพลงที่กองทัพไต้โจวชื่นชอบร้องเป็นที่สุด กองทัพไต้โจวมักทำศึกกับเผ่าคนเถื่อนในช่วงสารทซึ่งอาชาอ้วนพี มือถือหอกดาบปกป้องมาตุภูมิ ยึดด่านเยี่ยนเหมินต่อต้านทหารม้าจากต่างแดน แม้ร้องเวลานี้จะไม่สอดพ้องกับเวลาและสถานที่ แต่กลับจุดไฟสู้ให้แก่กองทัพไต้โจวได้ใหม่อีกหน
เริ่มแรกเสียงเพลงแหบพร่าติดขัด คงเป็นเพราะกองทัพไต้โจวต่อสู้ห่ำหั่นมาหลายวัน ลำคอแห้งผากหมดแล้ว แต่ต่อมายิ่งร้องก็ยิ่งดังกึกก้อง จากตอนแรกมีคนร้องเพียงร้อยกว่าคน ต่อมากลับมีคนร้องตามมากขึ้นทุกที
สุดท้ายนอกจากกองทัพไต้โจว กองทัพชิ่นโจวก็เริ่มร้องเพลงเสียงดังกระหึ่มตาม ประหนึ่งพันหมื่นสายธารไหลรวมสู่มหาสมุทร เสียงเพลงรวมกันกลายเป็นกระแสธารอันยิ่งใหญ่ทรงพลัง ภายใต้ท่วงทำนองของบทเพลง กองทัพเป่ยฮั่นที่ขวัญกำลังใจลดทอนมาหลายวันกลับมาเป็นกองทัพอันแข็งแกร่งผู้ทลายได้ทุกปราการอีกหน
สีหน้าเศร้าสลดบนใบหน้าของหลงถิงเฟยมลายหายไปสิ้น เขาสวมชุดเกราะทั่วร่างอย่างเนิบช้า ชุดเกราะดุจเปลวเพลิง ใบหน้าหล่อเหลาดั่งน้ำแข็ง จากนั้นก้าวออกไปจากกระโจม ศึกตัดสินคือวันพรุ่งนี้ ไหนเลยจะยังมีเวลาให้ความรักระหว่างชายหญิงอีก
หลงถิงเฟยก้าวออกจากกระโจมแล้วทอดสายตามองออกไป กองไฟประปรายลุกไหม้ดุจดวงดาราใต้ท้องนภาสีดำสนิท ในอากาศคลุ้งกลิ่นคาวเลือด นอกจากเสียงเพลงที่ดังไปทั่วทุ่งกว้าง ก็ยังได้ยินเสียงคร่ำครวญอดกลั้นต่อความเจ็บปวดของเหล่าทหารแทรกอยู่เลือนราง
เขาคิดคำนวนโอกาสที่แผนการฝ่าวงล้อมจะสำเร็จอย่างถี่ถ้วน พลางฟังเสียงเพลงอันห้าวหาญแต่โศกสลดของเหล่าทหาร สายลมวสันต์ที่ยังคงหนาวเย็นแฝงความอ้างว้างวังเวง จิตใจของหลงถิงเฟยใสกระจ่าง เขาทราบว่าหลินปี้คงเป็นผู้สั่งให้กองทัพไต้โจวร้องเพลงปลุกใจอันคุ้นหูเพื่อปลุกขวัญกำลังใจทหาร ในใจนับถือยิ่งนัก หวังว่าพรุ่งนี้หลินปี้จะฝ่าวงล้อมออกไปได้ เขารู้ว่าอันตรายที่หลินปี้จะเผชิญคงน้อยกว่าตนอยู่บ้าง อย่างมากที่สุดวันพรุ่งทั้งสองคนก็ตายด้วยกันท่ามกลางศึกอันโกลาหลเท่านั้น
เวลานี้เอง เซียวถงก็เดินเข้ามาตรงหน้า เวลาผันผ่านไปเพียงสิบกว่าวัน ทว่าเขาใบหน้าซูบตอบ สีหน้าซีดเซียว นอกจากความลำบากตรากตรำที่ต้องสอดแนมข่าวของกองทัพศัตรูแล้ว ในใจเขารู้สึกผิดยิ่งนัก นับตั้งแต่กองทัพต้ายงโจมตีชิ่นโจวหนนี้ เขาก็ถูกตัดปีกอยู่หลายหน สายลับในมือบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน นั่นจึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่หนนี้มิอาจพบร่องรอยของกองทัพศัตรูที่ดักซุ่มได้ทันท่วงที เซียวถงนึกแค้นตนเองนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำงานพลาดจนนำมาสู่สถานการณ์วิกฤตในวันนี้ ความทรมานทั้งภายในและภายนอกเคี่ยวกรำเซียวถงจนสภาพย่ำแย่เช่นนี้
