ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 111 น้ำตาหลั่งรินเป็นสายเลือด (6)
หยางซิ่วลังเลครู่หนึ่ง จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนไม่พอใจของแม่ทัพทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง หยางซิ่วก็เอ่ยตอบเสียงเย็นชา “ฉู่เซียงโหวเดินทางมาร่วมไว้อาลัย ทราบหรือไม่ว่าคนทั้งกองทัพของข้าเคียดแค้นท่านล้ำลึกนัก เกรงว่าท่านคงได้มาแต่มิได้กลับ!”
พอได้ยินถ้อยคำแฝงการข่มขู่ของเขา ฮูเหยียนโซ่ว ตู้หลิงเฟิงกับราชองครักษ์หู่จีทั้งหลายต่างมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว ฮูเหยียนโซ่วก้าวออกมาเอ่ยว่า “คิดจะทำอันตรายชีวิตของท่านโหว ก็ดูก่อนว่าพวกเราจะยอมหรือไม่”
ฮั่วฉงกลับนิ่งเงียบมิพูดจา แต่แววตาวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเย็นยะเยือกประหนึ่งน้ำแข็ง แม้แต่เหล่าทหารหนานฉู่ผู้มีความแค้นสุมอยู่เต็มอกก็ยังสัมผัสได้ถึงอากาศรอบด้านที่หนาวเย็นขึ้นมาหลายส่วน ยังมิทันเข้าไปเซ่นไหว้ บรรยากาศก็ตึงเครียดตั้งแต่หน้ากระโจมแล้ว
สายตาของหยางซิ่วหันไปมองเจียงเจ๋อ อยากดูว่าเขาจะจัดการสถานการณ์นี้อย่างไร หากทำให้ฉู่เซียงโหวแห่งต้ายงผู้นี้ถูกเล่นงานตรงนี้ได้ย่อมปลุกขวัญกำลังใจทหารได้มากที่สุด ขอเพียงไม่สังหารเขา ย่อมไม่ผิดหลักคุณธรรม
ข้าขมวดคิ้วอย่างรำคาญ คนเหล่านี้เป็นอะไรกัน มาทะเลาะอะไรกันอยู่ตรงนี้ เสียเวลาข้ายิ่งนัก ช่านเอ๋อร์คงรอข้าอยู่นานมากแล้ว ข้าเอ่ยเสียงเย็นชา “ต่อให้จะลงมือก็รอผู้แซ่เจียงเซ่นไหว้เสร็จก่อน”
กล่าวจบข้าก็มิสนใจผู้ใดทั้งสิ้น เดินเข้าไปในกระโจมที่ตั้งพิธี
หยางซิ่วตกตะลึง จากนั้นก็ลอบสั่งสัญญาณมือ พลทหารอาภรณ์ขาวสวมเกราะสีขาวที่ตั้งแถวอยู่สองฝั่งหน้ากระโจมพิธีตะโกนเสียงดัง “ฉู่เซียงโหวเข้ากระโจมเซ่นไหว้แม่ทัพใหญ่!” พร้อมกันนั้นก็ชักดาบออกจากฝัก ยกไขว้กันชูเหนือศีรษะ ตั้งเป็นซุ้มดาบต้อนรับแขกตรงหน้ากระโจม คมดาบวาววับสะท้อนกับแสงตะวันและประกายหิมะ บนด้ามดาบผูกผ้าขาวปลิวสะบัดตามสายลม ในดวงตาของพลทหารทุกนายล้วนมีจิตสังหารทอประกายเจิดจ้า
ข้าเห็นทหารหนานฉู่ที่ขวางทางเหล่านี้หลีกไปเสียทีก็ยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วก้าวเท้าเข้าไปในกระโจมพิธี เพียงแต่เหตุไฉนตรงหน้าจึงมีผืนผ้าสีขาวโพลนเหล่านี้ปัดไปปัดมาอยู่ได้ ข้าขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญ แต่คร้านจะยื่นมือไปปัดผ้าขาวเหล่านี้ จึงทำเพียงเดินตรงดิ่งไปด้านในกระโจม
ข้าเข้าไปในกระโจมพิธีสีขาวดุจผืนหิมะ มองหนแรกก็เห็นโลงศพที่ใส่เสื้อผ้ากับกวานของลู่ช่านวางอยู่กับป้ายวิญญาณที่วางอยู่ด้านบน ข้าพลันรู้สึกราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งร่างมลายหายสิ้น ก้าวเดินไปถึงหน้าโลงศพ จากนั้นสองขาก็อ่อนแรง ลงไปนั่งกอดเข่าบนเบาะทรงกลมสำหรับรองเข่ายามคำนับหน้าโลงศพอย่างมิสนใจธรรมเนียมอันใดทั้งสิ้น
