ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 85 ฝ่าวงล้อมสามทาง (2)
เวลานี้เอง เหนือเส้นขอบฟ้าพลันปรากฏธงแม่ทัพของกองทัพเป่ยฮั่น ผืนธงคลี่สยาย ทหารม้าเหล็กดั่งสายลม กองทัพเป่ยฮั่นที่ได้กินอาหารอิ่มหนึ่งมื้อพุ่งเข้าใส่กองทัพใหญ่ตรงกลางของกองทัพต้ายงดุจสายรุ้ง
เห็นธงผืนใหญ่ประดับอักษรคำว่า ‘หลง’ ปลิวสะบัดอยู่กลางสนามรบ หลี่เสี่ยนก็ตื่นเต้น ออกคำสั่งต่อเนื่อง เคลื่อนกองทัพขึ้นหน้าประจันกับศัตรูทันที
แม้หลงถิงเฟยบุกทะลวงกระบวนทัพอย่างแข็งแกร่งมิอาจต้าน แต่หลี่เสี่ยนเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว ผู้ที่ติดตามเขาเข้าขวางหลงถิงเฟยล้วนเป็นทหารกล้าที่รอดชีวิตจากสมรภูมิยามแตกพ่ายถอยทัพจากชิ่นหยวน แต่เดิมพวกเขาก็เป็นทหารชั้นยอดที่แกล้วกล้าเหนือผู้อื่น ตอนนี้ยังมีความรู้สึกอัปยศในใจอย่างแรงกล้า พวกเขาจึงแทบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสังหารกองทัพเป่ยฮั่น จะมิมีวันยอมให้ชาวเป่ยฮั่นสักคนฝ่าวงล้อมออกไปจากที่แห่งนี้เด็ดขาด นี่คือความคิดหนึ่งเดียวของทหารกองนี้
สองทัพประจัญบานกันซึ่งหน้า ฝั่งหนึ่งพลีชีพเพื่อฝ่าวงล้อม อีกฝั่งสาบานจะล้างอาย การสู้รบหนนี้โหดร้ายอย่างยิ่ง ทหารต้ายงนายหนึ่งเพิ่งแทงศัตรูตกจากหลังม้า ทหารเป่ยฮั่นที่ถูกแหลนอาชาเสียบทะลุร่างกลับฝืนยิ้มกอดอาวุธของศัตรูแน่น ทหารเป่ยฮั่นอีกนายหนึ่งฉวยโอกาสแทงทหารต้ายงนายนั้นล้มคว่ำ แต่มิทันไรทหารต้ายงอีกสองนายก็พุ่งโอบจากซ้ายขวา แหลนอาชาสองเล่มแทงทะลุร่างพลทหารเป่ยฮั่นแทบจะในเวลาเดียวกัน
ไม่ไกลนักพลทหารเป่ยฮั่นผู้มีเลือดชโลมทั่วร่างนายหนึ่ง เบิกดวงตาสองข้างที่แดงฉานด้วยโลหิตแล้วขยับหน้าไม้ในมือ ลูกศรของหน้าไม้เสียบทะลุเกราะและร่างของทหารเป่ยฮั่นผู้โงนเงนใกล้ล้มบนหลังม้าไปพร้อมกับทหารต้ายงสองคนที่สังหารเขา
หลงถิงเฟยมองสนามรบที่สองกองทัพกำลังต่อสู้กันอย่างชุลมุนด้วยสายตาเยือกเย็น แม้แต่ทหารกล้าของเป่ยฮั่นที่สู้ตายเพราะมิเหลือทางถอยก็ยังฝ่าทะลวงแนวป้องกันของกองทัพต้ายงมิได้ง่ายๆ เขาสูดอากาศเย็นเล็กน้อยของวสันต์เฮือกใหญ่ ในอากาศนอกจากกลิ่นหอมของดินโคลนและกลิ่นของหญ้าเขียวขจี ก็มีเพียงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เขาปิดหน้ากาก ชูทวนวงเดือนในมือ ตวาดลั่น “ตามข้ามา” แล้วพุ่งเข้าไปในกระบวนทัพ
หลังร่างเขา องครักษ์คนสนิทชุดเกราะสีแดงชาดโห่ร้องเสียงดังสนั่นกวัดแกว่งศาสตราวุธ การจู่โจมครั้งใหญ่ดึงสายตาของทุกคนในทันที กองทัพเป่ยฮั่นแหวกออกสองฝั่ง กระแสธารสีแดงเพลิงก่อตัวเป็นกระบวนทัพ หัวลูกศรปักเข้ากลางทัพหลวงของกองทัพต้ายง กองทัพเป่ยฮั่นที่เหลือเคลื่อนต่อท้ายกระบวนทัพหัวลูกศรโดยทันที กระแสธารใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ กระบวนทัพของกองทัพต้ายงเริ่มสั่นคลอนสับสน