เมื่อเขาเดินมาถึงข้างกายหลงถิงเฟยก็เอ่ยอย่างวิตกกังวล “ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ผู้น้อยได้ยินจากองค์หญิงว่าท่านตัดสินใจจะฝ่าวงล้อมแล้ว”
หลงถิงเฟยตอบอย่างเยือกเย็น “ไม่ผิด เจ้าจงช่วยพี่น้องตระกูลลู่ฝ่าวงล้อมเป็นกลุ่มสุดท้าย แผนการโดยละเอียดรอตอนประชุมแม่ทัพข้าจะชี้แจง”
เซียวถงตอบว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเรา จะก้าวเข้าสู่อันตรายด้วยตนเองได้เช่นไร การล่อศัตรูให้ผู้อื่นทำเถิด มิสู้เลือกคนในกองทัพที่รูปร่างใกล้เคียงกับท่าน สวมชุดเกราะของท่านเป็นเหยื่อล่อ แล้วค่อยให้กองทัพไต้โจวรับผิดชอบเป็นกำลังหลักในการฝ่าวงล้อม ท่านแม่ทัพย่อมมีโอกาสมากที่จะฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมสำเร็จ”
หลงถิงเฟยตอบอย่างมิหวั่นไหว “ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพ หากมินำอยู่ด้านหน้า จะปลุกใจให้เหล่าทหารเดินสู่ความตายได้เช่นไร ส่วนการให้กองทัพไต้โจวเสียสละ เรื่องนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก แต่เดิมกองทัพไต้โจวก็มิจำเป็นต้องยกทัพมา ยามนี้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายเพราะช่วยกองทัพเรา หากพวกเรากระทำการทรยศลืมบุญคุณ ยังจะมีหน้าอันใดไปพบเหล่าผู้อาวุโสที่ไต้โจวอีก”
แม้น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ ทว่าแต่ละคำดั่งดาบเหล็กสลักบนหินผา เซียวถงได้ยินก็ทราบว่าเขาตัดสินใจแล้ว ไม่มีที่เหลือให้เปลี่ยนใจอีก ตัวเขาเองก็ทราบว่าคำพูดแต่ละประโยคของหลงถิงเฟยล้วนเป็นความจริง มีเพียงเขาออกโรงด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะล่อกำลังหลักของกองทัพต้ายงให้เคลื่อนไหวได้
เซียวถงลอบถอนหายใจแล้วก้มลงคารวะ “ขอท่านแม่ทัพโปรดอนุญาตให้ผู้น้อยติดตามท่านฝ่าวงล้อม”
หลงถิงเฟยมองเซียวถง แล้วตอบว่า “จะทำเช่นนั้นไปไย แม้หนนี้เจ้าจะพลาดท่าอยู่หลายหน ทว่านั่นเป็นเพราะหัวหน้าทหารสอดแนมของกองทัพศัตรูฝีมือร้ายกาจจริงๆ หากกล่าวถึงจารชนในกองทัพเป่ยฮั่นของพวกเรา เจ้าคือมือดีที่สุด หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น น่ากลัวว่าพวกเราคงกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดนานแล้ว เจ้าอย่าได้รู้สึกผิดมากจนเกินไปเลย ความพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้มิได้เป็นเพราะเจ้า เป็นเพราะข้าที่คิดไม่ถึงว่ากองทัพศัตรูจะใช้แผนล่อพวกเราเข้ามาในกับดัก ตั้งแต่คาดคำนวณวางแผน พวกเราก็แพ้อยู่ก้าวหนึ่งแล้ว จึงเกิดเป็นความปราชัยในวันนี้