ข้าจ้องมองป้ายวิญญาณเนิ่นนาน แล้วเปล่งเสียงขับขานบทกวี
“หวนคะนึงรอยยิ้มยามพบพาน วันวานถกพิชัยสงครามริมบัญชร
ผูกพันเหนือพี่น้องร่วมอุทร มิรังงอนอาจารย์เดียวดายไร้ญาติมิตร
จนใจหิมะย่ำยีสวนกล้วยไม้ บุญคุณผูกมัดเมฆาพลัดถิ่น
คนจรจากแยกอุดรทักษิณ ท่านย่างถิ่นเซียวเซียงข้ามุ่งฉิน”
ร่ายจบหนึ่งบทกวีก็ยังรู้สึกมิพอ ข้ามิเสียเวลาครุ่นคิด ขับขานอีกหนึ่งบทกวี
“วัยยี่สิบกรำศึกดุจห้วงฝัน จ้องอุดรหมายมั่นทวงจงหยวน
เก่งกาจบุ๋นบู๊เหนือศิษย์ใด ดีเด่นไซร้กลับเป็นโทษทัณฑ์
ถอนใจแตกหักเป็นอริ มิสนคุณธรรมฟาดฟันมิตรสหาย
เจ้าวางวายสู่ปรโลกมิเคืองแค้น แม้นโหยไห้พ้อสวรรค์บอกผู้ใด”
เอื้อนเอ่ยบทกวีจบสองบท หัวใจพลันรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก คล้ายจะมองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มกับน้ำเสียงของลู่ช่านอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็หวนนึกถึงสารที่ชิวอวี้เฟยกับอวี๋หลุนส่งมา ก่อนสิ้นใจเขาบอกขอบคุณข้า ทั้งที่พวกเราตัดบุญคุณสะบั้นสัมพันธ์กันไปนานแล้วแท้ๆ
ข้ารู้ดีว่าหากเขามีโอกาสสังหารข้า เขาย่อมไม่มีทางปล่อยผ่าน แต่ข้าก็รู้ดีเช่นกันว่าเขามิเคยลืมเลือนมิตรภาพที่เคยมีให้กันในวันวาน เพียงแต่มิตรภาพของคนสองคนมิอาจสู้ความแค้นของสองแว่นแคว้นจึงมีจุดจบเช่นในวันนี้
หลังจากนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนาน สายตาข้าก็เหลือบเห็นพิณโบราณที่ฮั่วฉงกอดอยู่ในอ้อมแขน จึงยื่นมือออกมากวักเรียก ฮั่วฉงส่งพิณให้ ข้านั่งขัดสมาธิไล้สายพิณแผ่วเบา ในใจหวนนึกถึงช่วงเวลาสมัยอยู่ในเจียงเซี่ย วันนี้ย้อนทบทวน นั่นเป็นวันคืนที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของข้าแล้ว
เสียงพิณดังขึ้นอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว หัวใจข้านึกถึงแต่วันเวลาอันแสนสงบสุขเหล่านั้น นึกถึงยามนอนเท้าติดกับลู่ช่าน นึกถึงยามเขาฝึกยิงธนูอยู่ในลานฝึกยุทธ์แล้วบังคับให้ข้าตากแดดเหงื่อไหลไคลย้อยเป็นเพื่อนเขา นึกถึงยามข้าช่วยปลอมการบ้านที่เขาต้องส่ง นึกถึงยามแอบออกไปเที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิด้วยกันแต่กลับถูกลู่โหวจับได้คาหนังคาเขาจนกระอักกระอ่วน เมื่อหวนนึกถึงไปเรื่อยๆ ริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ เสียงพิณยิ่งสดใสร่าเริง
หยางซิ่วยืนอยู่นอกกระโจมไว้อาลัย เขามองเงาร่างผอมบางที่อยู่หลังม่านกระโจมสีขาวที่สะท้อนแสงตะวันจนแลดูเกือบโปร่งแสงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เดิมทีสาเหตุที่ตั้งซุ้มขบวนดาบต้อนรับก็เพราะต้องการจะบั่นทอนความกล้าของเจียงเจ๋อเท่านั้น แต่บัณฑิตบอบบางผู้นี้กลับเดินเข้าไปในกระโจมพิธีโดยไม่กะพริบตาสักนิด หลายครั้งหลายหนที่ดาบเหล็กเหนือศีรษะทำท่าจะร่วงลงมา แต่เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ณ ห้วงเวลานี้ หยางซิ่วเชื่อคำเล่าลือที่ว่าคนผู้นี้ขวัญกล้าเทียมฟ้าแล้วจริงๆ