หลี่เสี่ยนเห็นสถานาการณ์ก็ยิ้มหยัน ทำศึกกันมาหลายปี เขากับหลงถิงเฟยฟาดฟันกันผ่านสนามรบมามิรู้กี่หน เขาเห็นความหยิ่งผยองของหลงถิงเฟยมาจนชิน แม้ในใจนับถืออย่างเลี่ยงมิได้ แต่หากต้องการให้เขาก้มหัวยอมแพ้ล่ะก็อย่าฝัน
มือชูแหลนอาชา เสียงแตรสัญญาณดังแหวกนภา หลี่เสี่ยนเพิ่งชักสายบังเหียนอาชาหมายเข้าร่วมกระบวนทัพ จวงจวิ้นองครักษ์ข้างกายพลันเข้ามาขวางกล่าวว่า “องค์ชาย ยามนี้หลงถิงเฟยเป็นพยัคฆ์ถูกล้อมบนทุ่งราบ จะยอมจำนนเมื่อใดขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ร่างกายขององค์ชายมีค่าเท่าพันตำลึงทอง มิสมควรสวมเกราะเข้าสมรภูมิอีก หากบาดเจ็บประการใดขึ้นมา ไฉนมิใช่ล้มเหลวก่อนสำเร็จเพียงก้าวเดียว”
หลี่เสี่ยนหัวเราะเสียงดัง “หากแม่ทัพใหญ่มิเสี่ยงอันตรายด้วยตนเอง ไฉนจะปลุกใจทหารได้ ข้ากับหลงถิงเฟยทำศึกกันมาหลายปี วันนี้จะมิไปส่งเขาออกเดินทางได้เช่นไร เจ้าจงหลีกไปเสีย”
แหลนอาชาสะบัดเบาๆ บีบให้จวงจวิ้นหลบ จากนั้นหลี่เสี่ยนก็บุกเดี่ยวนำหน้าเข้าประจันกับแนวหน้าของกองทัพเป่ยฮั่น องครักษ์คนสนิทข้างกายเขาพุ่งตามมาปกป้องหลี่เสี่ยนไว้ตรงกลางอย่างเป็นระเบียบด้วยฝึกฝนมาอย่างดี
เปลวเพลิงสองกองเข้าโรมรันกันใจกลางสมรภูมิ เสียงกรีดร้องของอาชาศึก เสียงตะโกนเข่นฆ่าสุดเสียงของบรรดานักรบ รวมถึงเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของทหารกล้ายามอยู่เบื้องหน้าความตายผสมปนเปกัน แทบทุกคนล้วนถูกคาวโลหิตและไอสังหารทำให้สติพร่าเลือน ความบ้าคลังแผ่ปกคลุมทั่วสนามรบ
หลงถิงเฟยกับหลี่เสี่ยนสบสายตากันบนสมรภูมิ แม้ระหว่างกลางของทั้งสองคนมีองครักษ์คนสนิทมากมายกั้นอยู่ ทำให้พวกเขามิอาจประมือกันซึ่งหน้าได้ แต่สายตาของทั้งสองคนต่างก็จับอยู่บนร่างอีกฝ่ายอยู่ตลอด อาวุธในมือกำจัดศัตรูข้างกายด้วยสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว แม้ระหว่างการพบพานบนสนามรบหลายครั้งหลายหน ทั้งสองคนมิเคยมีโอกาสต่อสู้กันตัวต่อตัว แต่พวกเขาต่างสลักเงาของอีกฝ่ายไว้ในหัวใจ วันนี้ในที่สุดก็ถึงเวลาตัดสินชี้เป็นชี้ตายกันแล้ว
ทั้งสองคนขยับแทบจะพร้อมกัน พวกเขาฝ่าการขัดขวางขององครักษ์คนสนิทของตน ทวนวงเดือนวาดเป็นครึ่งวงกลม ส่วนแหวนอาชาพุ่งตรงมา ศาสตราวุธสองเล่มปะทะกันแล้วผละแยกอย่างรวดเร็ว องครักษ์คนสนิทของทั้งสองคนแทบจะโถมเข้ามาดั่งคลื่นซัด ต้องการจะคุ้มกันแม่ทัพใหญ่ของตนใหม่อีกหน แต่ศาสตราวุธของทั้งคู่ซัดกระแสลมแรงที่แฝงลมปราณออกมา ทำให้องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นมิอาจเข้าใกล้ ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด มังกรปะทะพยัคฆ์ ผู้ใดก็มิคิดถอย