เซียวถง หนนี้เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้า ติดตามพี่น้องตระกูลลู่ฝ่าวงล้อม พวกเขาสามพี่น้องรู้กลศึกเพียงดาษๆ ข้ากังวลใจยิ่งนัก เจ้าติดตามอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี ได้เห็นได้ยินบ่อยเข้าคงเรียนรู้ไปอยู่บ้าง มีเจ้าติดตามไปจึงจะมั่นใจว่าพวกเขาจะฝ่าวงล้อมสำเร็จ”
เซียวถงเงียบงัน ผ่านไปเนิ่นนานจึงผงกศีรษะ “ผู้น้อยรับบัญชา”
ในใจเขาตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างความชอบชดใช้ความผิด อยู่ต่อเพื่อทำประโยชน์ ทุ่มสุดกำลังช่วยให้พี่น้องตระกูลลู่ฝ่าวงล้อม หากจะตายเพื่อชดใช้ก็ต้องรอให้ถึงวันที่แว่นแคว้นสงบก่อน
หลงถิงเฟยเห็นเขารับปากว่าจะติดตามกำลังหลักของกองทัพฝ่าวงล้อมแล้วจึงเอ่ยอย่างยินดี “ดีแล้ว ดูจากท้องฟ้าน่าจะยามสามแล้ว เจ้าไปสั่งการ ยามสามทำอาหาร ยามห้าฝ่าวงล้อม ให้แม่ทัพหลักของแต่ละทัพมาพบข้าก่อน”
เซียวถงหัวใจกระตุก แจ้งว่า “ท่านแม่ทัพ เสบียงของกองทัพเราหมดแล้ว เพราะท่านแม่ทัพใคร่ครวญวางแผนการศึกอยู่ในกระโจมมาตลอด ดังนั้นผู้น้อยจึงมิได้รายงาน”
หลงถิงเฟยยิ้มหยัน เรื่องใหญ่สำคัญกับกองทัพเช่นนี้กลับไม่รายงาน มีเหตุผลเสียที่ใด เขามีบารมีในกองทัพอยู่มาก จึงมีพลทหารลอบมารายงานกับเขาเรื่องที่แม่ทัพแต่ละทัพของกองทัพชิ่นโจวลอบประชุมกันเป็นการลับแล้ว หากมิได้เป็นเช่นนี้ ตนก็คงไม่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะฝ่าวงล้อมเช้าวันรุ่งขึ้น
เดิมทีคิดจะติเตียนเซียวถงสักสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของเซียวถง แล้วนึกถึงว่าวันพรุ่งคงต้องตายจากกันแล้ว เขาจึงมิต้องการตำหนิเกินไปนัก เพียงสั่งอย่างเยือกเย็น “เข้าใจแล้ว สังหารม้าศึกที่บาดเจ็บกับม้าศึกที่เหลือเกิน เอาให้ทหารทั้งหลายกิน”
ยามตกอยู่ใต้สายตาสงบนิ่งเยือกเย็นของหลงถิงเฟย เซียวถงรู้สึกว่าเหงื่อกาฬหลั่งทั่วร่าง เขาขานรับแล้วถอยออกมา หลังจากอาหารเย็น แต่ละกองทัพต่างไม่เหลือเสบียงแล้ว แม่ทัพทั้งหลายจึงลอบหารือกันเป็นการลับว่าวันพรุ่งฝ่าวงล้อมคงจำต้องเสียสละกำลังพลเพื่อตีฝ่าจึงจะมีโอกาสฝ่าวงล้อมสำเร็จ
ระหว่างกองทัพชิ่นโจวกับไต้โจวผูกพันกันเพียงบางเบา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะบีบให้หลงถิงเฟยเห็นด้วยกับการสละกองทัพไต้โจวเพื่อให้แน่ใจว่ากำลังหลักของกองทัพชิ่นโจวจะฝ่าวงล้อมออกไปได้ แต่พวกเขากังวลใจว่าหลงถิงเฟยจะไม่ยอม จึงคิดจะใช้เรื่องกองทัพเสบียงหมดมาบีบบังคับ แต่กลับคิดมิถึงว่าหลงถิงเฟยจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เสียสละตนเองเพื่อให้กำลังหลักของกองทัพชิ่นโจวกับกองทัพไต้โจวมีโอกาสฝ่าวงล้อมออกไป