หยางซิ่วได้ยินบทกวีไว้อาลัยสองบทที่คนผู้นั้นขับขาน แม้จะรู้สึกว่าคนผู้นี้ต้องเสแสร้งมิจริงใจเป็นแน่แท้ แต่ถึงกระนั้นฟังจบแล้ว เขาก็ยังใจสลาย เขาคิดในใจกับตนเอง ทั้งที่แม่ทัพใหญ่มีความดีความชอบมากล้น ทั้งยังมีแต่ใจจงรักภักดี แต่กลับต้องมาตายเพราะความขัดแย้งภายในมิใช่บนสนามรบ แม้แต่จะตายโดยใช้หนังอาชาห่มร่างก็ยังไม่ได้ เขาลอบเจ็บปวดรวดร้าวอยู่เงียบๆ
ทว่าเมื่อเสียงพิณดังขึ้น สีหน้าของหยางซิ่วก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ในเสียงพิณนั่นไม่มีความโศกเศร้าแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับอัดแน่นด้วยความเบิกบานใจ มิต้องพูดถึงหยางซิ่วผู้เข้าใจดนตรีประมาณหนึ่ง แม้แต่พลทหารที่แต่เดิมจับจ้องมาดร้าย โมโหโกรธาอยู่ตั้งแต่ตอนแรกเหล่านั้น พอได้ฟังเพียงนิดเดียว จิตสังหารก็พลันถดถอย หวนนึกถึงสหายที่เล่นด้วยกันยามวัยเยาว์อย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกเขาหวนระลึกถึงมิตรภาพอันไร้ผลประโยชน์เกี่ยวพันที่ยังคงฝังอยู่ในหัวใจ เสียงพิณถ่ายทอดความรู้สึกสงบสุขและสุขสันต์ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ มิรู้ตั้งแต่เมื่อใดที่หยางซิ่วสัมผัสได้ว่าแก้มของตนเปียกชื้น คล้ายกับว่าตนเองตกอยู่ในห้วงฝันที่มิปรารถนาจะตื่น เมื่อหยางซิ่วได้สติกลับมาอีกหน รอบกายก็มีเสียงร่ำไห้ดังระงม
ทั้งที่เป็นเสียงพิณที่เริงรื่นอย่างถึงที่สุดแท้ๆ แต่ทุกคนกลับมีความโศกเศร้าผุดขึ้นมาในหัวใจ ในห้วงเวลานี้หยางซิ่วเชื่อแล้วจริงๆ ว่าเจียงเจ๋อเดินทางมาคารวะไว้อาลัยด้วยใจจริง
เมื่อเสียงพิณสิ้นสุด เจียงเจ๋อยังคงเดินออกมาจากกระโจมพิธีด้วยสีหน้าเฉยชา เขาคำนับอย่างรวดเร็วหนึ่งหนแล้วเดินจากไป เวลานี้ทั้งกองทัพไหวตงมิมีผู้ใดต้องการสร้างความลำบากให้เขาอีกแล้ว พวกเขาลืมสิ้นถึงตัวตนของคนผู้นี้ จดจำได้แต่ว่าเขาคือสหายรักในวัยเยาว์ของแม่ทัพใหญ่ เพียงเช่นนี้เท่านั้น
เสี่ยวซุ่นจื่อกับคนทั้งหลายคุ้มกันเจียงเจ๋อขึ้นรถม้า ล่องข้ามแม่น้ำไหวสุ่ยอย่างมิหยุดพักแม้แต่น้อย ได้เดินทางกลับง่ายดายเช่นนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนมากล้วนคิดไม่ถึง ตอนเห็นธงผืนใหญ่ของกองทัพต้ายง แม้แต่ราชองครักษ์หู่จีผู้ห้าวหาญไม่กลัวตายก็ยังอดตะโกนดีใจเบาๆ ไม่ได้ มีเพียงเสี่ยวซุ่นจื่อ ฮูเหยียนโซ่วกับฮั่วฉงที่กลัดกลุ้มกังวล สังเกตสีหน้าของเจียงเจ๋อเป็นระยะ