หลี่เสี่ยนสกัดทวนวงเดือนที่เสือกมาหาลำคอของตนเอง ดวงตาอัดแน่นด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง คนผู้นี้ก็คือคนที่ทำให้ตนต้องทนทุกข์ทรมานกับความพ่ายแพ้หนแล้วหนเล่า ต้องเอาชีวิตรอดจากความตายหลายครั้งหลายหน รอยแผลไม่น้อยที่เพิ่มขึ้นบนร่างในช่วงหลายปีนี้ล้วนเป็นคนผู้นี้มอบให้ แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือหลี่เสี่ยนกลับมิรู้สึกแค้นเคืองคนผู้นี้ บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ทุกครั้งยามคนผู้นี้มอบโอกาสให้เขาต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มันช่วยลดทอนความเจ็บปวดในหัวใจของตนเองได้
ชีวิตนี้เขาพ่ายแพ้เสด็จพี่หลี่จื้อ แม้มิเคยวัดฝีมือกันบนสนามรบ แต่ก็เห็นชัดอย่างยิ่งว่าความล้มเหลวในการชิงบัลลังก์ทำให้ตนกลายเป็นผู้แพ้ในเงื้อมมือเสด็จพี่ตลอดไป อีกคนหนึ่งที่ต่อสู้ชนะตน ทำให้ตนไร้กำลังโต้ตอบก็คือคนผู้นี้ตรงหน้า แม้การพ่ายแพ้ถอยทัพจากจี้ซื่อล่อเขาเข้ามาในวงล้อมจะถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ แต่หากถามใจจริงของตน หลี่เสี่ยนปรารถนาจะชนะเขาอย่างสง่าผ่าเผยที่ชิ่นหยวนมากกว่า
นอกจากความนับถือในหัวใจ ในใจของหลี่เสี่ยนยังมีความริษยาอันหาเหตุผลมิได้ซ่อนอยู่เสี้ยวหนึ่ง ทั้งที่คนผู้นี้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม มิอาจกำหนดความเป็นความตายของตนเองได้แล้วแท้ๆ ทว่าหลี่เสี่ยนกลับรู้สึกว่าตนเองยินดีกลายเป็นหลงถิงเฟย ยินดีรบจนตัวตายบนสมรภูมิ หลี่เสี่ยนก่นด่าตนเองอย่างหนักว่าไร้เหตุผล แล้วทุ่มสุดกำลังสกัดทวนวงเดือนที่แทงเข้ามา จากนั้นพลิกมือเสือกแหลนใส่หน้าอกของหลงถิงเฟย
ทั้งที่คนผู้นี้พ่ายแพ้มาหลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่พ่ายแล้วมิทดท้อ ดาหน้าเข้ามาสู้หนแล้วหนเล่า รักษาความมุ่งมั่นอันลุกโชติช่วงอยู่เสมอ บางครั้งหลงถิงเฟยก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นดั่งหินทดสอบทองก้อนหนึ่งที่ลับฝนคนผู้นี้ตรงหน้าจนกลายเป็นอาวุธอันคมกริบที่สุด
ทุกครั้งยามเห็นคนตรงหน้าผู้นี้บุกทะลวงเข้ามากลางกระบวนทัพอย่างมิไยดีชีวิต ต่อสู้รากเลือดคุมท้ายกองทัพอย่างห้าวหาญมิหวั่นกลัวความตาย ในใจของหลงถิงเฟยมักเกิดความรู้สึกนับถือเสี้ยวหนึ่งขึ้นมาเสมอ มิใช่ทุกคนจะเป็นได้เหมือนคนตรงหน้า ทั้งที่เป็นพระญาติเชื้อพระวงศ์ บุตรหลานผู้สูงศักดิ์ ทว่ากลับสู้ตายทำสงครามอย่างมิเสียดายชีวิต
หลงถิงเฟยถอนหายใจแผ่วเบาในใจ ยามนี้คนตรงหน้าถูกหล่อหลอมนับร้อยหนจนกลายเป็นเหล็กกล้า ส่วนตนเองกลับกำลังจะทวนหักทอดร่างอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ย หลงถิงเฟยเงยหน้ามอง ยามเห็นดวงตาลึกล้ำเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงและไอสังหารคู่นั้นของหลี่เสี่ยนก็ยิ้มน้อยๆ ทวนยาวกวาดขวาง หากได้กลายเป็นโครงกระดูกในสนามรบพร้อมกับคนผู้นี้ก็นับว่าคุ้มค่าอยู่กระมัง
แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองกองทัพต่อสู้ตัวต่อตัวกลางสนามรบ นี่เป็นภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจที่เห็นได้ยากยิ่ง แต่องครักษ์ของทั้งสองกองทัพกลับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก หากปล่อยให้แม่ทัพใหญ่ตายต่อหน้าตน พวกเขาในฐานะองครักษ์คนสนิทคงอัปยศขายขี้หน้ายิ่งนัก
แม้หลงถิงเฟยกับหลี่เสี่ยนต่อสู้กันดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ลมปราณแผ่ออกมารอบทิศ บีบให้คนที่อยู่โดยรอบถอยออกไปห่างหลายจั้งอย่างจำยอม ทว่าองครักษ์คนสนิทเหล่านี้ยังคงสู้รบอยู่รายรอบทั้งสองคน ชุดเกราะสีเดียวกันปะปนอยู่ด้วยกัน แม้รูปแบบจะแตกต่างจนไม่ถึงขั้นให้พวกเขามองศัตรูผิดคน แต่ในสายตาของแม่ทัพและเหล่าทหารที่อยู่ไกลออกไปกลับยากจะแบ่งแยกศัตรูและมิตรชัดเจน ดังนั้นห่าศรจึงมิโปรยปรายลงมาตรงจุดนี้อีก
การต่อสู้ดุเดือดดำเนินไปสิบกว่ากระบวนท่า บนหน้าผากของหลงถิงเฟยกับหลี่เสี่ยนต่างมีเม็ดเหงื่อผุดให้เห็น ทั้งสองล้วนเป็นผู้ที่ต่อกรกับศัตรูได้นับหมื่น ฝีมือการต่อสู้บนหลังอาชาล้วนยอดเยี่ยมโดดเด่น ห่างชั้นกันเพียงน้อยนิด ดังนั้นเมื่อโรมรันเข่นฆ่ากันจึงยิ่งผลาญลมปราณและแรงกาย
ทว่าผู้ที่มีดวงตาเห็นชัดล้วนมองออกว่าหลงถิงเฟยเหนือกว่าอยู่เลือนราง ถึงอย่างไรเขาก็เคยได้รับคำชี้แนะจากประมุขพรรคมาร วรยุทธ์จึงเหนือกว่าหลี่เสี่ยนอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ข้อได้เปรียบของหลี่เสี่ยนอยู่ที่ความทรหดของเขา หลายปีที่ผ่านหลี่เสี่ยนผ่านศึกอันเลวร้ายมาหลายครั้งหลายหน เขาเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายมิรู้กี่ครั้งกี่ครา วรยุทธ์ถูกขัดเกลาท่ามกลางการสู้รบจนบรรลุ ความทรหดมิยอมแพ้นับว่าเป็นเลิศ
แม้หลงถิงเฟยเหนือกว่าอยู่ แต่หลี่เสี่ยนก็ป้องกันอย่างแน่นหนายิ่งนัก ต่อให้สู้อีกหลายสิบหรือร้อยกระบวนท่าก็ไม่แพ้พ่าย
ทั้งสองโรมรันกันเนิ่นนาน หลงถิงเฟยสัมผัสได้แล้วว่ากระแสการบุกของฝ่ายตนชะลอลง กองทัพต้ายงมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ หากมิใช่ว่ายามนี้มีโอกาสสังหารหลี่เสี่ยน หลงถิงเฟยคงผละจากหลี่เสี่ยนไปตีฝ่ากระบวนทัพต่อแล้ว ในใจหลงถิงเฟยร้อนรนเล็กน้อย เริ่มมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ละกระบวนท่าที่ใช้ออกมาล้วนเป็นท่าไม้ตายที่ยอมเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย
หลี่เสี่ยนกลับมิเกรงกลัวแม้แต่น้อย ตรงข้ามเขากลับชิงโจมตีหลงถิงเฟย เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงตกอยู่ในอันตรายหนแล้วหนเล่า องครักษ์คนสนิทของทั้งสองฝ่ายล้วนเฝ้ามองอย่างอกสั่นขวัญแขวน