อาชาศึกที่บาดเจ็บและแข็งแรงดีตัวแล้วตัวเล่ากรีดเสียงร้อง ดวงตาโตดั่งกระดิ่งทองแดงฉายแววไม่อยากเชื่อ ดาบยาวตัดลำคออาชา โลหิตทะลักเป็นน้ำพุ ยามร่างหนักอึ้งของอาชาล้มตึงบนฝุ่นดิน ทหารของกองทัพเป่ยฮั่นผู้เหวี่ยงดาบสังหารอาชาศึกพลันทิ้งดาบยาว โถมไปบนศพอาชาร่ำไห้อย่างเจ็บปวด ทหารหลายนายดึงเขาออกไปด้านข้าง ทว่าดวงตาของพวกเขาเองก็มีน้ำตาคลอหน่วง
สำหรับพวกเขาผู้เป็นทหารม้า อาชาศึกก็คือสหายสนิทที่สุดของพวกเขา เพื่อเลี้ยงอาชาศึกชั้นดี เพื่อให้ทหารกับอาชาศึกรู้ใจกัน พวกเขาแทบจะกินนอนอยู่ด้วยกันกับอาชาศึก การสังหารอาชาศึกเป็นสิ่งที่มิอาจยอมรับได้อย่างยิ่ง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงอาชาศึกที่บาดเจ็บหนักจนมิอาจช่วยได้แล้วจึงจะสังหารให้ตาย การกินเนื้ออาชายิ่งเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาต
ทว่าวันนี้พวกเขากลับต้องสังหารอาชาศึกจำนวนมาก อาชาศึกเหล่านี้บางตัวบาดเจ็บเล็กน้อย บางตัวถึงขั้นแข็งแรงสมบูรณ์ดี เพียงแต่สูญเสียเจ้านายผู้ควบขี่เท่านั้น สำหรับกองทัพเป่ยฮั่นที่กำลังจะฝ่าวงล้อม การเก็บอาชาศึกไว้พอกับจำนวนคนย่อมเพียงพอแล้ว อาชาศึกที่เหลือทำได้เพียงสังหารกินเป็นอาหาร เนื้อม้าที่ได้มา นอกจากให้ทหารทั้งหลายกินอิ่มหนึ่งมื้อเตรียมตัวฝ่าวงล้อม ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ทำเป็นเสบียง ถึงอย่างไรช่วงเวลาที่ต้องทำศึกฝ่าวงล้อมก็ไม่แน่ว่าจะเนิ่นนานเท่าใด
ทั้งค่ายทัพเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนสลด ความสะเทือนใจที่ต้องสังหารอาชาศึกที่รักด้วยมือตนเองทำให้ดวงตาของทหารเป่ยฮั่นทุกคนกลายเป็นสีแดงก่ำ สิ่งที่อยู่ในนั้นคืออารมณ์ที่โหมกระหน่ำและความโศกเศร้าแสนสาหัส
หลังจากกินอาหารที่อาจจะเป็นมื้อสุดท้ายเสร็จ กองทัพเป่ยฮั่นก็เริ่มจัดทัพ แม้เผชิญกับความพ่ายแพ้มาหลายหน แต่พวกเขาก็ยังแลดูเป็นค่ายทัพใหญ่ที่มีระบบระเบียบ หลงถิงเฟยชักสายบังเหียนอาชามายืนอยู่หน้าค่าย ด้านหลังเขาคือแม่ทัพจากแต่ละทัพ ทุกสิ่งเตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว รอแต่เพียงคำสั่งของแม่ทัพก็ออกเดินทางได้ทันที