ข้ามองหลี่จวิ้นควบอาชาเข้ามารับ มิรู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ในหัวใจก็เหมือนมีบางสิ่งขาดสะบั้น ข้าเอื้อมมือออกมาดึงเสี่ยวซุ่นจื่อ เอ่ยถามออกมาอย่างยากเย็น “เสี่ยวซุ่นจื่อ ลู่ช่านเขาตายแล้วหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเมินผ่านสายตาประหลาดใจที่มองมาของคนทั้งหลาย ดวงตาปรากฏแววตาแน่วแน่ ใจแข็งตอบว่า “ขอรับ ลู่ช่านตายแล้ว”
ยามนี้ข้าเพิ่งรู้สึกดั่งโลกถล่มทลาย หลายวันที่ผ่านมาแม้ว่าข่าวการตายของลู่ช่านจะเข้ามาในหูข้าแล้ว แต่ยังมิทันเข้ามาในหัวใจของข้า จนกระทั่งเวลานี้ข้าเพิ่งจะยอมรับว่าลู่ช่านตายแล้วจริงๆ ตายใต้เงื้อมมือของข้า ความเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับจะฉีกหัวใจทั้งดวงแล่นเข้าจู่โจม ข้ารู้สึกว่าลำคอหวานวูบ จากนั้นกระอักเลือดออกมาบนแขนเสื้อของเสี่ยวซุ่นจื่อ โลหิตย้อมอาภรณ์สีขาวยิ่งแลดูสะดุดตา
ข้าเงยหน้าขึ้นทันเห็นแววตาหวาดวิตกของเสี่ยวซุ่นจื่อ เพียงเท่านั้นเบื้องหน้าก็ดับมืด หงายหลังล้มพับลงไป เหมือนจะมีคนประคองข้าไว้ หูของข้าได้ยินเสียงตะโกน แต่ข้าไม่อยากได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นสาย ห้วงสติค่อยๆ จมดิ่งสู่ความมืดมิด
ท่ามกลางเสียงตะโกนตกใจของทุกคน หลี่จวิ้นพุ่งมาถึงข้างตัวเจียงเจ๋อ แต่เห็นเจียงเจ๋อหมดสติไปแล้ว ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาสองข้างปิดสนิทแต่กลับมีน้ำตาไหลริน น้ำตานั่นเป็นสีแดงจางๆ หลี่จวิ้นถามอย่างตกใจ “ท่านเจียง เป็นอย่างไรบ้าง”
เสี่ยวซุ่นจื่อผู้สีหน้ากลัดกลุ้มมาตลอดหลายวันกลับถอนหายใจยาวตอบว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาเสียที ตอนนี้วางใจได้แล้ว องค์ชาย ต้องส่งคุณชายกลับฉู่โจว เรียกหมอของกองทัพมารักษาทันที”
พอนึกย้อนกลับไปในใจเขาก็ยังคงหวาดผวา ตั้งแต่ตอนที่เจียงเจ๋อได้ข่าวร้ายเรื่องการตายแต่กลับสงบนิ่งอย่างผิดปกติ เขาก็กังวลแล้วว่าเจียงเจ๋ออาจจะเศร้าโศกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะรับไหว แม้หลังจากนั้นเจียงเจ๋อจะดูเหมือนมีสติแจ่มชัดอยู่ตลอด แต่เสี่ยวซุ่นจื่อกลับจับสังเกตร่องรอยความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ได้
เพื่อให้เจียงเจ๋อระบายความเศร้าโศกในหัวใจออกมา เขาจึงยอมปล่อยเจียงเจ๋อเดินทางไปคารวะไว้อาลัยที่ก่วงหลิงโดยมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ในที่สุดก็ทำให้เจียงเจ๋อได้สติกลับมาสำเร็จ แม้เจียงเจ๋อต้องล้มป่วยเพราะความโศกเศร้าหนนี้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ฮั่วฉงยังตะลึงอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจของเสี่ยวซุ่นจื่อ ความยินดีกับความโศกเศร้าก็เข้าจู่โจมเขาพร้อมกัน ไม่รู้ว่าน้ำตากับน้ำมูกไหลปนกันตั้งแต่เมื่อใด เขารีบใช้แขนเสื้อเช็ดเป็นพัลวัน จากนั้นรีบเร่งตามฝีเท้าของทุกคนมุ่งหน้าไปยังฉู่โจว