แววตาของหลงถิงเฟยนิ่งสงบคล้ายมิได้กำลังมุ่งไปสู่ความตาย แต่กำลังเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงของสหายรัก เสียงฝีเท้าม้าอันคุ้นหูกับเสียงกระพรวนใสกังวานลอยมาเข้าหู คิ้วกระบี่ของหลงถิงเฟยเลิกขึ้น แย้มรอยยิ้มน้อยๆ หันกลับไป หลินปี้บังคับอาชาเหยาะย่างมาภายใต้การห้อมล้อมขององครักษ์คนสนิทจากกองทัพไต้โจวดังคาด
เมื่อหลินปี้มาถึงหน้าหลงถิงเฟย นางก็ต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับพบว่าตนเองมิอาจพูดคำใดออกมาได้ คล้ายกับว่าถ้อยคำทั้งปวงล้วนเอ่ยออกไปเมื่อคืนวานจนหมดสิ้นแล้ว นางจ้องมองดวงหน้าหล่อเหลาที่ซูบเซียวของหลงถิงเฟยอย่างมิเกรงใจ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลงถิงเฟยเห็นนัยน์ตาหงของหลินปี้บวมแดงเล็กน้อย ก็อยากจะเอื้อมมือไปปลอบโยนนาง ทว่าสุดท้ายก็มิได้ทำเช่นนั้น เพียงคำนับบนหลังม้ากล่าวว่า “ฝ่าวงล้อมหนนี้ ต้องพึ่งความองอาจห้าวหาญของน้องปี้ ถิงเฟยซาบซึ้งยิ่งนัก แผ่นดินถึงยามวิกฤต น้องปี้มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง คงต้องให้เจ้าทุ่มเทความคิดแบ่งเบาความกังวลของเจ้าแคว้นแล้ว”
หลินปี้ผินหน้าไปด้านข้าง ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างนิ่งสงบได้ “ท่านแม่ทัพรักษาตัวด้วย แม้ฝ่าวงล้อมอันตราย แต่ท่านแม่ทัพวรยุทธ์ล้ำเลิศ หากสวรรค์คุ้มครอง พวกเราอาจได้พบหน้ากันอีก”
หลงถิงเฟยยิ้มละไม ตอบว่า “ฟ้าใกล้สางแล้ว น้องปี้ต้องเป็นคนตีฝ่าระลอกแรก เชิญเตรียมตัวออกเดินทางเถิด”
หลินปี้ชักอาชาวิ่งจากไป ตะโกนเสียงดังว่า “หลินปี้รับบัญชา ท่านแม่ทัพรักษาตัวด้วย”
เมื่ออาชาศึกเลี้ยวเข้าไปในกระบวนทัพของกองทัพไต้โจว หลินปี้อาศัยจังหวะหนึ่งเหลียวหลังกลับมามอง แม้ระยะห่างไกลยิ่งนัก แต่หลินปี้กลับมองปราดเดียวเห็นดวงตาสีเขียวอ่อนของหลงถิงเฟย ดวงตาสงบนิ่งล้ำลึกดั่งมหานทีคู่นั้นแฝงความโศกศัลย์และคำอวยพร นางไม่เคยเห็นดวงตาคู่นั้นแสดงความรู้สึกมากมายเช่นนี้มาก่อน พริบตาที่ดวงตาสี่ข้างสบประสาน ความรู้สึกล้ำลึกนั่นกลับฉับพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างกายของหลินปี้สะท้านเฮือก หากมิใช่องครักษ์หญิงข้างกายประคองนางไว้ทันเวลา นางก็เกือบพลัดตกจากหลังม้าแล้ว
นางยังมิทันหลุดพ้นจากดวงตาสีเขียวอ่อนคู่นั้น ก็มองเห็นธงกองทัพของกองทัพไต้โจวโบกสะบัด หัวใจของหลินปี้สะท้านไหว เพียงชั่วครู่ก็สลัดความคิดว้าวุ่นทั้งปวงทิ้ง คว้าหอกสีเงินขึ้นมา หลินปี้ชูแขนกู่ร้อง เสียงคำรามใสกังวานดั่งเสียงพญาหงส์บนสรวงสวรรค์กังวานก้องท้องนภา แม่ทัพและทหารทั้งหลายของกองทัพไต้โจวฮึกเหิมเป็นกำลัง กู่ร้องเสียงดังตามด้วย เสียงตะโกนกึกก้องดั่งจะล้มขุนเขาคว่ำมหานที สั่นสะเทือนความมืดมิดเสี้ยวสุดท้ายสลายก่อนแสงอรุณรุ่ง